ต่อจากค.ห.ที่ 168
7 สิ้นรัชกาลที่ ๕ ม.จ.ฉวีวาดไม่ประสงค์จะอยู่ในเขมรต่อไป ก็ตัดสินใจกลับมาสยาม เจ้าพี่เจ้าน้องอื่นๆที่รู้เรื่องราวแต่หนหลังก็คงตะขิดตะขวงที่จะต้อนรับ แต่พระองค์เจ้าคำรบซึ่งรุ่งเรืองในราชการเป็นหลักให้พี่น้องพึ่งพาได้ ทรงรับไว้ ท่านจึงมาพำนักอยู่ด้วย
8 ม.จ.ฉวีวาดย่อมทราบดีว่าเรื่องของท่านต้องถูกซุบซิบเล่าต่อให้ลูกหลานฟัง ซึ่งเล่าผิดหรือเล่าถูกอย่างใดก็คงไม่เป็นผลดีกับท่านอยู่นั่นเอง ท่านจึงเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองให้หลานชายฟังเสียเลย เมื่อหลานชายรู้ก็คงเป็นสะพานเล่าต่อไปถึงหม่อมแม่หรือท่านลุงท่านป้าองค์อื่นๆเอง
9 เวอร์ชั่นที่ท่านเล่า ก็เป็นเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเวอร์ชั่นที่พระองค์มาลิกาเขียนมาถวายสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เช่นการหนีออกนอกสยามมีสาเหตุจากการเมืองระดับประเทศ เมื่อต้องลี้ภัยการเมือง ท่านก็ไปเป็นใหญ่อยู่ในเขมร ใครจะมาดูถูกไม่ได้
ในหนังสือพระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าไม่มีปีประสูติและปีสิ้นชีพิตักษัยของม.จ.ฉวีวาด แต่ในเน็ตบอกว่าท่านประสูติประมาณพ.ศ. 2397-2399 ถ้าหากว่าเป็นปีเกิดที่ถูกต้อง เมื่อเกิดวิกฤตวังหน้าท่านก็พระชันษา 18-20 ปี เท่านั้นเอง ยังน้อยเกินกว่ากงสุลน็อกซ์จะให้ล่วงรู้ในแผนการใหญ่ขั้นแบ่งแยกประเทศ
นอกจากนี้ท่านเป็นผู้หญิง ไม่มีกำลังทหาร ไม่มีอิทธิพลความกว้างขวางใดๆ จะให้เป็นหัวโจกในกรณีไหนก็ยังนึกไม่ออก
10 หลังจากฟังท่านป้าเล่าเรื่องราว ต่อมา ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ไปเรียนต่อที่อังกฤษตั้งแต่วัยรุ่น ไม่มีโอกาสทราบเรื่องนายนุด เมื่อท่านป้าบอกว่าโอรสคือพระองค์เจ้าพานคุลี ท่านก็รับทราบตามนั้น
11 ต่อมาอีกหลายสิบปี เมื่ออายุ 60 เขียนเรื่องโครงกระดูกในตู้แจกเครือญาติ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จะเว้นเรื่องท่านป้ามิได้ ท่านอาจจะแว่วถึงเรื่องเล่าอื่นๆอยู่บ้าง แต่เลือกที่จะเชื่อเวอร์ชั่นที่ท่านป้าเล่าให้ฟัง เพราะถือว่าในเมื่อฟังจากปากเจ้าตัวโดยตรง จะไม่เชื่อกระไรได้ ก็ต้องยึดถือคำบอกเล่าของเจ้าตัวเป็นหลัก
12 ในเมื่อคนรุ่นหลังยึดถือว่า โครงกระดูกในตู้เป็นตำราประวัติศาสตร์ ใช้อ้างอิงได้ ม.จ.ฉวีวาดจึงทรงมีภาพลักษณ์ตามที่ปรากฏในลิ้งค์ข้างล่างนี้
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%89%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%94_%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%8A