เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 5 6 [7]
  พิมพ์  
อ่าน: 29844 นิพพานวังหน้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 90  เมื่อ 08 ส.ค. 13, 10:58

เป็นโชคชะตาฟ้าดินที่วังหน้าสมัยรัตนโกสินทร์ทุกพระองค์ทิวงคตก่อนวังหลวงจะเสด็จสวรรคต มิฉะนั้น ประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอยสมัยอยุธยาที่คนไทยล้างกันเองจนกระทั่งเสียบ้านเสียเมืองให้ปัจจามิตร

เพราะจังหวะ และเป็นพระปรีชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯประกอบกัน ทำให้ทรงตัดสินพระทัยให้เลิกวังหน้า แล้วสถาปนาสยามมกุฏราชกุมารขึ้นมาแทน ความคลุมเครือทางการเมืองจึงไม่เกิดขึ้น ทุกคนยอมรับลำดับการสืบพระราชสันตติวงศ์ด้วยดีนับแต่นั้น
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 91  เมื่อ 08 ส.ค. 13, 13:26

สรุปว่าในบั้นปลายของวังหน้า  มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นไม่หยุดไม่หย่อน   และหลายเรื่องก็น่าสงสาร  เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าที่เรารู้จากพระราชพงศาวดาร     ข้อนี้ก็ต้องถือว่าเป็นพระคุณของพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรที่ทรงบันทึกไว้

จากเรื่องนี้ เรารู้ว่าหลังจากตรากตรำศึกมาตลอดตั้งแต่กรุงแตก พ.ศ. 2310 จนพ.ศ. 2346  ปีที่สิ้นพระชนม์   กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาทมิได้ทรงมีโอกาสสุขกายสบายพระทัยเลยสักช่วงเดียวก็ว่าได้        ทรงชนะศัตรูมาทุกครั้ง แต่ก็ไม่อาจทรงเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บหนักๆ ได้ถึง 2 โรคพร้อมกัน คือโรคนิ่วและวัณโรค    ซึ่งไม่มียารักษาทั้งสองอย่าง

อาการโรคกำเริบหนัก ทุกข์กายทุกข์ใจจนถึงขั้นยอมปลิดพระชนม์
1  ไม่เสวยยา  ปล่อยให้พระอาการทรุดหนักเร็ว  ดีกว่าให้ยาบรรเทาให้อาการยืดเยื้อต่อไป
2  ตั้งใจปลงพระชนม์ด้วยพระแสงดาบ   แสดงว่าทุกขเวทนาในขณะนั้นเหลือจะระงับได้อีกแล้ว

แม้ว่าทรงสั่งเสีย ฝากพระโอรสธิดาและผู้อยู่ในพระบารมีไว้กับสมเด็จพระบรมเชษฐาฯ และกรมพระราชวังหลังผู้เป็นหลาน  แต่เหตุการณ์ก็มิได้เป็นไปเรียบร้อยตามพระประสงค์       เพราะว่าพระโอรสทั้งสองคิดการณ์ใหญ่ถึงขั้นกบฏ   ตั้งแต่พระศพยังอยู่ในพระโกศ     ทำให้ต้องถูกสำเร็จโทษไปตามๆกัน   ผู้ที่ตายก็คือพระโอรสที่โปรดปรานและขุนนางที่ทรงเมตตาเป็นบุตรบุญธรรม

เมื่อเสร็จพระราชพิธีถวายพระเพลิงแล้ว  พระอัฐิก็ยังกลายเป็นปัญหา ให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯไม่สบายพระทัย ต้องไต่สวนชำระความบรรดาเจ้าจอมหม่อมห้ามของวังหน้าอีก      แม้ไม่มีหลักฐานว่ามีผู้กระทำผิดร้ายแรง  แต่ก็เกิดอาการ "แพแตก"ขึ้น   ส่วนหนึ่งย้ายไปอยู่วังหลวง  อีกส่วนต้องออกนอกวังไปอยู่ตามวังเจ้านายอื่นๆ

พระโอรสที่เหลืออยู่  มีลูกหลานสืบบวรราชสกุลมาเพียง 4 สายเท่านั้นเอง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 92  เมื่อ 08 ส.ค. 13, 18:12

เป็นโชคชะตาฟ้าดินที่วังหน้าสมัยรัตนโกสินทร์ทุกพระองค์ทิวงคตก่อนวังหลวงจะเสด็จสวรรคต มิฉะนั้น ประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอยสมัยอยุธยาที่คนไทยล้างกันเองจนกระทั่งเสียบ้านเสียเมืองให้ปัจจามิตร

เพราะจังหวะ และเป็นพระปรีชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯประกอบกัน ทำให้ทรงตัดสินพระทัยให้เลิกวังหน้า แล้วสถาปนาสยามมกุฏราชกุมารขึ้นมาแทน ความคลุมเครือทางการเมืองจึงไม่เกิดขึ้น ทุกคนยอมรับลำดับการสืบพระราชสันตติวงศ์ด้วยดีนับแต่นั้น

ขยายรายละเอียด
เมื่อสิ้นกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทแล้ว     ตำแหน่งวังหน้า หรือเรียกเป็นทางการว่ากรมพระราชวังบวรสถานมงคลถูกปล่อยให้ว่างเว้นอยู่ 3 ปี  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯจึงโปรดให้พระราชโอรสพระองค์ใหญ่  สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรขึ้นเป็นวังหน้าพระองค์ใหม่    ทรงครองวังหน้าอยู่ 3 ปีก็สิ้นรัชกาลที่ 1   จึงขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 2   คือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ในแผ่นดินที่ 2 นี้เอง โปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระราชอนุชา สมเด็จเจ้าฟ้าจุ้ย  กรมขุนเสนานุรักษ์ ขึ้นครองวังหน้า ทรงพระนามว่ากรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์    ครองวังหน้าตั้งแต่พ.ศ. 2352 ถึง พ.ศ. 2360 รวม 8  ปีก็สิ้นพระชนม์   พระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงตั้งเจ้านายองค์ใดเป็นวังหน้าอีกจนสิ้นรัชกาลในอีก 7 ปีต่อมา 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 93  เมื่อ 08 ส.ค. 13, 18:18

ในแผ่นดินที่ 3   พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงตั้งพระราชอนุชาอีกองค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า คือพระองค์เจ้าอรุโณทัย  กรมหมื่นศักดิพลเสพ ผู้เป็นพระปิตุลาหรืออาของสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเป็นวังหน้าในรัชกาลที่ 3  ทรงกรมเป็นกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ(ในรัชกาลที่ 6 เฉลิมพระนามเป็น "สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ)    แต่วังหน้าพระองค์นี้ก็พระชนม์สั้นอีก  ครองวังหน้าได้ 7 ปีเศษก็สิ้นพระชนม์ เมื่อพ.ศ. 2375
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงว่างเว้นตำแหน่งวังหน้าไว้   มิได้ทรงตั้งเจ้านายองค์ใด ตลอดจนสิ้นรัชกาลในอีก 19 ปีต่อมา

ในแผ่นดินที่ 4  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์  ขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  ครองวังหน้าด้วยพระอิศริยยศสูงกว่าวังหน้าพระองค์ใดๆในอดีต   มีพระเกียรติยศเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ 2   ทรงครองวังหน้าอยู่ 14 ปีจนเสด็จสวรรคต ก่อนสิ้นรัชกาล 3 ปี
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 94  เมื่อ 08 ส.ค. 13, 18:24

ในแผ่นดินที่ 5  พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ได้รับพระราชทานอุปราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ 5  โดยการสนับสนุนของผู้สำเร็จราชการ สมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)    เสด็จทิวงคตเมื่อพ.ศ. 2428  ก่อนสิ้นรัชกาลที่ 5  ถึง 25 ปี  พระชนมายุ 46 พรรษา 
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดให้ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลอีก   จนถึง พ.ศ. 2429 จึงทรงสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เป็นมกุฎราชกุมาร  และยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล นับแต่นั้นมา
บันทึกการเข้า
แก้วกัลยา
อสุรผัด
*
ตอบ: 9


ความคิดเห็นที่ 95  เมื่อ 09 พ.ย. 14, 12:55

หลังจากที่นักองค์อีท่านพ้นโทษแล้ว ในบั้นปลายชีวิต
ท่านต้องกลับไปกัมพูชา หรือใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพคะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 96  เมื่อ 09 พ.ย. 14, 13:40

ดิฉันยังหาหลักฐานไม่พบค่ะ   ถ้ามีใครทราบ กรุณาตอบคุณแก้วกัลยาด้วยนะคะ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 97  เมื่อ 09 พ.ย. 14, 14:52

พบข้อความดังนี้

ความปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า เมื่อนักองค์จันทร์ได้เป็นสมเด็จพระอุไทยราชาแล้ว มีเหตุเกิดความโทมนัสขึ้นแต่ในรัชกาลที่ ๑ ด้วยความ ๓ ข้อ คือข้อ ๑ เมื่อจะกราบถวายบังคมลากลับออกไป สมเด็จพระอุไทยราชาเข้าไปกราบถวายบังคมลาเวลาเสด็จออกพระบัญชรพระที่นั่งไพศาลทักษิณโดยอำเภอใจ ไม่รอให้เสนาบดีกราบทูลเบิกตามราชประเพณี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระราชดำรัสติเตียนความประพฤติอันนั้น สมเด็จพระอุไทยราชาได้ความอัปยศนี้อย่าง ๑ อีกข้อ ๑ นั้น ว่าเมื่อกลับออกไปถึงกรุงกัมพูชาแล้ว สมเด็จพระอุไทยราชาเกิดวิวาทกับพระยาเดโช (เม็ง) สมเด็จพระอุไทยราชาสั่งให้จับ พระยาเดโช (เม็ง) รู้ตัวจึงหนีเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ สมเด็จพระอุไทยราชามีศุภอักษรเข้ามากราบทูลขอตัว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไม่พระราชทานให้ตามใจ จึงเกิดความโทมนัส อีกข้อ ๑ ว่าสมเด็จพระอุไทยราชามีศุภอักษรเข้ามากราบทูลของนักองค์อีนักองค์เภาผู้เป็นป้าซึ่งยังอยู่ในกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไม่ทรงอนุญาตให้กลับไป เพราะเหตุด้วยนักองค์อีมีพระเจ้าลูกเธอกับกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์ ๑ คือ พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรแลนักองค์เภามีพระเจ้าลูกเธอพระองค์ ๑ คือ พระองค์เจ้าหญิงปุก ไม่ควรจะให้เจ้าจอมมารดาต้องพลัดพรากกับพระองค์เจ้าทั้ง ๒ พระองค์นั้น ความข้อนี้ว่าเป็นเหตุ อีกอย่าง ๑ ซึ่งสมเด็จพระอุไทยราชาเกิดความโทมนัสอย่างน้อยมาแต่ในรัชกาลที่ ๑ ครั้นถึงรัชกาลที่ ๒ สมเด็จพระอุไทยราชาทรงบิดพลิ้วบอกป่วยเสียไม่เข้ามาถวายบังคมพระบรมศพ แลเฝ้าถวายบังคมในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเมื่อเสด็จผ่านพิภพ ตามประเพณี ซึ่งเจ้าประเทศราชควรจะทำ เป็นแต่ให้นักองค์อิ่มผู้น้องกับพระองค์แก้วแลพระยากลาโหม (เมือง) พระยาจักรี (แบน) เข้ามาแทน มาถึงกรุงเทพฯ เมื่อเดือน ๔ ปีมะเส็งเอกศกนั้น

ความดังกล่าวน่าจะประมาณการณ์ได้ว่า นักองอีคงจะต้องพำนักอยู่ในพระบวรราชวังฝ่ายในกับพระธิดาต่อไปนั่นเอง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 98  เมื่อ 09 พ.ย. 14, 15:12

ขอบคุณค่ะ คุณ NAVARAT.C


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 99  เมื่อ 09 พ.ย. 14, 15:51

ยินดีครับ
บันทึกการเข้า
แก้วกัลยา
อสุรผัด
*
ตอบ: 9


ความคิดเห็นที่ 100  เมื่อ 09 พ.ย. 14, 16:45

ขอบคุณค่ะ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 101  เมื่อ 09 พ.ย. 14, 17:42

^


บันทึกการเข้า
แก้วกัลยา
อสุรผัด
*
ตอบ: 9


ความคิดเห็นที่ 102  เมื่อ 11 พ.ย. 14, 07:06

สงสัยอีกนิดนึงค่ะว่านักองอีท่านถูกจองจำนานไหมคะ

อ่านประวัติแล้วรู้สึกสงสารท่านค่ะ... เป็นเจ้าหญิงจากกัมพูชา
หนีภัยมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร .. โชคดีที่สมเด็จวังหน้าท่านทรงเมตตารับชุบเลี้ยงไว้
พอสิ้นบุญท่านก็คงเคว้ง ... จะกลับไปอยู่บ้านเหมือนเจ้าจอมคนอื่นก็ไม่ได้
แล้วยังต้องมาถูกจองจำอีก...รู้สึกเศร้าจังค่ะ
บันทึกการเข้า
กะออม
พาลี
****
ตอบ: 222


ความคิดเห็นที่ 103  เมื่อ 11 พ.ย. 14, 08:08

เคยอ่านพบว่า นักองอีท่านไปบวชเป็นชี พำนักอยู่ที่วัดสังเวชค่ะ
บันทึกการเข้า
แก้วกัลยา
อสุรผัด
*
ตอบ: 9


ความคิดเห็นที่ 104  เมื่อ 12 พ.ย. 14, 04:05

ขอบคุณค่ะ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 5 6 [7]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.082 วินาที กับ 19 คำสั่ง