เรื่องลึกลับของคุณโหน่ง (๒)มีครั้งหนึ่งผมไปเที่ยวอียิปต์ ระหว่างที่เดินเที่ยวอยู่ที่ปิรามิดขั้นบันไดที่เมือง Sakkara ผมเก็บหิน alabaster ก้อนเล็ก ๆ กลับมาบ้านเป็นที่ระลึก ผมได้ยินคำเตือนมานักต่อนักว่าไปเที่ยวสถานที่ประวัติศาสตร์แบบนี้อย่ามือบอนเก็บไอ้นู่นไอ้นี่กลับมาบ้านเดี๋ยวจะเกิดเรื่อง ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อ แต่ผมอยากลองดู

หลังจากกลับมาบ้านเรียบร้อย ผมก็เริ่มทดสอบ
ปกติผมจะนั่งสมาธิเป็นประจำอยู่แล้ว เป็นการนั่งแบบไม่มีครูสอนจึงไม่รู้ว่าหลักการเป็นอย่างไร ในเวลานั้นผมยังไม่รู้จัก ‘อานาปานสติ’ การนั่งสมาธิของผมจึงเป็นการนั่งไปเรื่อย ๆ คิดเรื่อยเปื่อยบ้างไม่คิดบ้าง จนถึงจุดหนึ่งสมองคงล้ามันก็เลิกคิดแล้วก็นิ่งเงียบ ต่อจากนั้นผมจะรู้สึกเคลิ้ม ๆ เหมือนกับจะหลับแต่ยังไม่หลับ มันครึ่ง ๆ กลาง ๆ ตอนนี้แหละผมจะเห็นอะไรต่อมิอะไรมากมายล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูก ที่บ่อยที่สุดคือไปอยู่ในสถานที่แปลก ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หรือเห็นผู้คนมากมายซึ่งก็ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเช่นกัน
ตอนแรกผมนึกว่าสมองเริ่มต้นคิดใหม่เกิดเป็นภาพ แต่จากนิมิตผู้คนที่ผมเห็นนั้นช่วยยืนยันว่าผมไม่น่าจะคิดเอง เป็นต้นว่า ผมเห็นผู้คนมากมายเดินไปมาแล้วจู่ ๆ ก็มีคน ๆ หนึ่งหยุดกลางคันแล้วหันมามองผมจากนั้นก็เดินเข้ามาหาแล้วจ้องหน้าผมแบบสำรวจตรวจตราแต่ไม่ได้พูดว่าอะไรก่อนจะเดินจากไป หรือบางทีก็เห็นคนเดินตรงมาแล้วยื่นจานใส่อาหารให้แบบเงียบ ๆ ก่อนจะเดินจากไป แล้วก็มีอีกครั้งหนึ่งที่ขณะนั่งสมาธิอยู่ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดไทยสีเขียวไพลเดินมาถึงก็ทรุดตัวลงนั่งพับเพียบต่อหน้าแล้วก้มหน้ามองพื้น ไม่พูดไม่จา ฯลฯ
สำหรับการนั่งในครั้งนี้เป็นการนั่งแบบมีจุดประสงค์ พอมีจุดประสงค์ผมก็ไม่มั่นใจว่านั่ง ๆ ไปแล้วสมองจะเล่นกลกับผมรึเปล่า แต่ผมก็ลองดู ผมนั่งขัดสมาธิ มือข้างหนึ่งกำหิน alabaster ไว้
พอถึงจุดที่สมองเริ่มเบื่อกับการคิดฟุ้งซ่านแล้วมันก็เลิกคิดอย่างที่เกิดขึ้นทุกที ผมก็เริ่มง่วง แล้วผมก็พบว่าตัวเองไปอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จะเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจากที่อียิปต์โบราณ ผมมองไปรอบ ๆ เห็นชาวบ้านกำลังทำงานประจำวัน บางคนตำหญ้าบางอย่างในครกขนาดใหญ่ บางคนให้อาหารเป็ดไก่ มีเด็ก ๆ วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน อากาศร้อนและแห้งแล้ง
ระยะเวลาที่เห็นเพียงแค่ ๒-๓ อึดใจแล้วผมก็กลับมาสู่ปัจจุบัน
ผมลองอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น คราวนี้มีชาวอียิปต์แต่งตัวเหมือนคนงานเดินมาหาผม เขาดึงผมให้ลุกขึ้นแล้วเดินนำหน้าไปยังกลุ่มคนงานที่เดินอยู่ข้างหน้า ผมเดินปะปนไปกับกลุ่มคนเหล่านั้น ตามพวกเขาไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ถึงปากทางเข้าปิรามิด ชายคนที่พาผมมาแต่ต้นหันมาบอกว่าจะพาไปดูของดี ๆ ข้างในกัน เขาไม่ได้พูดภาษาไทยแต่ผมกลับเข้าใจเป็นอย่างดี แต่อนิจจาพอเดินเข้าไปภายในปิรามิดผมก็กลับมาสู่ปัจจุบัน รวมระยะเวลาที่เห็นประมาณ ๒-๓ อึดใจเช่นกัน
ผมไม่มีบทสรุปสำหรับการทดลองนี้ว่าผมถอดจิตออกไปจริงหรือว่าสมองเล่นกล อย่างไรก็ตาม ทดลองได้เพียง ๒ ครั้งผมก็เลิก
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งที่ ๓ นี้ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างนั่งสมาธิแต่เกิดในความฝันในตอนกลางคืน ผมฝันว่าอยู่ในดินแดนอียิปต์โบราณ ในขณะนั้นเกิดแผ่นดินไหวส่งเสียงระเบิดดังกัมปนาทเกิดความโกลาหลไปทั่ว ผมเองก็วิ่งหนีตายหัวซุกหัวซุน ตอนตกใจตื่นหัวใจยังเต้นแรงอยู่เลย
หลังจากคราวนั้นผมกับหินก็เลิกคบหากัน แต่ผมไม่ได้ทิ้งขว้าง เอาเขามาแล้วต้องรับผิดชอบ ผมก็เก็บเอาไว้ในลิ้นชัก แล้วทำลืม
ผมคิดว่าถ้าหินยังแสดงอภินิหารอีกก็คงต้องเอาไปไว้ที่วัด แบบที่ชาวบ้านทำกัน แต่หลังจากคืนนั้นหินก็ไม่ได้มามีบทบาทอะไรอีก
วันเวลาผ่านไป ซึ่งระหว่างนั้น ตรงตามที่ ‘คุณตาที่สาม’ เคยบอกไว้ ธรรมะเข้ามาจัดสรร จาก ‘ลูกเทวทัต’ ผมก็กลายมาเป็น ‘ลูกพระพุทธเจ้า’ และวันหนึ่งผมก็ได้พบกับพระสุปฏิปันโน
เอาแบบย่นย่อ ผมเล่าเรื่องหินที่ว่าให้ฟัง พระท่านขอดูหิน ท่านกำหินแล้วหลับตา แป๊บนึงก็ลืมตาแล้วยิ้ม
ผมถามว่า หินมีตัวมั้ย ท่านบอกว่า มี
แสดงว่าการที่ผมลองดีในช่วงนั้น ผมเจอของจริง ไม่ใช่ฟุ้งซ่าน
ผมถามว่า เค้าเป็นใคร
ท่านบอกว่า เค้าไม่บอก แต่ตอนนี้เค้าสงบเพราะโยมสวดมนต์ให้เค้าฟังทุกวัน
เป็นไงล่ะ ศาสนาพุทธของเรา ...
จากกระทู้
สมบัติเจ้าคุณตา