เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 26 27 [28] 29 30
  พิมพ์  
อ่าน: 127131 เรื่องเล่าชาวกรุงเทพรุ่นทวด
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 405  เมื่อ 22 ก.ย. 13, 20:05

กลิ่นโคลนสาบควายจากเขตรถไฟช่องนนทรี ช่างแรงจริงหนอ  ขนาดสามล้อเลี้ยวไปทางราชประสงค์ยังได้กลิ่น
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 406  เมื่อ 23 ก.ย. 13, 11:10

นึกได้ว่าไม่ไกลจากบ้านทรายทอง    ถ้าสามล้อมาถึงถนนเพลินจิตแล้วเลี้ยวขวา ถีบข้ามทางรถไฟไปสู่ละแวกที่เรียกว่า "บางกะปิ"   ก็จะเจอซอยเล็ก ที่เป็นซอยบ้านของคุณนายสมร แม่ม่ายผู้มีลูกสาวคนสุดท้องชื่อปริศนา     ในซอยมีคูน้ำข้างทาง คงจะขุดไว้เพื่อเอาดินขึ้นมาถมซอย
บ้านของปริศนาเป็นบ้านไม้สองชั้นหลังเล็กๆ เนื้อที่ไม่กว้างนัก เพียงไร่ครึ่ง  ตกใจ  มีสนามด้านหน้า รถขับเข้ามาแล้วเลยเข้าไปจอดในโรงรถได้  ด้านหลังเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวของคุณยายของปริศนา
นี่ขนาดบ้านแม่ม่ายจนๆ ในกรุงเทพสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนะคะ

ถ้าคุณนายสมรเก็บบ้านหลังนี้ไว้ได้จนถึงปัจจุบัน  ขายที่ดินหนึ่งไร่ครึ่งในซอยสุขุมวิทต้นๆไป เห็นจะนั่งนับแบ๊งค์อย่างเพลิดเพลินได้หลายร้อยล้าน
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 407  เมื่อ 23 ก.ย. 13, 11:29

ทั้งปริศนา และ พจมาน ต่างประสพชะตากรรมเดียวกัน คือ บิดาเสียชีวิตไปเสียก่อน เสมือนเสาหลักของครอบครัวหายไป

ถ้าพจมาน เดินทางไปดูการถมถนนเหรือเดินเล่นไปทาน KFC แถวสุขุมวิท ก็อาจจะเจอปริศนา ที่นั่นก็ได้
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 408  เมื่อ 24 ก.ย. 13, 09:28

tita
อ้างถึง
เรียงลำดับชักไม่ค่อยถูก  ฝั่งคู่จะมีซอยสายน้ำทิพย์  เป็นที่ตั้ง รร. สายน้ำทิพย์ กับ รร. สายน้ำผึ้ง

ถัดมาอีกเป็นสถานทูต  ไม่แน่ใจว่าฟิลิบปินส์หรืออินโดเนเซีย  ตั้งอยู่ปากซอยซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นที่ตั้งวังละโว้  ปากซอยอีกด้านเป็นร้านกับข้าวชาววัง

วังรื่นฤดีของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ อยู่ซอยสุขุมวิท ๓๘  ส่วนฝั่งคี่  ซอยแสงมุกดาเป็นที่ตั้งวังเลอดิสของสมเด็จพระพี่นางฯ

สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เคยมีที่ประทับส่วนพระองค์แห่งแรก ณ สวนรื่นฤดี ถนนราชสีมาตัดกับถนนสุโขทัย แต่ครั้นเมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จออกไปประทับ ณ ประเทศอังกฤษ จึงทรงขายที่ดินสวนรื่นฤดีให้แก่กองทัพบก ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร

ต่อมาทั้งสองพระองค์ ทรงพระดำริที่จะเสด็จนิวัติประเทศไทยเป็นการถาวร จึงทรงซื้อที่ดินจากนายเออี นานา ในท้ายซอยสันติสุข สุขุมวิท 38 ซึ่งมีพื้นที่กว่า 7 ไร่ แล้วทรงพระกรุณาโปรดให้สร้างวังขนาดย่อมขึ้นในพุทธศักราช 2500 เพื่อเป็นที่ประทับ โดยมีพลเรือตรีสมภพ ภิรมย์ ศิลปินแห่งชาติ เป็นสถาปนิก แล้วเสด็จไปประเทศอังกฤษอีกในปี พ.ศ. 2501 เพื่อทรงเตรียมพระองค์เสด็จกลับประเทศไทยเป็นการถาวร จากนั้นจึงได้เสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นการถาวรเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 เมื่อทรงประทับ ณ วังแห่งใหม่ จึงได้ขนานนามวังดังกล่าวว่า วังรื่นฤดี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 อันมีความหมายว่า ความเบิกบานสบายใจ  ตั้งอยู่เลขที่ 69 ซอยสุขุมวิท 38 กรุงเทพมหานคร และพระองค์ได้ประทับอยู่ตราบกระทั่งสิ้นพระชนม์


ขอแยกกระทู้ไปเป็น ภาพเก่าแต่แรกสร้าง “วังรื่นฤดี” นะครับ

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5766.0


บันทึกการเข้า
ลุงไก่
สุครีพ
******
ตอบ: 1281



ความคิดเห็นที่ 409  เมื่อ 24 ก.ย. 13, 11:20

"เรียงลำดับชักไม่ค่อยถูก  ฝั่งคู่จะมีซอยสายน้ำทิพย์  เป็นที่ตั้ง รร. สายน้ำทิพย์ กับ รร. สายน้ำผึ้ง ถัดมาอีกเป็นสถานทูต  ไม่แน่ใจว่าฟิลิบปินส์หรืออินโดเนเซีย  ตั้งอยู่ปากซอยซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นที่ตั้งวังละโว้  ปากซอยอีกด้านเป็นร้านกับข้าวชาววัง"

ผมเป็นเด็กกรุงเทพเสียเปล่า เพิ่งจะรู้ว่ามีโรงเรียนสายน้ำทิพย์ด้วยก็วันนี้เอง รู้แต่ว่าโรงเรียนสายน้ำผึ้งอยู่ซอยสายน้ำทิพย์ สุขุมวิท ๒๒ และโรงเรียนสายปัญญาอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษมใกล้โรงเรียนเทพศิรินทร์

สำหรับสถานทูตอินโดเนเซียนั้นผมเห็นอยู่ที่ถนนเพชรบุรีมาตั้งแต่ไปเดินเล่นที่ห้างไทยไดมารู ราชประสงค์ คงจะไม่ใช่ที่ถนนสุขุมวิทหรอกครับ

เรียนถามอาจารย์ NAVARAT C. ดีกว่า

โรงเรียนเทพศิรินทร์ หรือ โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์
โรงเรียนปทุมคงคา หรือ โรงเรียนวัดปทุมคงคา
โรงเรียนนวลนรดิศ หรือ โรงเรียนวัดนวลนรดิศ
โรงเรียนราชบพิธ หรือ โรงเรียนวัดราชบพิธ
และ โรงเรียนมัธยมวัดราชบูรณะ
บันทึกการเข้า
Rattananuch
อสุรผัด
*
ตอบ: 37


ความคิดเห็นที่ 410  เมื่อ 24 ก.ย. 13, 11:44

เป็นศิษย์เก่ารร.สายน้ำผึ้ง ค่ะ ส่วนสถานทูตใกล้ๆ คือสถานทูตฟิลิปปินส์ เวลานั่งรถเมล์ไปโรงเรียน ยังคิดว่าสถานทูตแห่งนี้เล็กกะทัดรัดดีค่ะ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 411  เมื่อ 24 ก.ย. 13, 12:38

พอรับการบ้านมาปุ๊บก็ใช้พระอินทรเนตรปั๊บ
ท่านตอบมาเป็นเสียงเดียวว่า  โรงเรียนที่ยกนามมาถามเหล่านี้ไม่มีคำว่าวัดนำหน้าแล้วครับ

ผมคิดว่าโรงเรียนที่เข้าไปขอใช้ที่ธรณีสงฆ์ในวัดต่างๆนั้น แรกเริ่มจะเรียกว่าโรงเรียนวัดโน้นวัดนี้ทุกโรงเรียนไป

แต่ต่อมา ได้มีโรงเรียนหลายแห่งเปลี่ยนชื่อโดยเอาคำว่า วัด ออก โรงเรียนที่เปลี่ยนชื่อนั้นฝ่ายผู้บริหารโรงเรียน หรือผู้ปกครอง มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อชื่อวัดนำหน้า โดยคิดว่าเป็นโรงเรียนชั้นสอง และไม่นิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนวัด เป็นเหตุให้ คณะอนุกรรมาธิการกิจการพระพุทธศาสนา ในคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ของสภาผู้แทนราษฎร เสนอต่อมหาเถรสมาคมเพื่อให้ออกคำสั่งแก่โรงเรียนวัดที่ใช้พื้นที่ของวัดหรือธรณีสงฆ์ที่เปลี่ยนชื่อแล้วรวมทั้งกำลังจะเปลี่ยนชื่อให้นำชื่อ วัด ใส่ไปดังเดิม ซึ่งมหาเถรสมาคมเห็นชอบตามข้อเสนอ จึงได้ออกมติมหาเถรสมาคมห้ามเปลี่ยนชื่อโรงเรียนโดยตัดคำว่าวัดออกส่วนโรงเรียนที่เปลี่ยนชื่อไปแล้วให้เปลี่ยนกลับใช้ชื่อเดิม ทั้งนี้ให้ยกเว้นโรงเรียนที่ใช้ชื่อพระราชทาน ส่วนโรงเรียนใดไม่ปฏิบัติตามจะห้ามใช้พื้นที่ของวัด ตลอดจนที่ธรณีสงฆ์อื่นๆ นอกจากคำสั่งเรื่องการเปลี่ยนชื่อแล้วยังได้ให้สถาบันการศึกษาหรือโรงเรียนวัดร่วมมือกับทางวัดในการพัฒนาโรงเรียน

โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ก็ยังยืนยันจะใช้โรงเรียนเทพศิรินทร์เฉยๆโดยอ้างว่าชื่อดังกล่าวได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ แล้วเดี๋ยวนี้เขาขยายกิจการ ไปตั้งสาขาที่โน่นที่นี่ อย่างเช่นเทพศิรินทร์ร่มเกล้า เทพศิรินทร์นนทบุรี เทพศิรินทร์สมุทรปราการ ฯลฯ จะเอาคำว่าวัดติดไปด้วยก็กระไรอยู่

ส่วนโรงเรียนวัดอื่นๆที่ไม่ใช้คำว่าโรงเรียนวัด…..   ก็คงอ้างเหตุผลเดียวกันนี่กระมังครับ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน
บันทึกการเข้า
tita
พาลี
****
ตอบ: 253


ความคิดเห็นที่ 412  เมื่อ 24 ก.ย. 13, 13:03

ขอนำข้อมูลของโรงเรียนปทุมคงคามาสมทบ  พอดีเมื่อวันก่อนเพิ่งอ่านเจอศิษย์เก่า ปค. ท่านเขียนไว้ในบล็อค  ท่านเขียนไว้ที่ต้นบล็อคว่า "เมื่อไปพบเรื่องราวที่ผมเขียนใน bloggang ในเว็บอื่นๆ โดยคนทำก็อปไปทั้งบล็อก หากผู้นำไปใช้ไม่ได้หาประโยชน์โภคผลใดๆ ผมก็อนุโมทนาสาธุด้วย อย่างน้อยก็ได้เผยแพร่ไปในกลุ่มอื่นๆ"  เลยขออนุญาตเผยแพร่ข้อมูลที่มีประโยชน์ของท่าน  http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=klongrongmoo&month=10-2010&date=25&group=13&gblog=10

อ่านจากข้อมูลเข้าใจว่าการเปลี่ยนชื่อจากเดิม โรงเรียนมัธยมวัดปทุมคงคา มาเป็นโรงเรียนปทุมคงคา น่าจะมีขึ้นในช่วงการย้ายโรงเรียนมาที่เอกมัย


บันทึกการเข้า
tita
พาลี
****
ตอบ: 253


ความคิดเห็นที่ 413  เมื่อ 24 ก.ย. 13, 13:37

คุณลุงไก่คะ  รร. สายน้ำทิพย์กับ รร. สายน้ำผึ้งอยู่ในซอยเดียวกัน  คลับคล้ายจะอยู่ตรงข้ามกันเป็นโรงเรียนพี่โรงเรียนน้องน่ะค่ะ  ส่วนรายละเอียดว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไรอยากจะถามคุณ Rattananuch เหมือนกันค่ะ
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 414  เมื่อ 24 ก.ย. 13, 20:04

ขอแนบแผนที่อากาศให้ดูเมื่อยุค พ.ศ. ๒๔๙๕ ถึงการเติบโตของถนนสุขุมวิทและกลุ่มหมู่บ้านเรือนที่กระจายตัวอยู่ย่านสุขุมวิท

โดยกลุ่มบ้านจะหนาตัวริมถนนสุขุมวิท และด้านหลังลึกเข้าไปจะเป็นทุ่งนาเก่า

ที่มาของภาพกรมแผนที่ทหาร โดยสำเนาของคุณหม่องวิน มอร์ไซด์


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 415  เมื่อ 25 ก.ย. 13, 09:08

๕๑ ปีมาแล้ว สุขุมวิทตอนต้นยังมีที่ดินว่างผืนใหญ่ๆเหลือเฟือ    ถ้าดูแผนที่ทางอากาศในปัจจุบันนี้ คงแน่นเอี้ยดราวกับคนละถิ่นกัน

ผมเป็นเด็กกรุงเทพเสียเปล่า เพิ่งจะรู้ว่ามีโรงเรียนสายน้ำทิพย์ด้วยก็วันนี้เอง

ดิฉันก็อดีตเด็กกรุงเทพ   เพิ่งจะรู้ว่ามีร.ร.สายน้ำทิพย์ที่สุขุมวิท    ไปถามครูกู๊กดู  ท่านตอบว่าเป็นร.ร.สังกัดการประถมศึกษา   มีประวัติร.ร.แต่ว่าเข้าไปอ่านไม่ได้ เพราะจะต้องมีล็อคอินรหัสผ่านถึงจะเข้าไปรู้ประวัติโรงเรียนได้ค่ะ   ทำไมต้องจำกัดการเข้าถึงด้วยก็ไม่ทราบ
บันทึกการเข้า
นางมารน้อย
พาลี
****
ตอบ: 306


ทำงานแล้วค่ะ


ความคิดเห็นที่ 416  เมื่อ 27 ก.ย. 13, 09:08

เข้ามาตามอ่านค่ะ เรื่องซอสพริกศรีราชานี่เพิ่งทราบนะคะนี่ว่าเจ้าของไปเอาสูตรมาจากน้ำพริกญวรเป็นเรื่องน่าสนใจมาก เพราะเคยได้ยินคุณกอล์ฟจากรายการเทยเที่ยวไทยเล่าว่า ปัจจุบันทางเวียดนามซื้นลิขสิทธิ์ชื่อซอสพริกศรีราชาไปแล้วเอาไปทำต่อ อย่างนี้รสชาติน่าจะดั้งเดิมกว่าหรือเปล่า เพราะเจ้าของสูตรแท้ๆเอาไปทำ

บันทึกการเข้า

สวัสดีทุกๆท่านค่ะ
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 417  เมื่อ 27 ก.ย. 13, 09:46

เข้ามาตามอ่านค่ะ เรื่องซอสพริกศรีราชานี่เพิ่งทราบนะคะนี่ว่าเจ้าของไปเอาสูตรมาจากน้ำพริกญวรเป็นเรื่องน่าสนใจมาก

คุณมารน้อยคงอ่านมาจากความเห็นนี้

คนแรกที่ได้คิดทำน้ำพริกนี้ขึ้นมาชื่อ กิมซัว ทิมกระจ่าง เป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่ตั้งรกรากอยู่ในศรีราชา ญาติเราที่ศักดิ์เป็นป้าเรียกว่า ก๋งกิมซัว แต่ตามลำดับแล้ว เขาเป็นเหล่าก๋งของป้า เพราะเป็น ก๋งของย่าเรา

นายกิมซัวมีอาชีพค้าขาย ออกเดินเรือค้าขายอยู่ในภาคตะวันออก ตอนหนุ่ม ๆ เคยเดินทางไปค้าขายยังเขมร และได้เข้าไปทำการค้าในวังของเจ้าเขมรด้วย เห็นว่าเคยได้หม่อมในวังเจ้าเขมรองค์หนึ่งด้วย (ท่ีบ้านเขานินทาบรรพบุรุษกันอย่างนี้เลย)

สมัยนั้นทั้งเขมรและเวียดนามตกภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ในกัมพูชาจึงมีคนเวียดนามที่คนฝรั่งเศสอพยพมาอยู่เยอะ นายกิมซัวไปเห็นคนญวนเอาพริกหมักน้ำส้มสายชูมาบดละเอียดแล้วกลายเป็นน้ำพริกที่เนื้อเนียนเข้ากันดี เห็นแล้วติดใจเลยไปดูคนเวียดนามเขาทำน้ำพริกชนิดนี้ ตอนกลับมาศรีราชาก็นำกรรมวิธีการทำน้ำพริกมาดัดแปลงให้ถูกปากคนในครอบครัวที่เมืองไทย กลายเป็นอาหารประจำบ้านไป

เรื่องนี้เหมือนกับที่เราเคยถกกันว่าศิลปการร่ายรำไทยเอามาจากเขมรหรือเขมรเอามาจากไทย แต่แท้ที่จริงแล้ววัฒนธรรมมีการถ่ายเทกันไปมา

เรื่องนาฏศิลป์และดนตรี ถ้าเทียบกันระหว่างลาวและเขมร ของเขมรจะมีส่วนคล้ายไทยมากกว่า จนหลายคนเข้าใจว่าไทยรับเอามาจากเขมร และคนเขมรเองก็อาจเช่นนั้น

ความจริงแล้ว วัฒนธรรมมีการถ่ายเทกันไปมา อินเดียถ่ายทอดเรื่องนาฏศิลป์ให้เขมร ต่อมาสมัยอยุธยาตอนต้นก็รับอิทธิพลมาจากเขมรอีกทอดหนึ่ง จนเมื่อตอนต้นของสมัยรัตนโกสินทร์ไทยก็ถ่ายทอดวิชากลับให้เขมร

เรื่องนี้ก็น้ำพริกศรีราชาก็เช่นเดียวกัน คุณกิมซัวเอาวิธีทำมาจากญวน ดัดแปลงให้เข้ากับปากคนไทย และยี่ห้อ "ศรีราชา" ของคุณกิมซัวก็กลับไปเป็นของญวนแล้วที่อเมริกาในปัจจุบัน


รู้เปล่า? ... "ซอสศรีราชา"กำลังดังระดับโลก ขายดิบขายดี แต่ไม่ได้ผลิตโดยคนไทย !!

ซอสศรีราชากำลังดังระดับโลก

ถ้าคุณได้ยินว่า ซอสศรีราชาที่แสนอร่อยของเรากำลังดังจรดเหนือใต้ออกตกในอเมริกา และในทุกภัตตาคารทั้งระดับกลางและระดับสูงจะต้องมีประจำบนโต๊ะ คุณจะรู้สึกอย่างไรคะ

ดีใจแทนคนไทยใช่ไหมคะ

แต่เมื่อรู้ว่า มันไม่ใช่ซอสที่คนไทยทำ แต่กลายเป็นคนเวียดนามทำ โดยใช้สูตรเดียวกับซอสศรีราชา และถูกเรียกว่า Rooster Sauce ตามรูปไก่งวงที่อยู่บนขวด แต่ก็ยังคงใช้ชื่อเรียกทั่ว ๆ ไปว่าเป็นซอสศรีราชา คุณจะรู้สึกอย่างไรล่ะทีนี้

โกรธ เสียดาย ประมาณนี้ใช่ไหมคะ

เมื่อ ตอนผู้เขียนเห็นข่าวนี้ที่มีพาดหัวว่า ซอสศรีราชากำลังขึ้นไปฮอตอยู่ในภัตตาคาร ก็ดีใจนึกว่าโอโห ซอสศรีราชาไปทำชื่อทั่วโลกเหมือน กระทิงแดง Red Bull แต่พอรู้ว่าคนเวียดนามเอาสูตรของเราไปต่างหาก ก็คอตกทีเดียว

และยังนึกเสียดายว่าคนไทยมีอาหารที่อร่อยเยี่ยมมากมาย แต่ไม่สามารถทำการตลาดให้กว้างไกลได้ นับเป็นการสูญเสียโอกาสทางธุรกิจอย่างมหาศาล และน่าเจ็บใจขึ้นไปกว่าเมื่อคนอื่นเอาสิ่งที่เราเป็นคนเริ่มต้นคิดไปต่อยอดจนร่ำรวย

คนไทยยังไม่เชี่ยวชาญการตลาดใช่หรือไม่ เป็นเรื่องน่าคิด เรามักพอใจอยู่แค่ขายได้พอกินพอใช้ไปวัน ๆ

ต่างชาตินั้นจะเริ่มจากสูตรอาหาร ไม่ว่าจะเป็นไก่ทอดเคนตั๊กกี้ หรือโดนัท คริสปี้ ครีม แล้วเขาก็คิดวิธีทำการตลาดที่จะทำให้สามารถขายได้ปริมาณมาก ๆ เริ่มตั้งแต่วิธีการผลิต บรรจุหีบห่อ ขนส่ง และการโฆษณาประชาสัมพันธ์

ทำไมโค้ก เป๊ปซี่ ถึงขายไปได้ทั่วโลก ทำไมผลิตภัณฑ์ตัวเดียว ถึงทำเงินได้มหาศาล และทำให้คนมีงานทำมากมาย

ทำไมแกงมัสหมั่นซึ่งเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก ถึงไม่มีคนคิดหาทางเก็บรักษา บรรจุขวด หรือถุงพลาสติกที่เรียกว่า pouch แล้วส่งขายได้ทั่วโลก ให้แม่บ้านอเมริกัน อิตาเลียน ญี่ปุ่น เกาหลี เทใส่หม้ออุ่น หรือเข้าไมโครเวฟ เสิร์ฟได้ทันที

คราวนี้ลองมาดูความเป็นมาของเจ้าซอสศรีราชาที่ว่า ที่ไม่ได้เป็นของคนไทยกัน

สินค้าตัวนี้ผู้ผลิตคือ Huy Fong Foods ซึ่งอยู่นอกเมืองลอสแองเจลิส

เจ้าของบริษัทนี้ชื่อ เดวิด ทราน อายุ ๖๘ ปีแล้ว ขณะนี้บริษัทของเขาได้กลายเป็นบริษัทอาหารที่เติบโตเร็วที่สุด แซงหน้าบริษัทอย่าง Heinz ด้วยผลิตภัณฑ์หลักเพียงหนึ่งเดียวคือซอสพริกศรีราชา Rooster Sauce นี้

ปีที่แล้วซอสที่ว่านี้ขายไปแล้วถึง ๒๐ ล้านขวด

เรื่องของ รสชาติเป็นเรื่องปากต่อปาก เหมือนอาหารร้านอร่อยก็บอกต่อกัน บริษัทนี้ไม่เคยเสียเงินทำแคมเปญโฆษณา ไม่มี fanpage ไม่มีทวิตเตอร์ มีเว็บของบริษัทก็จริง แต่ก็มีเพียงให้รู้ว่ามีตัวตน ไม่ได้อัพเดตมาตั้งแต่ปี ๒๔๕๖ เป็นปรากฏการณ์พิเศษจริง ๆ ที่บริษัทไม่ต้องมีสิ่งเหล่านี้ก็สามารถสร้าง follower ได้มากมาย

เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้จักซอสพริกศรีราชาที่มีต้นกำเนิดจากอำเภอศรีราชา มีแต่คนรู้จักซอสศรีราชาของ ฮุย ฟอง

เมษายน ปีที่แล้ว บริษัทวิจัยตลาด IBISWorld เปิดเผยว่า ซอสพริกคืออุตสาหกรรมที่เติบโตเป็นอันดับที่ ๘ ถัดจากการผลิตแผงวงจรพลังงานแสงอาทิตย์ และบอกว่ารายรับของธุรกิจซอสพริกในปี ๒๕๕๕ ไต่ไปถึง หนึ่งพันล้านเหรียญ และมีอัตราเติบโตปีละ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ทุกปี มิไยว่าเศรษฐกิจทั่วไปจะดิ่งลงเหว

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เกี่ยวเนื่องกับการที่ประชากรผิวเหลืองอพยพไปอยู่ในอเมริกามากขึ้นด้วย

ตั้งแต่ ปี ๒๕๔๓ ประชากรผิวเหลืองเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔๕ และไม่เพียงแต่คนเอเชียนเหล่านี้จะบริโภคซอสพริกศรีราชากันอย่างเป็นล่ำเป็น สัน ก็ยังชวนเพื่อน ๆ ให้ลิ้มลองด้วย ต่อมาภัตตาคารต่าง ๆ ก็ถึงเวลายกซอสพริกศรีราชาขึ้นตั้งโต๊ะ

ตอนนี้ซอสศรีราชาของ ฮุย ฟอง ก็ถูกนิตยสารอาหาร Cook"s Illustrated ยกให้เป็นซอสพริกรสเยี่ยมที่สุดในโลกไปแล้ว แซงหน้า Frank"s Red Hot, Cholula Hot Sauce, และ Tabasco ที่เราเคยชินกันดีและมักเห็นวางอยู่บนโต๊ะในร้านอาหารฝรั่ง

พูดถึงโทบาสโก พวกเราคนไทยที่คุ้นเคยกับของอร่อย ก็รู้สึกมาตั้งนานแล้วว่าไม่ถูกลิ้น รสไม่ได้กลมกล่อมอย่างซอสศรีราชาสักนิด

คุณ เดวิด ทราน เอาซอสพริกศรีราชามาชิม แล้วก็ลองทำดู แล้วก็ทำสำเร็จในเวลาเพียงไม่กี่วัน เขาใช้พริกชี้ฟ้า บดด้วยมือ เติมน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือกระเทียม เท่านี้เอง ทุกวันนี้ก็มีสูตรอยู่เท่านี้แหละ ตอนแรกเขาก็คิดจะทำขายเพื่อนผู้อพยพด้วยกัน แต่รสชาติที่ถูกปากของมันทำให้แพร่หลายไปยังรวดเร็ว แล้วราคาก็ถูก อร่อยก็อร่อย ขวดขนาด ๒๘ ออนซ์ ราคา ๔ เหรียญเท่านั้น

คนที่ช่วยเขาทำการตลาดและบรรจุภัณฑ์คือพ่อตาของเขา ที่ไปจัดหาขวดแก้วมาบรรจุโดยเลียนแบบขวดอาหารทารกที่พวกทหารอเมริกันทิ้งไว้ ในสงครามเวียดนาม แล้วก็ใช้รถเชฟโรเลตเก่า ๆ ขนไปส่ง

ภัตตาคารต่าง ๆ ยินดีใช้ซอสของเขาเพราะไม่บูดไม่เน่า พอมีจำนวนขายมากเข้าก็เปิดโรงงาน

ทุกวันนี้โรงงานของ ฮุย ฟอง มีขนาดใหญ่โตมโหฬารถึง ๖๕๕,๐๐๐ ตารางฟุต ใครผ่านไปทาง เออร์วินเดล ในลอสแองเจลิส ก็จะเห็นอาคารนี้ ตั้งเด่นเป็นสง่าบ่งบอกถึงความสำเร็จของซอสศรีราชาสัญชาติเวียดนาม-อเมริกัน ดังว่านี้

ใครไปอเมริกา อย่าซื้อซอสของ ฮุย ฟอง กลับบ้านเชียวละ อายเขาตาย

จาก คอลัมน์โลกหมุนเร็ว ของคุณเพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์  ฉบับวันที่ ๘-๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖

ซ้าย ซอสศรีราชาของเถ้าแก่กิมซัว   ขวา ซอสศรีราชาของเถ้าแก่เดวิด ทราน



บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 418  เมื่อ 27 ก.ย. 13, 09:58

เอา Rooster Sauce มาให้ชม ก็ใช้ Sriracha ด้วย


บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 419  เมื่อ 27 ก.ย. 13, 10:00

เพราะเคยได้ยินคุณกอล์ฟจากรายการเทยเที่ยวไทยเล่าว่า ปัจจุบันทางเวียดนามซื้นลิขสิทธิ์ชื่อซอสพริกศรีราชาไปแล้วเอาไปทำต่อ อย่างนี้รสชาติน่าจะดั้งเดิมกว่าหรือเปล่า เพราะเจ้าของสูตรแท้ๆเอาไปทำ

คุณ Easy rider ให้ข้อมูลเรื่องลิขสิทธิ์ต่อท้ายบทความข้างบนเพิ่มเติมว่า   

ซอสศรีราชามีการนำเข้า California ประมาณปี ๑๙๖๘ ลูกชายเจ้าของเป็นผู้นำเข้าไปเอง

เป้าหมายหาตลาดขายเพื่อเป็นค่าเล่าเรียน ,เรียนไปขายไป จนเรียนจบ จึงได้ทำตลาดอย่างจริงจัง

ตลาดซอสศรีราชา(แท้) ขายดีมากต่อมา จริงคิดผลิตที่แม็กซิโก เพราะมีวัตถุดิบครบ

มัวแต่วุ่นวายอยู่กับคุณภาพวัตถุดิบและการขาย จนลึมเรื่องลิขสิทธิ จึงถูกคนชาติอื่นแฮบเอาไปแด็ก ด้วยประการะชะนี้

ผู้นำเข้าไปบุกตลาดอเมริกา คือคนตระกูลทิมกระจ่าง ครับ

ปูลู. หัวใจของการทำซอสศรีราชาคือวัตถุดิบ พริกจะต้องแดง ๑๐๐เปอร์เซนต์ น้อยไปด่าง มากไปเน่า,พริกแม็กยี่โกมีปัญหามากตรงนี้


ป.ล. การสะกดคำและสำนวนที่ใช้เป็นของคุณ Easy rider เน้อ


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 26 27 [28] 29 30
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.075 วินาที กับ 20 คำสั่ง