ตามความเชื่อของชาวพม่า พระเจดีย์ชเวดากองนี้สร้างเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า มีอายุถึง ๒,๖๐๐ ปีเชียว มีตำนานอิงพระไตรปิฎกดังนี้
อุบาสกคู่ในพระพุทธศาสนา โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
อุบาสกคู่นี้มีนามว่า ตปุสสะ กับ ภัลลิกะ ว่ากันว่าเธอทั้งสองมาจากอุกกลชนบท (หรืออุกกลาชนบท) อยู่แห่งหนตำบลใดไม่แจ้ง แต่น่าจะจากภาคเหนือของชมพูทวีป แถวตักสิลาโน่นแหละครับ ทั้งสองคนนี้เป็นพ่อค้าเดินทางมาค้าขายผ่านมาทางตำบลคยา สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ได้พบพระพุทธเจ้าขณะประทับเสวยวิมุตติสุขอยู่ใต้ต้นราชายตนะ (ต้นเกด) ในสัปดาห์ที่ ๓ หลังจากตรัสรู้ (หลักฐานฝ่ายอรรถกถาว่าเป็นสัปดาห์ที่ ๗)
เมื่อเห็นพระพุทธองค์ก็มีจิตเลื่อมใส ได้น้อมนำเอา “ข้าวสัตตุก้อน สัตตุผง” (ความจริงต้องพูดสับลำดับเป็น “สัตตุผง สัตตุก้อน”) ไปถวาย ขณะนั้นพระพุทธองค์ยังไม่มีบาตร ร้อนถึงท้าวโลกบาลทั้ง ๔ ได้น้อมนำบาตรมาถวายองค์ละใบ พระพุทธองค์ทรงดำริว่าใบเดียวก็เพียงพอแก่เรา จึงทรงอธิษฐานให้บาตรทั้ง ๔ ใบประสานเป็นใบเดียว ทรงรับข้าวสัตตุผงและสัตตุก้อนจากพ่อค้าทั้งสอง เสวยเสร็จแล้วก็ประทานอนุโมทนา
“สัตตุผง” นั้นบาลีเรียกว่า “มันถะ” คือ ข้าวตากที่ตำละเอียด ส่วน “สัตตุก้อน” บาลีเรียกว่า “มธุบิณฑิกะ” คือ ข้าวตากที่ผสมน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นก้อน ๆ
พ่อค้าทั้งสองได้เปล่งวาจาถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นสรณะ ไม่เปล่งวาจาถึงพระสงฆ์ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีพระสงฆ์ ทั้งสองจึงเรียกว่า อุบาสกผู้ถึงรัตนะสองเป็นสรณะ (เทฺววาจิกอุบาสก)
ในคัมภีร์พระไตรปิฎกพูดเพียงว่า เมื่อถวายสัตตุผงสัตตุก้อนแด่พระพุทธเจ้าแล้ว พ่อค้าทั้งสองก็กลับมาตุภูมิ เรื่องจบแค่นี้ครับ แค่นี้จริง ๆ
แต่พี่หม่องไม่ยอมให้จบ ได้แต่งต่อว่า พ่อค้าทั้งสองก่อนกลับได้กราบทูลขอของที่ระลึกเพื่อไปสักการบูชาเมื่อจากพระพุทธองค์ไป พระพุทธองค์ทรงเอาพระหัตถ์ลูบพระเศียร เส้นพระเกศา ๘ องค์หลุดติดพระหัตถ์มา พระพุทธองค์ประทานให้แก่พ่อค้าทั้งสอง
พ่อค้าทั้งสองได้นำพระเกศธาตุ ๘ องค์นั้นไปก่อเจดีย์บรรจุไว้บูชาที่บ้านเมืองของตน พระเจดีย์นั้นรู้กันในปัจจุบันนี้ว่า ชเวดากอง ตปุสสะกับภัลลิกะจะเป็นใครไม่ได้นอกจากชาวพม่าหงสาวดี พี่หม่องอ้างปานนั้นแหละครับ ส่วนท่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่จะพิจารณาในขณะที่ไทยเราฉลองพุทธชยันตี ครบ ๒,๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พี่หม่องก็ฉลองพระเจดีย์ชเวดากองนี้อายุครบ ๒,๖๐๐ ปีด้วยเหมือนกัน
