ดิฉันเห็นด้วยกับทฤษฎีที่ว่าตราบใดภาษายังมีคนใช้อยู่ มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงทั้งหลักภาษาและวิธีใช้ภาษาไปเรื่อยๆตามสภาพสังคม ภาษาที่หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวคือภาษาที่ตายแล้ว หมายความว่าไม่มีใครใช้อีก ปัจจุบันภาษาทางอินเทอร์เน็ตก็เป็นภาษาอีกแบบหนึ่งที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อความสะดวกในการกดคีย์บอร์ด คำยาวๆยากๆเสียเวลาจิ้ม ย่อมไม่เป็นที่นิยม คำจึงสั้นลง การสื่อสารแบบเป็นประโยคสมบูรณ์ ก็ไม่เอื้อต่อเนื้อที่แคบๆในการส่งสาร เช่นเวลาเล่น line ใครหน้าไหนจะอยากพิมพ์ว่า "ขอเชิญไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน" ก็กลายเป็นว่า " เที่ยง กินข้าว ป่ะ" แค่นี้รู้เรื่องแล้ว ด้วยเหตุนี้ ภาษาทางการจึงลดลงไม่เหลืออีกในการสื่อสารในโลกเสมือน ไม่ว่าจะใช้มือถือ ไอแพด หรือโน้ตบุ๊คก็ตาม
ภาษากฎหมายในอนาคตเป็นไง ประโยคก็คงสั้นลง กระชับ รัดกุม มองในแง่ดีก็ดี เพราะอาจจะตีความให้ดิ้นได้ยาก แต่ถ้าศรีธนนชัยมาตีความ คำสั้นๆนี่แหละดิ้นเก่งนัก เพราะคนตีความเขาดิ้นเป็น
เห็นด้วยครับ
ขอเสริมครับว่า แต่การที่เราไม่ได้ใช้ไปนาน ๆ จะกลายเป็นว่าจะใช้กันไม่ถูกต้องนะครับ
ส่วนตัวผมเคยเจอเด็กมาขอข้อมูลบริษัท โทรศัพท์มาหา ประโยคแรกที่ได้ยินคือ "คือเราอยากจะขอข้อมูล............"
ซึ่งผมมองว่า ถ้าในชีวิตจริง ที่ต้องติดต่อธุระอย่างเป็นทางการ น่าจะใช้ระดับของภาษาให้ถูกต้องกว่าก็จะเป็นการดีมากครับ
เหมือนที่เคยอ่านกระทู้ในเว็บบอร์ดยอดนิยมของเมืองไทย เคยเห็นฝ่ายบุคคลหลาย ๆ ที่บ่นเหมือนกันว่า เด็กรุ่นใหม่ ไม่เข้าใจข้อควาที่ประกาศหรืออย่างไร
เช่นบอกว่า ตำแหน่งนี้ ต้องมีคุณสมบัติแบบนี้ อย่างนี้
กลายเป็นว่า ผู้สมัครเองไม่มีคุณสมบัติ แต่อยากจะสมัคร ก็เลยโทรศัพท์ หรือส่งเมล์มาถามว่า ไม่มีคุณสมบัติแบบนี้แต่จะสมัครได้ไหม ก็กลายเป็นอย่างนั้นไป
นอกจากนี้
เรื่องของการสะกดคำ ที่ผิดกันเยอะมาก ทั้งในหนังสือพิมพ์ (ที่เดี๋ยวนี้ น่าจะไม่มีตำแหน่งพิสูจน์อักษรแล้ว) หรือนิตยสาร ก็หลุดออกมามาก
เช่นคำที่เห็นบ่อย ๆ คือ อัฒจันทร์ เขียนผิดกันจนชินกลายเป็น อัฒจรรย์ ไปเสียอย่างนั้น ก็เห็นอยู่ประจำ
ผมเกรงว่า การที่ปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้เละเทะไปเรื่อย ๆ สุดท้ายภาษาไทยก็จะกลายเป็นภาษาคาราโอเกะไปแทนครับ