hobo
|
ความคิดเห็นที่ 225 เมื่อ 08 ธ.ค. 13, 14:46
|
|
11
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
hobo
|
ความคิดเห็นที่ 226 เมื่อ 08 ธ.ค. 13, 14:46
|
|
มีข้อความในหนังสือกล่าวว่า มรว. ลิ้นจี่เป็นผู้จัดการมรดก แต่หาไม่เจอแล้วครับว่าอยู่ตรงไหน ผมอ่านผ่านตาพอว่างก็หาย หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 227 เมื่อ 12 ธ.ค. 13, 12:51
|
|
ขอบคุณคุณ hobo สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับพระองค์เจ้าปรีดาค่ะ ทำให้สว่างขึ้นหลายข้อทีเดียว อย่างน้อยก็รู้แล้วว่า หม่อมเอกของกรมขุนวรจักรฯ คือหม่อมพลับ หม่อมมารดาของพระองค์เจ้าปรีดา ส่วนม.ร.ว.ดวงใจหม่อมย่าของม.ร.ว.คึกฤทธิ์เป็นหม่อมเอกในระยะหลัง หรือไม่อย่างไรนั้น ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมพอจะตัดสินได้
เรื่องพระองค์เจ้าทับทิม หรือหม่อมเจ้าทับทิมในกรมพระราชวังหลัง ดิฉันไม่มีหนังสือติดตัวอยู่เลยตอนนี้ เลยยังหาคำตอบมาคุยกับคุณ natadol ไม่ได้ ขอผัดไปถึงสิ้นเดือนนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 228 เมื่อ 13 ธ.ค. 13, 05:51
|
|
ประมวลเหตุการณ์ได้คร่าวๆชั้นหนึ่งว่า... หลังจากกรมขุนวรจักรฯสิ้นพระชนม์ มรดกชิ้นใหญ่ที่สุดคือวังวรจักรตกอยู่ในความครอบครองของพระองค์เจ้าปรีดาพระโอรสองค์ใหญ่ เพียงองค์เดียว พระอนุชาก็แยกย้ายกันไป หลายองค์ออกจากวังไปอยู่ข้างนอก ซึ่งรวมหม่อมเจ้าจรูญที่ประสูติจากม.ร.ว.ดวงใจ ด้วย จึงพอจะสันนิษฐานได้ว่าม.ร.ว.ดวงใจและธิดา กับโอรสเล็กสุดคือพระองค์เจ้าคำรบ น่าจะมีเรือนปลูกอยู่เป็นส่วนสัด นอกเขตวังวรจักร ธิดาที่ทรงเจริญพระชันษาแล้วก็ไปพึ่งเจ้านายฝ่ายในอยู่ในพระบรมมหาราชวัง บางองค์เช่นม.จ.ฉวีวาดก็เสกสมรสไป เหลือแต่องค์เล็กๆอยู่กับหม่อมแม่
หม่อมเจ้าพระอนุชาของพระองค์เจ้าปรีดาบางองค์ที่เจริญพระชันษาเป็นผู้ใหญ่บางองค์ปลูกเรือนหรือตำหนัก อยู่ในเขตวังวรจักร แต่ไม่มีสิทธิ์ครอบครอง อยู่ในฐานะผู้อาศัย ต่อมาบางองค์ที่ว่านั้นมีพระประสงค์จะครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ปลูกเรือน แต่เกิดขัดแย้งตกลงกันไม่ได้กับพระองค์เจ้าปรีดาเจ้าของวัง เป็นคดีฟ้องร้องยืดเยื้อกันมานานหลายปี จนพระองค์เจ้าปรีดาสิ้นพระชนม์ ก็ยังไม่จบเรื่อง
พระองค์เจ้าปรีดาทรงมีโอรสธิดาชั้นหม่อมราชวงศ์หลายท่าน ปลูกเรือนอยู่ในวังวรจักรเช่นกัน ในจำนวนนี้ม.ร.ว.ลิ้นจี่น่าจะเป็นคนใหญ่จึงได้เป็นผู้จัดการมรดก ดูรูปการณ์แล้ว ม.ร.ว.ทั้งหลายคงจะเห็นว่าไม่สามารถอยู่รวมกันได้ทั้งหมดเหมือนในสมัยเสด็จพ่ออีกแล้ว ไหนจะมีพี่น้องร่วมกันหลายคน ไหนจะมีท่านอาหลายองค์ซึ่งยังมีคดีฟ้องร้องเรื้อรังกันอยู่ เพราะฉะนั้นก็ขายวัง เอาเงินมาแบ่งกันเสียให้หมดเรื่องหมดราวไป
จุดจบของวังวรจักรจึงมาถึงด้วยประการฉะนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 229 เมื่อ 13 ธ.ค. 13, 07:46
|
|
ภาพพระองค์เจ้าปรีดา จากหนังสือเฉลิมพระยศเจ้านาย ฉบับมีพระรูป
ทั้งนี้เครื่องสังเค็ดในการออกพระเมรุพระองค์เจ้าปรีดา ตาลปัตรก็ยังผูกลายเครื่องโต๊ะ ผูกอักษร "ปรีดา" ทำนองอย่างจีน ได้อย่างงดงาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 230 เมื่อ 13 ธ.ค. 13, 07:59
|
|
ทั้งนี้เครื่องสังเค็ดในการออกพระเมรุพระองค์เจ้าปรีดา ตาลปัตรก็ยังผูกลายเครื่องโต๊ะ ผูกอักษร "ปรีดา" ทำนองอย่างจีน ได้อย่างงดงาม มายกมือว่าอยากเห็นค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 231 เมื่อ 14 ธ.ค. 13, 00:22
|
|
ก็สรุปได้แล้ว(หลังจากสรุปมาก่อนหน้านี้) ว่า "โครงกระดูกในตู้ "มีข้อคลาดเคลื่อนอีกเรื่องหนึ่งก็คือพระองค์เจ้าปรีดามิได้ทรงแบ่งวังวรจักรให้น้องๆ เมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว แต่ทายาทของท่านขายให้พระคลังข้างที่ไป เพื่อจบปัญหาการฟ้องร้องที่ยืดเยื้อมานานหลายปี และเป็นไปได้ ว่ามีการตกลงประนีประนอมยอมความกันเรื่องคดีฟ้องร้อง โดยทายาทชดเชยค่ากรรมสิทธิ์ที่ดินให้ ม.จ.เจ้าของคดีจึงถอนฟ้องไป
ทำให้คิดต่อไปว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ไม่ทราบเรื่องนี้ เพราะท่านพ่อของท่านและม.ร.ว.ที่เป็นโอรสธิดาของพระองค์เจ้าปรีดา มิได้ติดต่อใกล้ชิดกันอีก หลังจากวังวรจักรถูกขายไปแล้ว ม.ร.ว.เหล่านั้นท่านก็คงแยกย้ายกันไปมีบ้านอยู่ที่อื่น พระองค์เจ้าคำรบก็อยู่ที่วังของท่านใกล้วังวรจักร เวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ญาติทางสายพระองค์เจ้าปรีดาก็คงล่วงลับกันไป ลูกหลานชั้นม.ล.ก็คงยิ่งห่างกันออกไปอีก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จึงไม่ทราบว่าที่จริงแล้ว เกิดอะไรขึ้นจริงๆ ในช่วงท้ายของวังวรจักร ท่านจึงเข้าใจว่าพระองค์เจ้าปรีดายกมรดกวังวรจักรให้น้องๆของท่าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เจ้าคุณแจ็ค
อสุรผัด

ตอบ: 4
|
ความคิดเห็นที่ 232 เมื่อ 17 ธ.ค. 13, 20:54
|
|
พัด"ปรีดา"ที่เป็นพัดสังเค็ดในงานพระศพพระองค์เจ้าปรีดา ซึ่งได้นำรูปเครื่องโต๊ะมาผูกลายในพัดนี้ และสมเด็จฯเจ้าฟ้านริศรานุวัดติวงศ์ก็ทรงนำเอาพระนาม "ปรีดา" มาผูกไว้ที่ลวดลายของพัดบริเวณใจกลางของกระถางกำยานตรงกลางพัด และในพัดนี้มีการซ่อนอักษรพระนาม "น" ซึ่งเป็นพระนามของสมเด็จฯเจ้าฟ้านริศรานุวัดติวงศ์ ไว้ที่ใต้ใบบัวด้านขวาของพัดอีกด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 233 เมื่อ 18 ธ.ค. 13, 01:18
|
|
^ งามมาก..สมเป็นฝีพระหัตถ์ นับว่าพระองค์เจ้าปรีดาเป็นเจ้านายสำคัญ มีพระนามเป็นที่รู้จักกว้างขวางในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์ทีเดียว เสียดายที่เราไม่มีโอกาสรู้ประวัติของท่านจากหนังสือ "โครงกระดูกในตู้" ต้องมาช่วยกันค้นหาปะติดปะต่อกันในกระทู้นี้ ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันค้นคว้าหามากค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 234 เมื่อ 18 ธ.ค. 13, 15:38
|
|
ยินดีต้อนรับเจ้าคุณแจ็คครับ ทราบว่าเจ้าคุณแจ็คมีตาลปัตรงาม ๆ ประดับไว้คงหลายเล่ม หวังว่าคงจะให้ความรู้เรื่อย ๆ นะครับ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เจ้าคุณแจ็ค
อสุรผัด

ตอบ: 4
|
ความคิดเห็นที่ 235 เมื่อ 18 ธ.ค. 13, 19:59
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 236 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 19:32
|
|
กลับเข้ากระทู้นี้อีกครั้ง
- เรื่องหม่อมเจ้าทับทิมที่ว่าเป็นท่านทวดของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ นั้น ไม่ปรากฏพระนามอยู่ในหนังสือราชสกุลวงศ์ และหนังสือพระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าฯ ในหนังสือราชสกุลวงศ์ ไม่ได้บันทึกพระนามหม่อมเจ้าที่เป็นพระโอรสในกรมพระราชวังหลังไว้ ส่วนหนังสือพระอนุวงศ์ฯ มีหม่อมเจ้าทับทิม 2 องค์ในกรมพระราชวังหลัง แต่น่าจะเป็นหม่อมเจ้าหญิงทั้งสององค์ - หม่อมเจ้าชายทับทิม มีอีกองค์หนึ่งคือเป็นพระโอรสในกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ในรัชกาลที่ 2
เพราะฉะนั้น ก็ยังเป็นปริศนาอยู่ว่า หม่อมเจ้าทับทิมที่ว่าเป็นบิดาของม.ร.ว.ดวงใจนั้น เป็นหม่อมเจ้าเชื้อสายวังหลังในรัชกาลที่ 1 หรือวังหน้าในรัชกาลที่ 2 กันแน่ แต่แน่ๆคือท่านไม่ใช่พระองค์เจ้าวังหลัง ซึ่งมีอยู่ 6 พระองค์
อีกเรื่องหนึ่งที่ยังค้างคาใจดิฉันอยู่ คือเรื่องริบราชบาตร มาถึงความเห็นนี้ ก็เป็นอันเชื่อได้ว่าเหตุการณ์ริบราชบาตรเพราะม.จ.ฉวีวาดมีส่วนในกบฏวังหน้านั้น ไม่มีจริง เพราะม.จ.ฉวีวาดไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยกับความขัดแย้งระหว่างวังหลวงกับวังหน้า เรื่องวังหน้ากับม.จ.ฉวีวาดเป็นเรื่องกุขึ้นทั้งเพ เรื่องจริงคือ 5 ปีให้หลัง ม.ร.ว.ดวงใจ แม่ของม.จ.ฉวีวาดถูกจับกุมลงโทษด้วยเหตุอะไรสักอย่าง จนบ้านแตกลูกเต้ากระจัดพลัดพรายเมื่อพระองค์เจ้าคำรบมีพระชันษาเพียง 8 ขวบ โทษที่หม่อมย่าดวงใจได้รับก็คือ 1 ถูกจับกุมตัวไปเฆี่ยนหลัง 30 ที 2 ถูกคุมขังอยู่ในวังเป็นเวลา 1 ปี 3 โดนปรับด้วย เป็นเงินเท่าไรไม่ทราบ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ใช้คำว่า เมื่อครบ 1 ปีท่านก็ถูกปล่อยตัวกลับมาวัง ด้วยฐานะลำบากยากจน จึงขอตีความว่าโดนปรับเงินทองจนแทบไม่เหลือติดตัว แต่จะว่าหม่อมย่าหมดตัวก็ไม่ใช่ เพราะในจดหมายของพระองค์เจ้ามาลิกา พูดถึงมรดกของม.ร.ว.ดวงใจในภายหลัง แปลว่าท่านก็ยังมีทรัพย์สินเหลืออยู่พอเป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานได้ ไม่ใช่สิ้นเนื้อประดาตัว คำถามที่จะขอให้ท่านผู้รู้ทั้งหลายที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือมาตลอดช่วยกันคิด คือโทษขนาดนี้ ควรเป็นความผิดชั้นไหน และข้อหาร้ายแรงระดับไหน 2
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 237 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 19:46
|
|
โทษที่ม.ร.ว.ดวงใจได้รับ เป็นโทษอันเกิดจากลูกสาวเป็นผู้ก่อ แต่ทางการจับตัวไม่ได้ก็เลยมาจับกุมพ่อแม่ไปลงโทษแทน หรือว่าเป็นความผิดประการใดก็ตามที่ม.ร.ว.ดวงใจไปทำผิดเสียเองจนถูกลงโทษ ดิฉันไม่แน่ใจเสียแล้ว เพราะความคลาดเคลื่อนในหนังสือเล่มนี้มีหลายแห่ง จนกระทั่งไม่กล้าฟันธงลงไป แต่เชื่อว่าไม่ใช่ริบราชบาตร ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่โต งุบงิบแอบปิดบังเอาไว้ไม่ได้ หากเกิดขึ้นจริงก็น่าจะมีบันทึกเอาไว้ในเอกสารสำคัญสมัยรัชกาลที่ 5 เช่นในประวัติศาสตร์หรือพงศาวดารสมัยนั้น แต่นี่หาเท่าไหร่ก็ไม่มี จึงเชื่อว่าไม่มีการริบราชบาตรต่อราชสกุลปราโมช ซึ่งย่อมจะเป็นเรื่องใหญ่โดนกันกราวรูดแน่นอน แต่เป็นเรื่องทางการลงโทษบุคคลคนเดียวในราชสกุลปราโมช ด้วยข้อหาอะไรก็ยังคลุมเครืออยู่ เพราะข้อหากบฏไม่มีจริงอยู่แล้ว เจ้านายอื่นๆในราชสกุลที่มีอยู่มากมายในพ.ศ.นั้น ตั้งแต่พระองค์เจ้าปรีดา จนถึงน้องๆของท่านไม่ได้รับความกระทบกระเทือนแต่อย่างใด โดนคนเดียวคือม.ร.ว.ดวงใจ ลูกๆของท่านทุกคนก็ไม่ได้รับโทษอย่างที่พึงได้รับหากว่าโดนริบราชบาตรจริงๆ
ทีนี้ก็ถึงคำถามว่า โทษเฆี่ยนหลัง 30 ที ติดสนม 1 ปี โดนปรับเงินทองด้วย เป็นโทษที่เจ้านายสตรีพึงได้รับด้วยความผิดข้อหาไหน? คบชู้สู่ชาย หนีออกนอกพระราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต เลิกกับสามีโดยไม่มีเหตุอันควร
ดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นข้อ 2 ท่านทั้งหลายเห็นอย่างไรคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 238 เมื่อ 27 ธ.ค. 13, 08:50
|
|
ในค.ห. 220 ประวัติพระองค์เจ้าปรีดา ที่คุณ hobo ถ่ายเอกสารมาให้ ระบุว่าพ.ศ. 2410 ในรัชกาลที่ 4 กรมขุนวรจักรฯได้เป็นเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศมาจนสิ้นรัชกาล ก็คือประมาณ 1 ปีเพราะสิ้นรัชกาลที่ื 4 เมื่อพ.ศ. 2411 ส่วนพระองค์เจ้าคำรบมาประสูติเมื่อพ.ศ. 2414 ในรัชกาลที่ 5 เพราะฉะนั้น พระบิดาก็ไม่ทรงมีหน้าที่การงานเกี่ยวกับต่างประเทศมา 3 ปีแล้ว ดังนั้นประวัติที่ว่าท่านไปประสูติที่อังกฤษ เห็นจะผิดพลาดค่ะ
เมื่อดูจากประวัติพระองค์เจ้าปรีดา หลังจากกรมขุนวรจักรฯสิ้นพระชนม์ในพ.ศ. 2415 ในพระประวัติ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯทรงใช้คำว่า พระองค์เจ้าปรีดาทรงสันทัดในการช่าง จึงทรงพระกรุณาให้บังคับการกรมช่างกระจกต่อมา ก็แปลว่าก่อนหน้านี้พระบิดาว่าการกรมช่างกระจกอยู่ในต้นรัชกาลที่ 5 มิได้ทรงลาออกจากราชการมาขังพระองค์อยู่ในวังเฉยๆ อย่างที่เล่าในหนังสือ
คำอธิบายขยายความของหน้าที่เจ้ากรมช่างกระจก ตามที่ปรากฏในประวัติพระองค์เจ้าปรีดา ยิ่งแสดงให้เห็นว่าหน้าที่ของเจ้ากรมช่างกระจกต้องรับผิดชอบการช่างอย่างอื่นด้วย ไม่เฉพาะแต่หุงกระจกเท่านั้น พระองค์เจ้าปรีดาทรงรับหน้าที่เรื่องกระทงใหญ่และงานพระเมรุเป็นต้น นี่ก็แสดงว่าเป็นงานที่ทรงฝึกฝนจากพระบิดามาก่อนตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ 5 จึงชำนาญพอจะสืบต่อเป็นเจ้ากรมช่างกระจกได้ทันที ในเมื่อเจ้ากรมช่างกระจกต้องรับงานพระเมรุของเจ้านาย ซึ่งมีไม่เว้นแต่ละปี ปีละหลายครั้ง เรื่องที่กรมขุนวรจักรฯจะขังพระองค์อยู่ในวังติดต่อกันหลายปี ไม่ยอมเสด็จออกไปไหน ส่งแต่พระโอรสและลูกน้องไปรับงานภายนอกอยู่ฝ่ายเดียว ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้หนักขึ้นไปอีก โดยหน้าที่แล้วจะต้องเสด็จออกไปเป็นประจำด้วยซ้ำ จึงตั้งข้อปุจฉาไว้อีกข้อหนึ่งตรงนี้ว่า นอกจากเรื่องต้นตะขบหน้าวังเป็นเรื่องคลาดเคลื่อนไม่มีจริงอีกเรื่องหนึ่งแล้ว เรื่องกรมขุนวรจักรฯไม่เสด็จออกไปไหน หรือนานๆเสด็จที ก็ไม่จริงเหมือนกัน ท่านก็ยังเสด็จออกไปทำงานตามหน้าที่ของท่านนั่นแหละค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
hobo
|
ความคิดเห็นที่ 239 เมื่อ 27 ธ.ค. 13, 09:39
|
|
อาจารย์ครับ ในหนังสือหม่อมท่านไม่ได้ว่าลาออกนะครับ แต่ออกมาทำงานว่าราชการที่บ้าน ซึ่งเป็นธรรมเนียมไทยอย่างหนึ่ง ที่เสนาบดี เจ้ากรม สั่งการอยู่ที่บ้าน เพิ่งมาเลิดเมื่อมีกระทรวง ทบวง กรมอย่างใหม่ในรัชกาลที่ 5
อีกอันคือในที่สมเด็จกรมพระยาดำรงทรงไว้ ท่านกล่าวถึงความขัดแย้งกับสมเด็จเจ้าพระยาด้วย เป้นการยืนยันว่ามีเรื่องเกิดขึ้น แน่ๆ ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|