เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
" นิพพานวังหน้า" หรือสะกดแบบเดิมว่า "นิพานวังน่า" เป็นงานนิพนธ์ที่คาบเกี่ยวอยู่ 2 สาขา คือโดยลักษณะการแต่ง จัดเป็นวรรณคดี ประเภทกลอนเพลงยาว มีคำประพันธ์ทั้งกลอน โคลง กาพย์และร่าย แต่โดยเนื้อหา เป็นประวัติศาสตร์ บันทึกอาการประชวร เรื่อยมาจนสิ้นพระชนม์ ในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ 1 คนอ่านก็จะได้รู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในตอนปลายรัชกาล แถมพกไปด้วย
ผู้แต่งเรื่องนี้ไม่ได้ระบุชื่อตัวเอง แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวินิจฉัยว่าเป็น พระเจ้าราชวรวงศ์เธอพระองค์เจ้ากัมพุชฉัตร พระธิดาในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชื่อนักองค์อี ซึ่งเป็นพระธิดาสมเด็จพระอุไทยราชา กษัตริย์กัมพูชา
ขอเปิดกระทู้ไว้แค่นี้ตามเคยค่ะ ขอเช็คชื่อนักเรียนก่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 02 ส.ค. 13, 13:57
|
|
๑. หนุ่มสยาม มาคร้าบบบบบบบบบบบบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
mrpzone
มัจฉานุ
 
ตอบ: 89
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 02 ส.ค. 13, 21:37
|
|
๒. มิสเตอร์พี มารายงานตัวค้าบ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ประกอบ
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 02 ส.ค. 13, 21:48
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
|
|
|
Jalito
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 02 ส.ค. 13, 21:49
|
|
Jalito มาครับ อยู่มุมขวาแนวหน้าครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CVT
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 03 ส.ค. 13, 10:01
|
|
มาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ประกอบ
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 03 ส.ค. 13, 13:44
|
|
รอคุณครู............
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 03 ส.ค. 13, 14:12
|
|
พอฝนตก เน็ต TOT ก็ดับ เพราะฉะนั้น โพสต์ยาวนักไม่ได้ค่ะ จะเปลี่ยนมาเป็นเจ้าใหม่ก็พบว่าในเขตนี้ สัญญาณของคู่แข่งยังมาไม่ถึง เลยต้องใช้เจ้าเดิมไปก่อน
วัดดวงส่งข้อความก่อนว่าจะหลุดไหม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 03 ส.ค. 13, 14:35
|
|
"นิพพานวังหน้า" เริ่มต้นแต่งเมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาทสิ้นพระชนม์แล้ว มีบทพร่ำรำพันอาลัย ก่อนจะย้อนกลับไปเล่าถึงอาการประชวรว่ามีมาตั้งแต่ฤดูหนาว ถึงขั้นพระฉวีผิวพรรณเผือดหมอง แต่ก็ยังแข็งแรงพอจะประทับนั่งบัลลังก์ได้ ท่ามกลางพวกเจ้านายสตรีและนางในหมอบเฝ้าอยู่ ในประวัติศาสตร์ เล่าว่าประชวรเป็นนิ่ว เมื่อครั้งทรงยกทัพขึ้นไปช่วยเมืองเชียงใหม่ เมื่อปีก่อน พ.ศ. ๒๓๔๕ พระอาการมาก เวลามีพิษร้อนถึงต้องเสด็จลงแช่อยู่ในน้ำ แต่ก็ทรงทำศึกอยู่จนเสร็จศึก พระโรคค่อยคลายลง จึงเสด็จยกกองทัพกลับลงมาถึงกรุงเทพ จากนั้นก็ประชวรเรื่อยมา จนสิ้นพระชนม์ในพ.ศ. ๒๓๔๖ พระชนมายุ ๖๐ พรรษา แต่อาการที่พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรทรงบรรยายไว้ ประชวรโรคอื่นด้วยไม่ใช่โรคนิ่วอย่างเดียว ถ้าจะถามว่าเป็นอะไรก็ขอตอบว่าเป็นวัณโรค เห็นได้จากพระฉวีที่เผือดหมองผิดปกติ พระอาการกำเริบหนักถึงขั้นเสวยอะไรไม่ลง หลังจากเสด็จไปปิดทองพระพุทธรูป กรมพระราชวังบวรฯรับสั่งให้นำ น้ำ"รสอมฤตวิเชียรชล" ในเรื่องไม่ได้บอกว่าเป็นน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มชนิดไหน เมื่อได้น้ำมาก็ทรงเสี่ยงทายว่าจะหายประชวรหรือไม่ ถ้าหายขอให้เสวยน้ำได้คล่องพระศอ แต่ถ้าพระชนม์ไม่ยืนยาวก็ขอให้เสวยไม่ลง ปรากฏว่า เสวยน้ำเข้าไปแล้ว ทรงอาเจียนออกมา ทรงเสียพระทัยถึงกับตรัสว่า "คงจะไม่พ้นเคราะห์ " จากนั้น ก็ทรงเรียกพระธิดาทั้งหมดมาสั่งเสีย ให้ฝากองค์กับสมเด็จพระปิตุลาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตลอดจนเจ้านายฝ่ายในของวังหลวงด้วย ท่านก็ทรงรู้สึกอย่างพ่อทั่วๆไปที่รักลูกนั่นเอง คือเมื่อรู้ว่าตัวเองอายุไม่ยืน ก็เป็นห่วงลูกสาว อยากให้มีผู้ใหญ่เป็นที่พึ่งต่อไปเมื่อไม่มีพ่อแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศุศศิ
อสุรผัด

ตอบ: 32
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 03 ส.ค. 13, 15:55
|
|
มาลงชื่อครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 03 ส.ค. 13, 16:52
|
|
ตอนที่ทรงเรียกน้ำมาเสวย ในกลอนเพลงยาวบรรยายว่า
เห็นพระทัยจะเป็นห่วงหน่วงถนอม จะไกลกล่อมขวัญให้ระหวยหน จึงเรียกรสอมฤตวิเชียรชล เสี่ยงกุศลซึ่งสร้างพระโพธิญาณ แม้นชนม์จะอยู่ช่วยบำรุงทวีป ขอให้รีบรับน้ำรสาหาร ถ้าชีวิตนั้นจะปลิดไม่เนาว์นาน อย่าให้พานสอดคล่องนิยมยืน (สะกดแบบปัจจุบัน)
คิดอยู่นานว่าเป็นน้ำอะไร ถ้าหากว่าแปลตามตัว วิเชียรชล หมายถึงน้ำที่มีลักษณะใสเหมือนแก้ว ก็อาจจะเป็นน้ำเปล่าก็ได้ แต่คำว่า อมฤต ความหมายดั้งเดิมคือสุรา ถ้าเป็นอย่างหลังอาจหมายถึงเหล้ากลั่นที่ใสแจ๋วแบบสุราขาว แต่ในนามานุกรมวรรณคดีไทย เรียกกว้างๆว่า "พระสุธารส" หมายถึงเครื่องดื่ม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 03 ส.ค. 13, 17:11
|
|
ในเพลงยาวเรื่องนี้ ระบุไว้ชัดถึง 3 แห่ง ว่ากรมพระราชวังบวรฯ ไม่มีพระประสงค์จะมีพระชนม์ต่อไป เรื่องแรกคือเมื่อสั่งเสียพระธิดาแล้ว ก็ทรงปฏิเสธไม่เสวยพระโอสถอีก เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งหน่วงเหนี่ยวให้ทรงทรมานเพราะพระโรคยืดเยื้อเนิ่นนานต่อไป เรื่องที่สองคือเมื่อเสด็จไปวัดมหาธาตุ ทรงนมัสการพระพุทธรูป และพระมณฑปที่ทรงปฏิสังขรณ์ ทรงบูชาอยู่ครู่หนึ่ง ขณะนั้นพออาการพระโรคกำเริบ เกิดทุกขเวทนาแรงกล้า ก็ทรงชักพระแสงออกจะแทงพระองค์ แต่พระโอรส(หมายถึงพระองค์เจ้าลำดวน พระโอรสองค์ใหญ่)ที่ตามเสด็จไปด้วย เข้าแย่งพระแสงไปเสียจากพระหัตถ์ แล้วทูลปลอบประโลมจนคืนพระสติ จึงอัญเชิญเสด็จกลับวังหน้า เรื่องที่สาม เมื่อเสด็จกลับวังหน้า ทรงทอดพระเนตรพระวิมานมณเทียรด้วยความอาลัย จากนั้นเสด็จออกท้องพระโรง ประชุมขุนนางวังหน้าทั้งปวง เพื่อตรัสบอกว่าจะเสด็จสู่สวรรคาลัย ขอให้ทุกคนรับราชการต่อไปกับสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชด้วยความซื่อตรง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 04 ส.ค. 13, 20:11
|
|
เมื่อประชวรหนัก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เสด็จมาเยี่ยมพระราชอนุชา พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรทรงบรรยายว่าทั้งสองพระองค์ต่างก็รำพันอาลัยรักกันหนักหนา ตามธรรมเนียมไทย เมื่อคนใกล้จะตาย ผู้อยู่ใกล้ๆก็จะเตือนให้นึกถึงพระอรหันต์ หรือนิพพาน เพื่อให้อาสันนกรรมนำไปพ้นจากวัฏสังสาร ทั้งสองพระองค์ก็เช่นกันพระเชษฐาก็ทรงปลอบพระทัยให้ยึดนิพพานเป็นที่พึ่งในช่วงสุดท้าย เพื่อจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรทรงบรรยายว่าเมื่อฟังแล้วกรมพระราชวังบวรฯก็ค่อยสบายพระทัยขึ้น แต่ก็ยังเหลือความห่วงใยอยู่ จึงทรงฝากฝังพระโอรสธิดา และที่สำคัญคือ อนึ่งหน่อวรนาถผู้สืบสนอง โปรดให้ครองพระนิเวศน์เหมือนปางหลัง อย่าบำราศให้นิราศแรมวัง ก็รับสั่งอวยเออพระโองการ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯก็ทรงรับปาก นี่ก็ธรรมเนียมไทยเช่นกัน ถือกันว่าคำขอสุดท้ายของผู้ตาย เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ผู้ถูกขอจะต้องรับปาก
จึงตรัสปลอบพระบัณฑูรอาดูรด้วย ว่าจะช่วยเอาธุระแสนสงสาร เป็นห่วงเป็นไยพ่อให้ทรมาน จะอุ้มหลานจูงลูกไม่ลืมคำ อันเยาวยอดสืบสายโลหิตพ่อ พี่ตั้งต่อสุจริตอุปถัมภ์ ครั้นทรงสดับแน่นึกสำเนาคำ ก็คลายร่ำทุกข์ถ้อยบันเทาทน
แต่ก็น่าเสียดายที่เหตุการณ์ภายหลังมิได้เป็นไปตามพระประสงค์ พงศาวดารบันทึกไว้ว่า หลังกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาทสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัตพระโอรส ก็กระด้างกระเดื่อง วางแผนรัฐประหาร จึงถูกปราบปรามในฐานะกบฏวังหน้า และถูกสำเร็จโทษพร้อมกับพระยากลาโหมราชเสนา(ทองอิน) กับพรรคพวกอีกหลายคน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 04 ส.ค. 13, 20:31
|
|
เรื่องที่กรมพระราชวังบวรฯ ทรงทูลขอพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ว่าเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ขอให้พระโอรสธิดาได้อยู่ในวังหน้าต่อไป อย่าต้องย้ายออกไปอยู่ข้างนอก เป็นเรื่องตีความได้ 2 อย่าง คือ 1 เป็นคำขอกรณีพิเศษให้บรรดาเจ้านายวังหน้าได้อาศัยอยู่ในวังหน้าต่อไป ไม่ต้องย้ายออก เพราะตามกฎหมาย เมื่อเจ้านายองค์ใดสิ้นพระชนม์ลงไป ตามกฎหมายในสมัยนั้น ทั้งวังและทรัพย์สินจะต้องคืนกลับไปเป็นของหลวงครึ่งหนึ่ง ถ้านึกถึงความเป็นจริงว่าเจ้านายวังหน้ามีจำนวนมาก ถ้าต้องย้ายออกทั้งหมดไปหาวังใหม่ก็คงเป็นเรื่องยุ่งยากลำบากไม่ใช่เล่น อีกอย่าง ตัวปราสาทราชมนเทียรก็เป็นสิ่งที่กรมพระราชวังบวรฯทรงสร้างขึ้นมาเองตั้งแต่ต้นรัชกาล ท่านก็คงจะรู้สึกอย่างเจ้าของบ้านที่พึงรักและหวงบ้านที่ตัวเองสร้างมากับมือ ไม่อยากให้คนอื่นมาอยู่ แล้วลูกๆท่านกลับต้องออกไปหาที่อยู่ใหม่ 2 เป็นคำขอที่แสดงว่า ขอให้พระโอรสได้สืบตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้าต่อไป เพราะเป็นเจ้าของวังหน้า ก็ต้องเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในตัวอยู่แล้ว
พงศาวดารเล่าว่า พระโอรสองค์ใหญ่และองค์รอง คือพระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัตมีความกำเริบ รอจะได้เป็นวังหน้า เมื่อไม่ได้เป็นสักทีจึงเกิดความโกรธแค้น ไปร่วมคิดกับพระยากลาโหมทองอิน ผู้ที่กรมพระราชวังบวรฯทรงเมตตาเหมือนบุตรบุญธรรม จึงตั้งกองเกลี้ยกล่อมหาคนดีมีวิชาความรู้มาทดลองกันในวัง ถ้าพลาดพลั้งล้มตายลงก็ฝังเสียข้างในกำแพงวังเป็นหลายคน ความลับรั่วไหลว่าพวกเจ้านายวังหน้าทำอะไรไม่ชอบมาพากล พระเจ้าอยู่หัวจึงให้แต่งข้าหลวงปลอมไปเข้าเป็นสมัครพรรคพวกของพระองค์เจ้าทั้งสอง ก็ได้ความสมจริง จึงโปรดฯ ให้จับมาชำระ ได้ความรับเป็นสัตย์ว่า คบคิดกันจะทำร้ายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อวันเสด็จพระราชทานเพลิงพระศพกรมพระราชวังบวรฯ จริง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 04 ส.ค. 13, 20:50
|
|
ถ้าใครสงสัยว่ากบฏวังหน้ามีจริงไหม หรือว่าเป็นการเขียนใส่สีใส่ไข่ขึ้นในภายหลังโดยผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ ตามคำอ้างที่เรามักจะได้ยินกันในหลายๆเรื่อง จนกลายเป็นสูตรสำเร็จในการคัดค้านพงศาวดารไทยอยู่แล้ว ก็ขอตอบว่า "นิพพานวังหน้า" ซึ่งถือได้ว่าเป็นเอกสารขั้นปฐมภูมิในสมัยปลายรัชกาลที่ 1 ได้กล่าวถึงกบฏวังหน้าเอาไว้ว่ามีจริง ไม่ใช่การปั้นเรื่องขึ้นมา พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรทรงบันทึกถึงเหตุการณ์เมื่อพระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัตถูกจับได้ว่าเตรียมก่อการกบฏ ว่าวันนั้น มีเทศน์ตามพระราชประเพณีขณะยังตั้งพระศพกรมพระราชวังบวรฯอยู่ พระองค์เจ้าหญิงทรงเป็นผู้เคาะพระโกศตามธรรมเนียมให้พระราชบิดาทรงสดับพระเทศนา เสียงพระโกศก็ลั่นขึ้นมา พอดีกับมีผู้มาทูลว่าพระเชษฐา 2 พระองค์ก่อการกบฏขึ้น ปรากฏว่าเจ้านายวังหน้าที่ทรงสดับพระธรรมเทศนาอยู่ในงานสวด ต่างก็ตกพระทัย แต่ไม่มีใครเข้าข้างพระองค์เจ้าทั้งสองเลย โดยเฉพาะพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร ทรงติเตียนพระเชษฐาว่าทำอะไรลงไปไม่คิดถึงพระคุณของพระบิดา และไม่เชื่อฟังที่ทรงขอฝากพระโอรสธิดาไว้ในพระเมตตาของพระเจ้าอยู่หัว แต่ก็ทรงยกย่องพระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัตว่า เป็นนักรบที่มีฝีมือ เคยรบชนะศึกพม่าที่เชียงใหม่มาได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|