Naris
|
ความคิดเห็นที่ 105 เมื่อ 14 ม.ค. 19, 09:45
|
|
ผมเคยดูยูทูป มีรายการหนึ่งเขาทดลองเอาเขียงไม้มะขามมาเป็นเป้า แล้วยิงด้วยปืนขนาดต่างๆ พบว่า แม้จะเป็นปืนขนาด .45 ก็ยังเจาะเขียงไม้มะขามไม่ทะลุ แสดงว่า เหนียวแน่นและทนทานจริงๆครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 106 เมื่อ 14 ม.ค. 19, 18:33
|
|
ไม้มะขามมีเนื้อแน่นเช่นนั้นจริงๆ สามารถทนทานการใช้ได้นานมาก คงจะเคยเห็นเขียงไม้มะขามในร้านขายพวกเป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ และข้าวมันไก่ เขานิยมใช้ขนาดกว้างประมาณศอกหนึ่ง หนาประมระมาณ 15-20 ซม. พวกนี้จะใช้กันมานานหลายสิบปีแล้ว แม้จะมีการขูดทำความสะอาดผิวบ่อยครั้งมากจนผิวหน้าเขียงเป็นหลุม ก็ยังคงมีความทนทานในการใช้งานต่อไปได้อีกนาน
ผมก็ชอบเขียงไม้มะขาม เมื่อเห็นมีวางขายก็จะต้องหาทางแวะดู แต่ด้วยที่เรื่องมากหน่อยก็ทำให้เลือกที่ถูกใจได้ยาก บางครั้งซื้อมาใช้แล้วก็ไม่ถูกใจแบบถึงจุดพอใจที่สุด ครับ..ทั้งขนาดความกว้าง ความหนา ความหนัก ตำแหน่งของแก่นไม้ของเขียง ทั้งหมดนี้มีความสัมพันธ์กับลักษณะของการใช้ในการทำครัวของแต่ละคน ก็ตั้งแต่ลักษณะและชนิดของมีดที่ชอบใช้ ลักษณะของการใช้เขียง (หั่น สับ บะช่อ) ความเสถียร(การขยับเขยื้อน)เมื่อใช้งาน ความหนักเบาในการเคลื่อนย้าย....
คนทำครัวที่ชอบใช้มีดมีน้ำหนัก(มีดแบบจีน) ก็จะนิยมใช้เขียงแบบไม้มะขาม คนที่ชอบใช้มีดเล็ก(มีดแบบตะวันตก)หรือทำอาหารพวกหั่นซอยก็จะใช้เขียงที่เป็นลักษณะแผ่นไม้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 107 เมื่อ 14 ม.ค. 19, 18:50
|
|
มีดแบบจีนนั้นหาซื้อได้ทั้งแบบที่ทำโดยคนไทยหรือชุมชนแหล่งตีมีดต่างๆของไทยเรา เช่น ของอยุธยา นครราชสีมา เพชรบูรณ์ ลำปาง แพร่ เป็นต้น หรือจะหาซื้อแบบที่ทำมาจากจีนหรือฮ่องกงก็ได้ มีไม่มากรูปแบบนัก เท่าที่รู้ก็มีในร้านย่านถนนแปลงนาม (เยาวราช-เจริญกรุง) ราคาอยู่ในหลักต้นๆของหน่วยพันบาท หากชอบก็พอคุ้มอยู่นะครับ ใช้ได้เหมาะมือตามใจอยากเลยทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 108 เมื่อ 14 ม.ค. 19, 19:33
|
|
เลยเถิดไปถึงเรื่องมีดทำครัว ขอวกกลับไปเรื่องหนังสติ๊กอีกเล็กน้อย
ยางที่ใช้กับหนังสติ็กสมัยก่อนก็มีความต่างกับที่มีขายอยู่ในสมัยนี้ ยางสมัยก่อนนั้นจะมีลักษณะออกไปทางเป็นเส้นแบน กว้างประมาณเกือบๆ 1 เซ็นติเมตร หนาประมาณ 2-3 มิลิเมตร และมีความยาวและยืดหยุ่นมากกว่าในปัจจุบัน ยางของสมัยปัจจุบันนี้จะออกลักษณะไปทางเส้นอ้วนใกล้จะกลม มีความยืดหยุ่นไม่มาก ขยายความเรื่องยางนี้ก็เพียงจะบอกว่า ในสมัยนั้น เราสามารถปรับแต่งความยืดหยุ่นได้อย่างตามใจเราด้วยการผูกให้มันยาวหรือสั้น ต่างกับของในปัจจุบันนี้ที่ยางจะสั้นจนไม่สามารถปรับจะแต่งได้เลย ก็มีส่วนประกอบของหนังสติ๊กอีกอย่างหนึ่งที่น่าจะต้องรู้จักกัน ที่เรียกว่าหนังรอง ในภาษาเหนือนั้นเรียกส่วนประกอบนี้ว่า ...ก๋ง (คำหยาบของอวัยวะเพศหญิง)
เพียงหนังสติ๊กอย่างเดียว เด็กและผู้ใหญ่ในชนชทห่างไกลก็เป็นเรื่องที่เอามาคุยมาถกกันได้ ก็เป็นความสุขและความสุนทรีย์อีกอย่างหนึ่งในชีวิตของผู้คนสมัยโน้น จะจัดให้เป็นลักษณะของการเรียนรู้ธรรมชาติในเรื่องของ behavior ของ elasticity, rebound, trajectory .. ก็น่าจะพอได้อยู่เหมือนกัน
ง่ามหนังสติ๊กนี้เป็นของที่ผมสนใจสะสมเหมือนกัน แต่ต้องเป็นแบบชาวบ้าน มิใช่ของที่ผลิตขายแบบอุตสาหกรรม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 109 เมื่อ 15 ม.ค. 19, 19:04
|
|
การละเล่นของเด็กบ้านป่าจริงๆนั้น เท่าที่ประสบมาไม่ว่าจะเป็นที่ใดๆดูจะมีอยู่สองสามอย่างเหมือนๆกัน คือ ตีล้อ (ตีแป้นไม้กลม) ลากกล่องหรือท่อนไม้(เสมือนรถยนต์) และปั้นดิน สำหรับกิจกรรมอื่นๆเพื่อความสนุกก็คือไปหาแมลงหรือสัตว์ตัวเล็กเอามาทำกินเล่นกัน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าพื้นที่ใหนจะมีแมลงอะไรและในฤดูอะไร
หากเป็นในภาคเหนือ ก็นิยมจะไปขุดหาจิ้งกุ่ง ส่วนที่สนุกกันก็คือการจดจ้องและความพยายามในการเอาตัวมันออกมา เช่น ขุดจนเป็นแอ่งแล้วไปตักน้ำมาเทใส่ให้ท่วมรูของมันจนมันต้องออกมา หรือเพื่อให้ดินนิ่มจะได้ขุดได้ง่ายขึ้น ก็ตามประสาเด็ก กว่าจะขุดได้ตัวหนึ่งก็ใช้เวลานานเลยทีเดียว ขนาดตัวของจิ้งกุ่งก็จะประมาณนิ้วก้อยของเรา ที่ว่าสนุกเพลิดเพลินกันจริงๆก็คือการได้พูด ได้ถกกัน ได้หาทางเอาตัวมัน ได้แหย่กัน เมื่อได้ตัวมาแล้วก็เอามาหมกใต้เตาหรือในกองไฟ คะเนว่าสุกแล้วก็เอาออกมาเด็ดหัวทิ้งไป แบ่งกันกิน ตัวหนึ่งกับเด็กสองสามคน ก็พอจะได้แต่เพียงลิ้มรสเท่านั้นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 110 เมื่อ 15 ม.ค. 19, 19:24
|
|
จิ้งกุ่งนี้ เป็นของอร่อยและมีขายในตลาดเช้าทั่วๆไปในพื้นที่ภาคเหนือ ในเชียงใหม่ในช่วงปี 2510+ ก็ยังเห็นมีทำขายกันในตลาดใหญ่กลางเมือง เอามาเสียบไม้สี่ห้าตัวแล้วชุบไข่หรือชุบแป้งทอด กินกับข้าวเหนียวห่อนึง (50 สตางค์) กับน้ำพริกตาแดง (หยิบนึง 25สตางค์) ผักต้ม (หยิบหนึ่ง 25 สตางค์) มื้อนั้นรวมกัน 2 บาท ก็อิ่มแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 111 เมื่อ 15 ม.ค. 19, 20:12
|
|
เมื่อย่างเข้าต้นฝนก็จะมีแมงมัน เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยจะมีแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะโดนยาฆ่าแมลงตายกันไปหมด ขายกันแพงมาก ปริมาณถ้วยตะไลหนึ่งราคาไม่น้อยกว่า 20 บาท หากคิดเป็นกิโลกรัมราคาก็น่าจะถึงประมาณ 2,000 ++ บาทเลยทีเดียว แมงมันนี้ชอบแสงไฟที่สว่างๆ และจะมาตอมไฟพร้อมๆกับแมลงเม่า
เมื่อเห็นแมลงเม่ามาตอมไฟ ก็ได้เวลาจะเอากะละมังใส่น้ำไปวางไว้ใต้หลอดไฟเพื่อดักเอาแมลงเม่าไปทิ้ง เราก็จะได้แมงมันด้วย เก็บรวมกับที่มันเดินอยู่ตามพื้นก็พอจะได้จำนวนไม่น้อย ในชนบทห่างไกล ชาวบ้านที่ใช้ตะเกียงเจ้าพายุก็มีโอกาสจะได้แมงมันเป็นจำนวนมาก ส่วนชาวบ้านที่ใช้ตะเกียงรั้วหรือตะเกียงกระป๋องก็เกือบจะไม่มีโอกาสจับแมงมันได้เลย
ผมชอบแมงมันคั่วแห้งๆกับน้ำมันนิ๊ดเดียวในกระทะร้อนๆแล้วโรยเกลือ ในปัจจุบันนี้ ด้วยที่มันมีราคาแพงมาก ชาวบ้านจึงนิยมเอาไปตำน้ำพริกกัน แทนที่จะเอามาคั่วแบบแต่ก่อน
แมงมันเป็นแมลง เป็นมดชนิดหนึ่ง เป็นตัวนางพญาของมดพันธุ์นั้น เป็นตัวแม่พันธุ์รุ่นใหม่ที่บินออกไปเพื่อจะสร้างอาณาจักรใหม่ แหล่งที่อยู่ของมันมักจะมีลักษณะเป็นเนินดินคล้ายรังปลวก ชาวบ้านที่มีความชำนาญจะพยายามหารังของแมงมัน แล้วขุดเอาไข่และตัวอ่อนของมันออกมาทำกิน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 112 เมื่อ 15 ม.ค. 19, 20:14
|
|
จิ้งกุ่งคือตัวนี้ใช่ไหมคะ ทำใจลำบากถ้าจะต้องกินค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 113 เมื่อ 15 ม.ค. 19, 20:18
|
|
แมงมัน ก็ทำใจลำบากเหมือนกัน ได้ข่าวว่ากิโลละ 1000 บาท คงประหยัดเงินได้คราวนี้ละค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 114 เมื่อ 15 ม.ค. 19, 20:38
|
|
ตัวจิ้งกุ่ง ก็เป็นดังภาพนั้นครับ ในมุมหนึ่งมันก็คือจิ้งหรีดอย่างหนึ่งที่อยู่ในรู ตัวใหญ่กว่าจิ้งหรีดที่เราเห็นเขาเอามาทอดขายกัน ตัวจิ้งกุ่งนั้นเราเกือบจะไม่เห็นเลยว่ามันมีปีก
สำหรับแมงมันนั้นหากเด็ดปีก เด็ดส่วนหัวและตัวทิ้งไป เหลือแต่ส่วนท้องลักษณะคล้ายเมล็ดถั่วเขียวสีดำแดงเข้ม หากไม่บอกว่าเป็นอะไรก็น่าจะกินได้นะครับ จะไปสงสัยว่าเป็นอะไรหว่าก็คงจะเป็นตอนที่รู้สึกมีกากคล้ายเกล็ดปลาเล็กๆอยู่ในปาก
ผมเองไม่ได้รู้สึกว่าเป็นของโปรดหรือของมักอีกเลยนานมาแล้วครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 115 เมื่อ 16 ม.ค. 19, 19:31
|
|
ในประสบการณ์ของผม คนบ้านป่าไม่นิยมกินพวกแมลง ต่างกับคนในชนบทที่มีอาชีพทำนา ทำไร่ หรือทำสวน ซึ่งนิยมกินแมลงชนิดต่างๆ ก็มีเหตุผลที่เข้าใจได้ว่าเป็นเพราะมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของพื้นที่ ทั้งทางด้านกายภาพ ด้านชีวภาพ ระบบนิเวศน์ วัฎจักรการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ สังคมและวิถีของการดำรงชีพ
คนบ้านป่าในความหมายของผม คือผู้คนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่ราบลอนคลื่น (undulating terrain) และในพื้นที่ป่าเขา (ridge and valley terrain) ส่วนคนในชนบทในความหมายของผม คือผู้คนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ๆเป็นตะพักลำน้ำ (river terrace terrain) และที่ราบน้ำท่วมถึง (flood plain area)
ด้วยสภาพและลักษณะทางธรรมชาติ คนบ้านป่าโดยทั่วไปนิยมที่จะหากินสัตว์บกพวกเลี้ยงลูกด้วยนมและนก สัตว์น้ำก็จะเป็นพวกปลาและพวกกบเขียด สำหรับคนในชนบททั่วไปอยู่ในระบบนิเวศน์ที่หลากหลายมากกว่า จึงมีโอกาสที่จะหาของกินได้หลากหลายมากตามไปด้วย แมลงจึงเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งในเมนูอาหารของผู้คนในชนบท
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 116 เมื่อ 16 ม.ค. 19, 20:13
|
|
ช่วงเวลาปลายฤดูหนาวต่อไปจนถึงช่วงต้นฤดูฝน จะเป็นช่วงของเวลาการเร่งการเจริญวัยให้เต็มที่ของแมลงส่วนใหญ่ เพื่อพร้อมจะออกหาคู่ขยายพันธุ์ต่อไป ต้นไม้ก็เริ่มแตกใบอ่อน เป็นอาหารชั้นดีให้กับแมลงเหล่านั้น
ก็มีแมลงอยู่อีกสองชนิด(นอกเหนือจากแมงมัน)ที่ดูจะเป็นที่รอคอยของชาวบ้าน โดยเฉพาะคนในภาคเหนือและอีสาน คือ แมงนูน กับแมงขี้เบ้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 117 เมื่อ 17 ม.ค. 19, 19:17
|
|
แมงนูน มีชื่อเรียกอื่นๆเช่น แมงอีนูน แมงกินูน แมงจินูน เป็นแมลงที่นิยมเอามากินกันของผู้คนในภาคเหนือและอีสาน การไปจับแมงนูนนี้เป็นกิจกรรมของความสุขเมื่อยามค่ำของชาวบ้านและเด็กๆ เมื่อฟ้ามืดดีแล้ว ก็จะใช้ไฟฉายเดินท่อมๆไปส่องดูตามใบของต้นไม้ พวกนี้จะอยู่กันเป็นกลุ่ม เมื่อพบว่ามีตัวเคลื่อนไหวก็จะเอาผ้าขาวม้ามารองใต้ต้น แล้วเขย่ากิ่งให้มันร่วงตกลงมา ผมสัมผัสกับเรื่องของแมงนูนนี้น้อยมาก ก็คงจะขยายความได้เพียงเท่านี้
เช่นเดียวกันกับขี้เบ้าที่ผมก็สัมผัสกับเรื่องราวของมันน้อยมาก เคยไปขุดกับเขาเมื่อเด็กๆครั้งหนึ่งและก็ไม่เคยได้ลองลิ้มรสของมันด้วย ขี้เบ้ามีลักษณะเป็นก้อนกลมๆขนาดใกล้เคียงกับลูกเทนนิส จะพบลึกอยู่ใต้ผิวดินประมาณหนึ่งไม้บรรทัด ต้องขุดดินลึกลงไปบริเวณใต้กองขี้ควายเก่า จะพบขี้เบ้าอยู่ในโพรงดินสี่ห้าลูก เมื่อเอามาลูกกลมๆนั้นมากระเทาะเปลือกก็จะพบตัวหนอน(ด้วง)อ้วนๆ เอาออกมาทำอาหาร ส่วนตัวแม่ของมันนั้นเป็นแมลงปีกแข็งทางซึ่งอีสานเรียกว่าแมงกุ๊ดจี่ ภาษากลางเรียกว่าด้วงขี้ควาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 118 เมื่อ 17 ม.ค. 19, 19:34
|
|
ในพื้นที่บริเวณที่เป็นชายป่า จะมีสัตว์ประเภท แมง (มี 8 ขา) อยู่ชนิดนึ่งที่ก็เอามาทำกินกัน แต่ดูจะไม่เป็นที่นิยมกันนัก ก็จะใช้วิธีล่อให้มันออกมาหรือขุดเอามา ซึ่งอาจจะเป็นเพราะหายากหรือกลัวก็ได้ เรียกกันว่า ตัวบึ้ง
บึ้งก็คือแมงมุมชนิดหนึ่งตัวขนาดใหญ่ (พวก Tarantura ?) อยู่ในรู ที่ปากของรูจะพบมีไยแมงมุมถักอยู่
ผมไม่เคยได้ลองกินอีกเช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 119 เมื่อ 17 ม.ค. 19, 20:10
|
|
ตัวบึ้ง ต้องถามคุณเพ็ญชมพูว่าเป็นอย่างเดียวกับ tarantula หรือเปล่านะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|