เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 26
  พิมพ์  
อ่าน: 102017 พม้า พม่า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 28 ต.ค. 13, 15:51

หากคุณเทาชมพูมีโอกาสไปพม่า แนะนำให้ไปพระเจดีย์ชเวดากองตอนหัวค่ำ นอกจากจะไม่ร้อนเท้าแล้ว ได้เห็นความงดงามของพระเจดีย์ยามเมื่อกระทบแสงสาดส่อง

มีอีกสิ่งหนึ่งที่ควรสังเกตคือเมื่อเดินรอบพระเจดีย์มาประมาณครึ่งรอบ จะมีสปอร์ตไลต์ส่องขึ้นไปบนยอดพระเจดีย์  สังเกต ตำแหน่งพิเศษ บนพื้น แล้วมองขึ้นไปบนยอดพระเจดีย์ จะเป็นประกายพลอยว็อบ ๆ แว็บ เป็นสีต่าง ๆ เช่นส้ม เหลือง แดง เขียว เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ น่าอัศจรรย์ยิ่ง  ยิงฟันยิ้ม

เพชรพลอยบนยอดพระเจดีย์ ภาพโดยคุณ SkyBox



คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 28 ต.ค. 13, 18:58

ตามความเชื่อของชาวพม่า พระเจดีย์ชเวดากองนี้สร้างเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า มีอายุถึง ๒,๖๐๐ ปีเชียว มีตำนานอิงพระไตรปิฎกดังนี้

อุบาสกคู่ในพระพุทธศาสนา   โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

อุบาสกคู่นี้มีนามว่า ตปุสสะ กับ ภัลลิกะ ว่ากันว่าเธอทั้งสองมาจากอุกกลชนบท (หรืออุกกลาชนบท) อยู่แห่งหนตำบลใดไม่แจ้ง แต่น่าจะจากภาคเหนือของชมพูทวีป แถวตักสิลาโน่นแหละครับ ทั้งสองคนนี้เป็นพ่อค้าเดินทางมาค้าขายผ่านมาทางตำบลคยา สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ได้พบพระพุทธเจ้าขณะประทับเสวยวิมุตติสุขอยู่ใต้ต้นราชายตนะ (ต้นเกด) ในสัปดาห์ที่ ๓ หลังจากตรัสรู้ (หลักฐานฝ่ายอรรถกถาว่าเป็นสัปดาห์ที่ ๗)

เมื่อเห็นพระพุทธองค์ก็มีจิตเลื่อมใส ได้น้อมนำเอา “ข้าวสัตตุก้อน สัตตุผง” (ความจริงต้องพูดสับลำดับเป็น “สัตตุผง สัตตุก้อน”) ไปถวาย ขณะนั้นพระพุทธองค์ยังไม่มีบาตร ร้อนถึงท้าวโลกบาลทั้ง ๔ ได้น้อมนำบาตรมาถวายองค์ละใบ พระพุทธองค์ทรงดำริว่าใบเดียวก็เพียงพอแก่เรา จึงทรงอธิษฐานให้บาตรทั้ง ๔ ใบประสานเป็นใบเดียว ทรงรับข้าวสัตตุผงและสัตตุก้อนจากพ่อค้าทั้งสอง เสวยเสร็จแล้วก็ประทานอนุโมทนา

“สัตตุผง” นั้นบาลีเรียกว่า “มันถะ” คือ ข้าวตากที่ตำละเอียด ส่วน “สัตตุก้อน” บาลีเรียกว่า “มธุบิณฑิกะ” คือ ข้าวตากที่ผสมน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นก้อน ๆ

พ่อค้าทั้งสองได้เปล่งวาจาถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นสรณะ ไม่เปล่งวาจาถึงพระสงฆ์ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีพระสงฆ์ ทั้งสองจึงเรียกว่า อุบาสกผู้ถึงรัตนะสองเป็นสรณะ (เทฺววาจิกอุบาสก)

ในคัมภีร์พระไตรปิฎกพูดเพียงว่า เมื่อถวายสัตตุผงสัตตุก้อนแด่พระพุทธเจ้าแล้ว พ่อค้าทั้งสองก็กลับมาตุภูมิ เรื่องจบแค่นี้ครับ แค่นี้จริง ๆ

แต่พี่หม่องไม่ยอมให้จบ ได้แต่งต่อว่า พ่อค้าทั้งสองก่อนกลับได้กราบทูลขอของที่ระลึกเพื่อไปสักการบูชาเมื่อจากพระพุทธองค์ไป พระพุทธองค์ทรงเอาพระหัตถ์ลูบพระเศียร เส้นพระเกศา ๘ องค์หลุดติดพระหัตถ์มา พระพุทธองค์ประทานให้แก่พ่อค้าทั้งสอง

พ่อค้าทั้งสองได้นำพระเกศธาตุ ๘ องค์นั้นไปก่อเจดีย์บรรจุไว้บูชาที่บ้านเมืองของตน พระเจดีย์นั้นรู้กันในปัจจุบันนี้ว่า ชเวดากอง ตปุสสะกับภัลลิกะจะเป็นใครไม่ได้นอกจากชาวพม่าหงสาวดี พี่หม่องอ้างปานนั้นแหละครับ ส่วนท่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่จะพิจารณา


ในขณะที่ไทยเราฉลองพุทธชยันตี ครบ ๒,๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พี่หม่องก็ฉลองพระเจดีย์ชเวดากองนี้อายุครบ ๒,๖๐๐ ปีด้วยเหมือนกัน



คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 28 ต.ค. 13, 19:58

นี่ก็อร่ามเรืองอีกเช่นกัน


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 28 ต.ค. 13, 19:58

คุณเพ็ญชมพูไปที่นี่หรือเปล่าคะ


บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 28 ต.ค. 13, 20:18

วัดนี้ชื่อวัดโบตะทาว Botataung แปลว่าทหาร ๑,๐๐๐ นาย มีเจดีย์โบตะทาวเป็นที่ประดิษฐานพระเกศธาตุของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระเจดีย์ชเวดากอง ตามตำนานเขาว่าไว้ดังนี้

เมื่อตปุสสะและภัลลิกะนำพระเกศธาตุ ๘ องค์กลับจากอินเดีย ได้มาขึ้นฝั่งที่บริเวณนี้ พระเจ้าโอกะลัปจึงส่งทหาร ๑,๐๐๐ นายมาเฝ้า ต่อมาจึงได้สร้างเจดีย์โบตะทาวไว้เป็นที่ประดิษฐานพระเกศธาตุไว้ ๑ องค์ ก่อนนำไปยังเจดีย์ชเวดากอง

ที่เห็นอร่ามเรืองนี้เป็นภายในพระเจดีย์โบตะทาว

นี่ก็อร่ามเรืองอีกเช่นกัน



พระเจดีย์โบตะทาว ถ่ายจากริมแม่น้ำย่างกุ้ง  ยิงฟันยิ้ม


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 28 ต.ค. 13, 20:29

ที่ประดิษฐานพระเกศธาตุภายในพระเจดีย์

ภาพจากเน็ต  ยิงฟันยิ้ม


บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 28 ต.ค. 13, 20:36

จากพระเจดีย์ไปทางขวาจะพบวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญนาม "พระนันอู" Nan Oo  ยิงฟันยิ้ม

คุณเพ็ญชมพูไปที่นี่หรือเปล่าคะ




บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 28 ต.ค. 13, 20:42

พระนันอูตามประวัติต้องเดินทางไปอยู่ที่อังกฤษถึง ๖๖ ปี  ดังนั้นเมื่อคนพม่าจะเดินทางไปศึกษาหรือทำงานต่างประเทศจึงมักจะมาขอพระจากพระพุทธรูปองค์นี้เสมอ  

ข้อมูลนี้ฟังจากคนพม่าเล่าให้ฟัง ยิงฟันยิ้ม


บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 28 ต.ค. 13, 20:47

จากพระเจดีย์ไปทางซ้ายจะพบกับ "เทพทันใจ" ขวัญใจของนักท่องเที่ยวชาวไทย เชื่อว่าคุณเทาชมพูต้องมีรูปถ่ายแน่ ๆ

พักสักครู่แล้วจะเฉลยว่า "เทพทันใจ" นั้นหรือคือผู้ใด



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 29 ต.ค. 13, 09:30

คนเยอะเหลือเกิน เจ้าของกล้องคงหามุมกล้องตรงที่ว่างๆไม่ได้ เลยถ่ายมารูปเดียว


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 29 ต.ค. 13, 09:44

คอนโดในเมือง?


บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 29 ต.ค. 13, 11:30

พักสักครู่แล้วจะเฉลยว่า "เทพทันใจ" นั้นหรือคือผู้ใด

ทุกวัดในพม่านอกจากจะมีพระพุทธรูปแล้ว ยังมี "ผี" อีกด้วย ในภาษาพม่าเรียกผีนี้ว่า "นัต"

นัต มาจากภาษาบาลีว่า "นาถ" ที่แปลว่า "ผู้เป็นที่พึ่ง" นัตเป็นผีบรรพบุรุษ ลักษณะกึ่งผีกึ่งเทวดา คล้ายเทพารักษ์ คอยดูแลคุ้มครองสถานที่ที่ตนเมื่อครั้งยังมีชีวิตมีความสัมพันธ์อยู่ เป็นความเชื่อพื้นเมืองที่มีมาก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้ามาในพม่า

เทพทันใจก็เป็นนัตตนหนึ่ง มีชื่อในภาษาพม่าว่า "โบโบยี" มีหน้าที่ดูแลเจดีย์และวัดวาอาราม ที่เจดีย์ชเวดากองก็มีนัตโบโบยีนี้อยู่ นัตโบโบยีที่โบตะทาวนี้มีลักษณะพิเศษตรงที่อยู่ในท่ากำลังชี้ ตามตำนานกล่าวว่าโบโบยีตนนี้เป็นผู้ชี้ทางให้เรืออัญเชิญพระเกศธาตุมาขึ้นฝั่งที่เมืองตะเกิงนี้

นักท่องเที่ยวไทยเชื่อเป็นนักเป็นหนาว่าโบโบยีที่โบดาทาวนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก ขอพรอันใดก็จะสมหวัง เรื่องนี้ได้ถามคนพม่าที่รู้จักกันถึงโบโบยี กลับไม่ทราบถึงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์นี้ แต่เล่าถึงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อนันอู พระพุทธรูปที่อยู่ในวัดเดียวกัน

รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกันที่คนไทยส่วนมามาที่วัดนี้แล้วเลี้ยวซ้ายไปหาผีโบโบยีก่อน แล้วค่อยไปไหว้หลวงพ่อนันอูที่อยู่อีกฟากหนึ่ง



บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 29 ต.ค. 13, 12:03



ห้องทางซ้ายของโบโบยีคือนัตตะจามินหรือพระอินทร์ผู้เป็นประมุขของนัตทั้งหลาย ห้องทางขวาคือนัตแห่งศิลปวิทยาการประทับบนหลังพญาหงส์ (ลักษณะคล้ายพระสุรัสวดีชายาของพระพรหม) ห้องขวาสุดเป็นเจ้าแม่กวนอิม

ห้องที่มีคนไทยขึ้นมาที่สุดคือห้องโบโบยี  ยิ้มเท่ห์

ภาพโดย คุณ TheFootball




คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 29 ต.ค. 13, 12:19

นอกจากเหล่านัตที่อยู่ในบริเวณวัดแล้ว ข้างหน้าวัดยังมีนัตอีกตนหนึ่งชื่อ "อะมาดอเมียะ" คนไทยรู้จักกันในนาม "เทพกระซิบ"

ตามตำนานกล่าวว่า นางเป็นธิดาของพญานาค ที่เกิดศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า รักษาศีล ไม่ยอมกินเนื้อสัตว์จนเมื่อสิ้นชีวิตไปกลายเป็นนัต ชาวพม่าเคารพกราบไหว้กันมานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีใครมากระซิบอธิษฐานกับท่านเลย แม้แต่คนเดียว จนกระทั่งนักท่องเที่ยวชาวไทยนั่นเอง เป็นคนเริ่มต้น โดยมีหัวหน้าทัวร์ไทยนำคณะมาไหว้เทพทันใจที่วัดนี้ ได้เห็นผู้คนมุงกันหนาแน่นหน้าศาลของนัตองค์นี้ และเห็นป้ายภาษาพม่าเขียนบอกอะไรสักอย่าง จึงถามไกด์ว่า ป้ายเขียนไว้ว่าอย่างไร ซึ่งไกด์ก็อ่านให้ฟังว่า ป้ายบอกว่า "ห้ามพูดส่งเสียงดัง” เนื่องเพราะบริเวณนั้น ชอบมีแม่ค้ามาร้องเสนอขายชุดเครื่องเซ่นไหว้องค์เทพ ส่งเสียงเอะอะ ทั้งที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ วัดจึงปิดป้ายเตือนไว้ แต่กลับเป็นว่า หัวหน้าทัวร์ท่านนั้นเข้าใจว่า ถ้าจะไปอธิษฐานขอเทพองค์นี้ ห้ามพูดเสียงดัง จึงอธิบายให้คณะคนไทยฟังว่า ถ้าจะอธิษฐานขออะไรกับเทพองค์นี้ต้องกระซิบ แล้วก็เล่าลือกันต่อ ๆ ไป จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ที่ถึงตอนนี้ มีคนได้รับผลอธิษฐานสมปรารถนากลับมาแก้บน และบอกต่อกัน จนรายการไหว้เทพกระซิบถูกบรรจุเข้าไปในรายการทัวร์ไทยทุกบริษัท จนชาวพม่าเห็นคนไทยทำแล้วดี ก็เริ่มเอาอย่างทำตามบ้างแล้ว

ข้อมูลจาก คุณฉัตรตริน เพียรธรรม แห่งบริษัทเอ็นซีทัวร์

นัตตนนี้ เห็นมีคนพม่าขึ้นเยอะพอสมควร





บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 44  เมื่อ 29 ต.ค. 13, 12:33

ที่ปากทางก่อนเข้าวัดจะมีแผงขายของสำหรับบูชาทั้งพระและนัต เป็นมะพร้าวกับกล้วย

ของไหว้เกรดเอต้องเป็นมะพร้าวสีทองและกล้วยนากสีแดง  ยิงฟันยิ้ม

ภาพโดย คุณ A Lover's Concerto


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 26
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.065 วินาที กับ 20 คำสั่ง