คำว่า "พวงหรีด" มาจากภาษาอังกฤษว่า
"wreath"ประเพณีการวางพวงหรีด เราได้แบบอย่างมาจากฝรั่ง แต่ก่อนจึงมีคนรังเกียจพวงหรีดและใช้พวงมาลัย ต้นเหตุที่เกิดเป็นประเพณีวางพวงหรีดที่ศพ กล่าวว่า พวงมาลาเป็นของสูงสำหรับรัดเศียรเทวดา ภายหลังเลื่อนมาเป็นพวงหรีดและมงกุฎของฝรั่ง เห็นจะเป็นเพราะพวงหรีดไม่อ่อนปวกเปียกเหมือนพวงมาลา ใช้สวมได้สะดวกกว่า
ชาวกรีกและชาวโรมันมีธรรมเนียมอยู่ว่า ถ้าผู้ใดไปรบทัพจับศึกมา ประชาชนก็สวมพวงหรีดให้เป็นเกียรติยศ ใช้ตลอดมาถึงปัจจุบัน เมื่อจะให้รางวัลผู้ที่แข่งขันอะไรมีชัยชนะ ก็สวมพวงหรีดให้เป็นเกียรติยศด้วย
พระเยซูเอง เมื่อถูกตรึงไม้กางเขนก็สวมมงกุฎหนาม มงกุฎกับพวงหรีดตามรูปที่เขียนก็ดูคล้ายคลึงกัน ส่วนผู้ที่ตายก็สวมมงกุฎให้ ถือว่าให้เกียรติยศแก่ผู้ตายครั้งสุดท้าย เพราะฉะนั้นชาวฮินดูจึงสวมพวงมาลัยให้แก่ผู้ตาย
กรีกและโรมัน นอกจากสวมมงกุฎหรือพวงหรีดให้ศพ ยังนำไปไว้บนหลุมศพอีกด้วย ขณะที่ชาวอียิปต์ครั้งโบราณ ก็มีธรรมเนียมวางพวงมาลัยด้วยดอกไม้บนเศียรศพ พิธีของพราหมณ์ก็มีดอกไม้และพวงหรีดประดับศพแลเอาบูชาพราหมณ์ด้วย
แต่ประเพณีฝรั่งวางพวงหรีดที่ศพในปัจจุบันไม่ได้ถือเป็นการบูชาให้เกียรติยศแก่ศพ แต่ถือว่าเป็นเครื่องหมายแสดงความเศร้าโศกเท่านั้น
เขาเล่าต้นเหตุไว้ว่า พวกฝรั่งคริสเตียนในสมัยแรกเอาริบบิ้นเป็นที่ระลึกอุทิศให้แก่ผู้ตาย ประเพณีนี้ชาวชนบทฝรั่งยังคงทำกันอยู่หลายแห่ง พวงหรีดที่อุทิศเอาแขวนไว้ในโบสถ์ จนเก่าคร่ำคร่าแล้วก็เอาออก เอาใหม่แขวนแทนที่ พวงหรีดแห้งนี้ต่อมากลายเป็นพวงหรีดสด ที่ญาติมิตรของผู้ตายนำไปวางไว้บนหลุมศพ
ที่มา : หนังสือ "ประเพณีเนื่องในการตาย" ของ "เสฐียรโกเศศ"
