เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 16
  พิมพ์  
อ่าน: 63883 เรื่องผีๆ และสิ่งลึกลับไร้คำอธิบาย
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 120  เมื่อ 25 ก.ย. 18, 16:14

ทั้งสองเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้ถึง 10 ปี  จนในที่สุดก็ตัดสินใจว่า ไม่ควรจะปล่อยให้มันสูญหายไปเฉยๆ   จึงได้เรียบเรียงขึ้นมาเป็นหนังสือเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งชื่อว่า An Adventure   เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียด    แต่ก็ไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามจริง     เพราะตอนนั้น เอลินอร์ จอร์เดนเลื่อนขึ้นเป็นอาจารย์ใหญ่แทนม็อบเบอลี่ที่เกษียณไปแล้ว    
   ด้วยตำแหน่งการงานที่น่านับถือ    เธอทั้งสองก็ไม่อาจเสี่ยงที่จะให้มหาชนมาตั้งคำถามร้อยแปด  หรือถึงขั้นเยาะเย้ยถากถาง กล่าวหานานาประการให้เสียหายไปเปล่าๆปลี้ๆ
   ทั้งสองจึงใช้นามแฝงว่า Elizabeth Morison  และ Frances Lamont


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 121  เมื่อ 25 ก.ย. 18, 18:53

  เรื่องนี้พอตีพิมพ์ออกไป ก็กลายเป็นเรื่องฮือฮากันมากมายในวงการหนังสือ    คนที่เชื่อเรื่องนี้ก็เชื่อว่า สตรีทั้งสองได้หลุดเข้าไปในอีกมิติเวลา (อย่างที่คุณ Naris เรียกว่า time slip)  จริงๆ   คือไปเห็นเหตุการณ์สมัยปลายศตวรรษที่ 18  ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16   ได้พบพระนางมารี อังตัวแน็ตต์จริงๆ     แม้เพียงไม่กี่นาทีก็ตาม 
  บางคนก็เชื่อว่า ไม่ใช่มิติเวลาอะไรหรอก     เธอทั้งสองไปเจอวิญญาณหลอนในตำหนักตริอานงเข้าให้น่ะ     บรรดาผู้ที่เธอเจอ ล้วนเป็นวิญญาณของผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน  แล้วยังสิงสู่อยู่ไม่ไปไหน   
  บางคนก็ลังเลไม่รู้จะฟันธงลงไปว่าเป็นอะไรกันแน่     แต่เมื่อดูจากองค์ประกอบและภูมิหลังของสตรีทั้งสอง ก็มองไม่เห็นแรงจูงใจที่ทั้งคู่จะปั้นเรื่องโกหกขึ้นมา  เพราะมันมีแต่เสียหายมากกว่าได้ดี   ดูจากวิธีเล่าเรื่องและการพยายามหาคำอธิบายก็เห็นว่าเธอทั้งสองจริงจังและจริงใจกับเรื่องนี้     จึงสรุปว่า ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม  สตรีทั้งสองได้ประสบเหตุการณ์ประหลาดที่ไม่มีใครเขาเจอกันนั่นเอง
  นี่คือฝ่ายเชื่อนะคะ    แต่ฝ่ายไม่เชื่อก็ถล่มซะไม่ปรานี  สมดังที่คุณป้าและคุณน้าคู่นี้กลัวเอาไว้ล่วงหน้า    นับว่าเธอทำนายชะตากรรมได้แม่นมาก       
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 122  เมื่อ 26 ก.ย. 18, 11:38

  ฝ่ายที่ไม่เชื่อ  ก็เห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้หลักฐานพิสูจน์   มีเพียงคำบอกเล่าของผู้หญิง 2 คน  แถมยังให้การไม่ตรงกันเสียอีก    หลายอย่างที่คนหนึ่งเห็นแต่อีกคนกลับไม่เห็น   เป็นไปได้ไง เดินมาด้วยกันแท้ๆ
 The Society of Psychical Research (สมาคมค้นคว้าวิจัยทางจิตวิญญาณ)ตั้งข้อสังเกตว่าคำบอกเล่าของทั้งสองมีช่องโหว่อยู่หลายช่อง เช่นพูดถึงสะพานแถวตริอานง   จากแผนที่ที่หากันมาปรากฏว่าไม่มีสะพานอยู่ตรงไหนแถวนั้นเลย     ก็เลยสงสัยว่าสิ่งที่เห็นอาจเป็นภาพหลอนประเภทคิดไปเอง แบบภาพหลอนในทะเลทราย หรือไม่สองคนนี่ก็กุเรื่องขึ้นมาเอง
  สรุปแล้วนักวิชาการร่วมสมัยทั้งหลายต่างก็หันหน้าไปทางเดียวกัน คือ...ไม่เชื่อถือ
 
  มีคนพยายามหักล้างเรื่องนี้อย่างเป็นเรื่องจริงจังอีกเหมือนกัน      คำอธิบายที่มีน้ำหนักที่สุดมาจากการค้นคว้าของนักเขียนชื่อ ฟิลิปป์ จูเลียน (ภาพประกอบข้างล่างนี้ค่ะ) ซึ่งชี้ลงไปว่า  สตรีทั้งสองไม่ได้ปั้นน้ำเป็นตัว  ไม่ได้เห็นภาพหลอน   สิ่งที่เธอเห็นนั้นเห็นจริง  แต่มันไม่ใช่เรื่องหลงมิติเวลาหรือเห็นผีสางนางไม้อะไรทั้งนั้น
  จูเลียนเชื่อว่าทั้งสองเดินผ่านกลุ่มคนที่กำลังจัดงานปาร์ตี้คอสตูมกันอยู่ในบริเวณสวนของแวซายลส์พอดี    เป็นงานที่จัดโดยศิลปินและหนุ่มไฮโซคนดังของปารีส ชื่อโรแบต์ เดอ มองเตสกิอู  ซึ่งมีนิวาสสถานอยู่ติดพระราชวังแวซายลส์นั่นเอง
   นายคนนี้ผูกมิตรกับผู้ดูแลบริเวณพระราชวัง สนิทสนมกันดีจนได้อภิสิทธิ์มีกุญแจประตู ไขเข้ามาเที่ยวเล่นหรือจัดปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงได้บ่อยๆ บริเวณหมู่บ้านหลังตริอานง  ในช่วงเวลาที่ไม่มีนักท่องเที่ยวมาเห็น      เผอิญช่วงเวลานั้น  คุณป้าคุณน้าสองคนนี้พลัดหลงเส้นทางเดินผ่านมาพอดี      ก็เลยเจอคนแต่งกายแบบโบราณเข้าทั้งกลุ่ม
 


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 123  เมื่อ 26 ก.ย. 18, 11:58

  มองเตสกิอูซึ่งมียศเป็นเคานต์ มีเหตุผลที่จะจัดงานปาร์ตี้คอสตูมในบริเวณตริอานง  แทนที่จะไปจัดในคฤหาสน์ตัวเองหรือโรงแรมหรูๆ    กล่าวคือนายคนนี้เป็นเกย์  เพื่อนฝูงในแวดวงก็พวกเดียวกันทั้งนั้น    สมัยนั้น ใครเป็นเกย์จะต้องแอบจิตสถานเดียว     เพราะผิดทั้งทางโลกและทางธรรม    ถ้าถูกจับได้อาจเข้าคุกได้ง่ายๆ
  ดังนั้น  เมื่อพวกนี้อยากเริงร่าฮาเฮประสาขาเกย์ด้วยกัน  ทางออกคือจัดคอสตูมปาร์ตี้ เพื่อจะแต่งหญิงได้ตามใจชอบ     ถ้าไปจัดในสถานที่เปิดเผยก็อันตราย   แอบมาจัดแถวๆตริอานงนี่แหละไกลหูไกลตาคน  เพราะประตูทางเข้าก็ใส่กุญแจห้ามนักท่องเที่ยวเข้ามาอยู่แล้ว
  บังเอิญคุณป้าคุณน้าสองคนนี่หัวดื้อ หาทางลัดเลาะเข้ามาจนได้   นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ชายในชุดดำที่นั่งอยู่ที่ศาลา จึงมีท่าทีบึ้งตึงไม่พอใจ      จูเลียนสันนิษฐานว่าชายหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวที่คุณป้าเห็นอาจเป็นตัวมองเตสฯ เองก็เป็นได้
  ส่วนมารี อังตัวแน็ตต์นั้นก็อาจจะเป็นเพื่อนสตรีที่รวมกลุ่มอยู่ในแวดวงเกย์ของนายคนนี้  หรือไม่ ก็เป็นชายแต่งหญิงแบบเดียวกับนางโชว์ของเรา      คอสตูมปาร์ตี้ที่จัดกันในสมัยนั้นนิยมย้อนยุคไปในสมัยฝรั่งเศสศตวรรษที่ 17-18 กันอยู่แล้ว   เพราะมันหรูหราอลังการ มีวิกผมยาวสลวยถูกอกถูกใจพวกนี้


บันทึกการเข้า
Naris
องคต
*****
ตอบ: 421


ความคิดเห็นที่ 124  เมื่อ 26 ก.ย. 18, 13:39

หง่า... กลายเป็นการหลงเข้าไปในงานคอสเพลย์ไปซะอย่างนั้น
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 125  เมื่อ 26 ก.ย. 18, 18:17

   คำอธิบายว่าคุณป้าคุณน้าเจอคอสเพลย์  นับว่าสั่นประสาทคนที่เชื่อเรื่องหลุดมิติเวลามากพอแล้ว   ก็ยังมีที่แย่กว่านี้คือนักวิชาการบางคนตีความพิสดารไปมากกว่านั้น   เช่น  Terry Castle เชื่อว่าเป็นอาการทางจิตที่เกิดพ้องกันระหว่างคนสองคนที่มีความสัมพันธ์กันแนบแน่น มีศัพท์เรียกอาการนี้ว่า Folie à deux (คุณหมอ SILA คงอธิบายได้ดีกว่าดิฉัน)
   เจ้าโฟลีอาเดอซ์นี้ทำไมมาเกิดกับคุณป้าคุณน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกันล่ะ   อ๋อ คำตอบคือสองคนนี่ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานกันธรรมดาๆ  แต่ว่าเป็นเลสเบี้ยนกันน่ะซิ     มันถึงเกิดอาการเห็นภาพหลอนคล้อยตามกันไปทั้งคู่ไง
   สาเหตุที่เทรี่ คาสเซิลระบุออกมาเต็มปากว่าทั้งคู่เป็นเลสเบี้ยน  เพราะตามประวัติ   จอร์เดนได้รับตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ต่อจากม็อบเบอลี่เมื่อคุณป้าม็อบเกษียณแล้ว     ระหว่างดำรงตำแหน่ง มีข่าวอื้อฉาวเกิดขึ้นในสถาบันว่าเธอมีความสัมพันธ์ทางเพศกับลูกศิษย์สาวๆ     พอเกิดเรื่องเอะอะกันขึ้นมา จอร์เดนก็เสียชีวิตกะทันหัน       ในวิกิไม่ได้บอกว่าเธอตายเพราะอะไร บอกแต่ว่าปุบปับตาย    แต่ดิฉันไปค้นในเว็บอื่นๆอีกหลายเว็บ  มีเว็บหนึ่งบอกว่า่เธอฆ่าตัวตาย
   ในเมื่อสืบประวัติของจอร์เดนมาได้แบบนี้     คาสเซิลไปหารายละเอียดอะไรมาได้มากกว่านี้หรือแค่สรุปเอาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน  แต่ฟันธงออกมาว่า ป้าม็อบและน้าจอร์เป็นคู่เลสกัน   (ทั้งๆป้าแกปาเข้าไป 55 แล้วตอนไปเที่ยวแวซายลส์) ในเมื่อสัมพันธ์กันแนบแน่นขนาดนี้   ก็เป็นได้ว่าคนหนึ่งเห็นภาพหลอนอะไร อีกคนก็พลอยเอออวยเห็นไปด้วยเป็นตุเป็นตะ  แบบชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้
   นับว่าเป็นความซวยของป้าและน้าแกแท้ๆ    ถ้าไม่เขียนหนังสือเล่มนี้ออกมาก็ไม่ต้องนอนสะดุ้งอยู่ในหลุม
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 126  เมื่อ 26 ก.ย. 18, 20:21

  บรรดาแฟนมิติหลงเวลาอย่าเพิ่งผิดหวัง    ฝรั่งเขาไม่เชื่ออะไรกันง่ายๆ   ต้องหาหลักฐานมายืนยันกันให้จะจะถึงจะเชื่อ
  ดังนั้คำอธิบายของจูเลียนจึงถูกตรวจสอบ   โดยเล็งไปที่ประวัติของกองต์เดอมองเตสกิอู ว่าช่วงนั้นเขาไปทำอะไรอยู่ที่ไหน   แอบมาจัดปาร์ตี้คอสตูมจริงหรือไม่ 
 ผลก็คือในปี 1901 อันเป็นปีเกิดเรื่องประหลาดนี้  ตัวมองเตสฯ ไม่ได้อยู่ที่บ้านพักใกล้พระราชวังแวซายลส์   เขาย้ายไปอยู่ที่ Rue de l’Université   ในกรุงปารีสนานหลายปีแล้ว  อย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี 1896 หรือก่อนหน้านั้น
 จึงไม่มีโอกาสจะมาจัดปาร์ตี้ที่อุทยานตริอานงอีก
  นอกจากนี้ในบันทึกและหลักฐานต่างๆเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว  ก็บอกให้รู้ว่า ในเดือนสิงหาคม 1901  เขาไม่ได้อยู่ทั้งในแวซายลส์และในปารีส 

  อย่างไรก็ตาม     ลิขสิทธิ์ของหนังสือ An Adventure ตกอยู่ในมือของนักวิชาการประวัติศาสตร์ชื่อ Dame Joan Evans   เธอได้ระงับการพิมพ์จำหน่ายไว้เพียงแค่นั้น    และประกาศว่าคำอธิบายของจูเลียนถือว่าเป็นที่สุดของเรื่องนี้
  อย่างไรก็ตาม เมื่อหนังสือเล่มนี้ปลอดลิขสิทธิ์ในปี 1988  ก็มีผู้พิมพ์ออกมาอีกในปี 2008   ส่วนคำตอบของเรื่อง ก็ยังไม่มีผู้ใดตัดสินลงไปได้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร

จบค่ะ

 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 127  เมื่อ 27 ก.ย. 18, 11:08

ถ้าไม่มีใครออกความเห็นเรื่องนี้  ขอผ่านไปสู่เรื่องต่อไป
เรื่องนี้อ่านมาจากหนังสือพิมพ์ไม่กี่วันนี้เอง

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9610000095908
หนุ่มเตือนผู้ปกครองอย่าละสายตาจากบุตรหลาน หลังเจอประสบการณ์ขนหัวลุก

หนุ่มโพสต์เหตุการณ์สุดหลอน หลังพบเด็กหญิงนักท่องเที่ยวเล่นเพียงลำพัง โดยบอกกำลังรอแม่ ด้านผู้โพสต์บอกแม่เดินไปก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนจะส่งเด็กคืนผู้ปกครองอย่างปลอดภัย วอนดูแลลูกหลานอย่างดี

เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “บังรอฮีม ลูกชิ้นปิ้ง” ได้โพสต์เล่าประสบการณ์สุดแปลก โดยเหตุเกิดภายในน้ำตกบางแป ตำบลป่าคลอก อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต หลังพบเด็กน้อยชาวต่างชาติเล่นอยู่คนเดียวใกล้กับโขดหิน จึงสงสัยว่าทำไมผู้ปกครองจึงไม่พากลับไปด้วย เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวใกล้จะค่ำแล้ว โดยระหว่างทางได้พูดคุยกับเด็กน้อยชาวต่างชาติ จึงทำให้ได้พบกับเรื่องราวขนหัวลุก ก่อนที่สุดท้ายจะสามารถพาเด็กน้อยส่งถึงมือแม่ได้อย่างปลอดภัย โดยผู้โพสต์ได้ระบุข้อความว่า

“มีเรื่องสงสัย ?? เมื่อกี้ตอนเล่นน้ำตกเสร็จจะกลับ ก็เดินขึ้นมาจากน้ำ มันจะมีฝรั่งสาวสวย 2 คน กำลังใส่เสื้อเดินกลับ และมีลูกสาวมาด้วยทั้ง 2 คน เราก็มองไปไกลๆ เห็นเขาเดินกลับไป เราก็เดินกลับเป็นกลุ่มสุดท้าย จังหวะจะเดินออกมาผมก็เหลือบไปเจอเด็กสาวฝรั่งคนนึง ยืนเล่นน้ำใต้โขดหินมืดๆ พร้อมเสียงน้ำที่เด็กตะหวัดเบาๆ ผมก็ตกใจว่า..เอ๊ะ ทำไมแม่เขาไม่พาไปด้วย ทิ้งลูกเฉยเลย งงอยู่พักนึง ผมก็เรียกน้องเขาให้เดินขึ้นมาจากน้ำ บอกว่า “ให้เดินตามมา แม่หนูเดินกลับไปตั้งนานแล้ว (พูดอังกฤษ)” น้องเขาก็หันมาทำหน้าเฉยๆ แล้วชี้ไปที่ขั้นบันได บอกว่าแม่เดินขึ้นบันไดเข้าป่าไป.. (ผมตอนนั้น ทั้งงง ทั้งขนลุก ตกใจ) เพราะผมเห็นแม่เขาเดินกลับไปด้านล่าง

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 128  เมื่อ 27 ก.ย. 18, 11:10

ผมเลยตัดสินใจชวนน้องเขาขึ้นมาให้เดินลงไปกับผม เพราะมันมืดแล้ว อีก 10 นาที ก็จะมองทางไม่เห็น “ลองคิดดูว่าเด็กตัวเล็กๆ อยู่ในป่าลึกมากๆ ตอนค่ำมืดจะเป็นอย่างไร”
น้องเขาก็เดินขึ้นมาแต่ตอนที่เดินตามผมมา เขาก็หันกลับไปมองข้างหลังตลอด เหมือนว่าเขากำลังรอแม่เขา เราก็รีบเดิน ปากก็ตะโกนเรียก Hey you!! สุดเสียงตลอดทาง เดินเกือบ 10 นาที ก็จะตามทัน แล้วผมก็บอกว่านี่ลูกสาวคุณ แหม่มสาวตกใจ อุทานออกมา ลูกสาวเขาก็วิ่งไปหา เขาคุยอะไรกันไม่รู้ ผมก็เดินไปถามอีกทีว่า (พูดอังกฤษ) “คุณลืมลูกสาวไว้คนเดียวตรงปลายน้ำตก ผมเรียกเขาให้เดินตามหาคุณมาตลอดทาง”
 แต่พอแหม่มสาวตอบกลับมา ยิ่งทำให้ผมงงงวยเข้าไปอีก แหม่มสาวตอบมาว่า “ตอนที่เขาเดินมา เขาก็จูงมือลูกสาวเดินตามมาด้วย แต่ถามอะไรก็ไม่ตอบ จนเขาปล่อยมือ และเดินคุยกับเพื่อนมาแบบไม่สนใจ ไม่ได้ยินเสียงผมเรียกด้วย ขอบคุณมากที่พามาส่งให้”
ผมฟังแบบนี้ ผมเลยคิดว่าไม่ใช่ละ แหม่มสาวคิดว่าลูกสาวเขาหยุดเดิน จนผมไปพบแล้วพามาส่ง แต่จริงๆ คือ ผมพาลูกสาวเขามาจากจุดที่เขาเล่นน้ำปลายน้ำตกเลย แต่ลูกสาวเขาบอกว่าแม่เดินขึ้นบันได เข้าป่าไป!!! ผมยังงงจนถึงตอนนี้ ... ในคลิป ก็จะเห็นว่าเขาหันมองข้างหลัง อย่างที่เขาคิดว่าแม่เขาอยู่ในป่า ... ก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยังงง”

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวสุดหลอนนี้ได้ถูกแชร์ออกสู่โลกโซเชียลแล้วกว่า 8,600 ครั้ง ทั้งนี้ ผู้โพสต์ได้กล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า “ญิณ” ซึ่งผู้โพสต์ได้อธิบายถึงคำว่า “ญิณ” ไว้ว่า มันคือ ความเชื่อเรื่องวิญญาณ ในแบบอิสลาม เป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นก่อนมนุษย์ มีทั้งดี และ ร้าย สามารถทำอะไรได้หลายแบบ อยู่ในรูปลักษณ์ใดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบสัตว์ เป็นสิ่งลี้ลับที่มีอยู่ทุกแห่ง ตามดำรัสในอัลกุรอาน ส่วนใหญ่จะอยู่ในป่า ในเขา ต้นไม้ใหญ่ ป่าทึบๆ ญิน ก็จะมีหน้าที่ในแบบของเขา เช่น การมาเข้าฝันให้ไปเจอศพ ที่ถูกฆ่าห่างจากการค้นหา เป็นต้น หรือเป็นไปในทางร้าย คือ การล่อลวงคนล่อลวงเด็กให้ตกอยู่ในอันตราย เป็นต้น อันนี้อธิบายแบบคร่าวๆ ครับ ก่อนจะฝากเตือนถึงบรรดาผู้ปกครองควรจะดูแลและใส่ใจกับบุตรหลานของตนเองมากยิ่งขึ้น
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 129  เมื่อ 28 ก.ย. 18, 10:38

Time Slip หรือครับ
สถานที่เดิม ต่างห้วงเวลา
คุณ Naris เอ่ยขึ้นมาถึง Time Slip ทำให้นึกได้ว่ากรณีลึกลับในเรื่องนี้ก็มีบันทึกเอาไว้มิใช่น้อย    บางเรื่องอาจกุขึ้นมา  พวกนี้ต้องผ่านไปก่อน    แต่บางเรื่องเกิดกับบุคคลที่น่าเชื่อถือ ที่ไม่มีเหตุผลว่าเขาโกหกขึ้นมาทำไม   แต่จะเชื่อก็ยังหาคำอธิบายไม่ได้    เรื่องประเภทนี้ก็มีอยู่มากเหมือนกัน

ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่า Time slip คืออะไร
คำนี้หมายถึงการหลุดเข้าไปในอีกกาลเวลาหนึ่ง  จะเป็นอดีตหรืออนาคตก็ได้  ส่วนใหญ่จะหลุดเข้าไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว  เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ   ยังไม่ทันจะหาคำตอบได้ก็หลุดกลับมาสู่เวลาปัจจุบันอีกครั้ง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 130  เมื่อ 28 ก.ย. 18, 15:37

 เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อค.ศ. 1935 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2   นายทหารอากาศชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อโรเบิร์ต วิคเตอร์ ก๊อดดาร์ด มีภารกิจจะต้องบินไปที่เอดินเบอระ  สก๊อตแลนด์     เส้นทางบินต้องผ่านสนามบินทหารเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อว่า Drem Airfield   เมื่อไปใกล้สนามบินก็พบว่าเป็นสนามบินร้าง   อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก  อาคารต่างๆอยู่ในสภาพเหมือนปิดร้างมาหลายปี  รันเวย์ก็มีหญ้าขึ้นรกไปหมด   เมื่อบินใกล้เข้าไปเขายังเห็นฝูงแกะกระจัดกระจายอยู่บนเส้นทางใหญ่    ก๊อดดาร์ดไม่ได้แวะ แต่บินต่อไปถึงเอดินเบอระ
  เขาไปถึงเอดินเบอระ   ทำธุระที่นั่นเสร็จแล้วก็บินกลับฐานที่อันโดเวอร์    แต่เคราะห์ร้ายไปเจอพายุฝนหนัก  ทัศนวิสัยก็เลวร้ายมาก    เครื่องบินจำต้องบินฝ่าเมฆก้อนหนาทึบ มองไม่เห็นทิศทางอยู่พักใหญ่  มีช่วงหนึ่งเครื่องเสียหลักเกือบร่วงถึงพื้นดิน
   จู่ๆเขาก็พ้นเมฆฝนมาได้ปุบปับแทบไม่รู้ตัว   กลายเป็นฟ้าเปิด   แดดสว่างจ้า    มองไปก็พบว่าเครื่องกำลังบินอยู่เหนือสนามบินเดรมอีกครั้ง    


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 131  เมื่อ 28 ก.ย. 18, 16:09

คราวนี้สนามบินดูแปลกตาไปจากครั้งก่อนมาก    ไม่ใช่สนามบินร้างชำรุดทรุดโทรมอีกแล้ว  รันเวย์ไม่ได้รกเรื้อด้วยหญ้า แต่อยู่ในสภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ดี    ลานบินขวักไขว่ไปด้วยบรรดาช่างเครื่องในชุดช่างสีน้ำเงินแบบที่เขาไม่คุ้นตา      ที่ลานจอดยังมีเครื่องบินสีเหลืองสี่ลำจอดเรียงกันอยู่ สามลำเป็นเครื่องบินชนิด Avro trainer biplanes  ส่วนลำที่สี่เป็นเครื่องบินชนิดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
  ที่แปลกตากว่านี้คือเครื่องบินส่วนใหญ่ทาสีเหลือง  ซึ่งไม่ใช่สีเครื่องบินรบทั่วไปในยุคนั้น      ชุดช่างสีน้ำเงินของช่างเครื่องก็เหมือนกัน  ดูสมัยใหม่มาก    ไม่ใช่แบบที่ช่างเครื่องทั่วไปสวมอยู่ 
  เราต้องนึกด้วยว่า ก๊อดดาร์ดไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา    เขาเป็นนักบินของกองทัพอากาศ  เพราะฉะนั้นย่อมคุ้นเคยกับเครื่องบินไม่ว่าชนิดไหนที่ผลิตในยุคนั้นเป็นอย่างดี   
   ถ้ามีเครื่องบินชนิดไหนที่ก๊อดดาร์ดไม่เคยเห็น  ก็แปลว่าเครื่องบินนั้นย่อมไม่เคยปรากฏสู่สายตาสาธารณชน หรือแม้แต่กองทัพอากาศ   
   ที่แปลกอีกอย่างคือ แม้ว่าก๊อดดาร์ดพาเครื่องบินต่ำลงมากจนเห็นรายละเอียดต่างๆพวกนี้  แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่มีใครที่สนามบินมีท่าทีว่าสังเกตเห็นเครื่องบินของเขา


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 132  เมื่อ 28 ก.ย. 18, 17:31

    ขณะที่จะพาเครื่องบินลง  ก๊อดดาร์ดก็เจอเข้ากับพายุฝนเข้าอีกครั้งอย่างกะทันหัน   คราวนี้เขาต้องพาเครื่องบินขึ้นสูงลิ่วถึง 17000 ฟุตเพื่อหลบให้พ้นเมฆฝน   จึงบินกลับฐานที่อันโดเวอร์ได้อย่างปลอดภัย  
    เขาทั้งตื่นเต้นทั้งพิศวงงงงวยกับประสบการณ์ประหลาดที่เจอ  เมื่อเล่าให้เพื่อนนักบินฟัง  ก็ปรากฏว่าไม่มีใครเชื่อ   เขาจึงตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะเกรงว่าจะถูกปลดจากงานด้วยสาเหตุอาการฟั่นเฟือนทางสมอง
    ก๊อดดาร์ดรับราชการก้าวหน้าด้วยดี    จนเกษียณเมื่อปี 1966 ในตำแหน่งพลอากาศโท  มีบรรดาศักดิ์นำหน้า เป็นเซอร์โรเบิร์ต วิคเตอร์ ก๊อดดาร์ด  จึงค่อยเผยเรื่องนี้ออกมา  
    เขาพบว่าเหตุการณ์ที่สนามบินแดรมที่เขาเห็นนั้น ไม่มีอยู่จริงในปี 1935   แต่ว่ามันเป็นความจริงหลังจากนั้นอย่างน้อย 4 ปี กล่าวคือตั้งแต่ปี  1939  กองทัพอากาศอังกฤษได้เปลี่ยนสีเครื่องบินรบเป็นสีเหลือง    ช่างเครื่องสวมเครื่องแบบใหม่สีน้ำเงินแทนท่ี่จะเป็นสีน้ำตาลอย่างของเดิม     สนามบินแดรมถูกปรับปรุงให้ใช้งานใหม่ได้อีกครั้ง
    เครื่องบินที่ก๊อดดาร์ดเห็นแต่ไม่รู้จักนั้นคือ   เครื่องบินชนิดใหม่เพิ่งผลิตออกมา 2 ปีหลังเหตุการณ์นั้น คือเมื่อปี 1937  เป็นเครื่องบินปีกชั้นเดียว (monoplane) รุ่น Magister  


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 133  เมื่อ 29 ก.ย. 18, 13:19

กรณีลึกลับเรื่องนี้ เกิดขึ้นกับหญิงชราคนหนึ่งชื่อชาร์ล็อต วอร์เบอร์ตัน     เธอกับสามีอาศัยอยู่ที่เมืองทันบริดจ์ เวลส์ ในประเทศอังกฤษ ในวันที่ 18 มิถุนายน 1968  
ตอนเริ่มต้น  มันเป็นเหตุการณ์ธรรมดาๆที่สุด   ไม่มีวี่แววล่วงหน้าว่าจะเกิดเรื่องไม่ธรรมดาขึ้นมาได้เลย
กล่าวคือนายและนางวอร์เบอร์ตันถึงกำหนดจะไปจ่ายของกินของใช้ประจำสัปดาห์   ทั้งคู่ก็เข้าไปในเมือง  แล้วตกลงกันว่าต่างคนต่างแยกกันไปซื้อของ  ก่อนจะกลับมาเจอกันที่จุดนัดพบ  เพื่อนั่งรถกลับบ้านด้วยกัน

คุณนายวอร์เบอร์ตันเดินไปที่ร้านขายกาแฟขวดยี่ห้อที่เธอซื้อประจำ  ปรากฎว่ายี่ห้อนั้นเกิดหมด  เธอก็เลยเดินต่อไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆกันนั้นเพื่อจะดูว่ามีขายหรือไม่
พอก้าวเข้าไปในซูเปอร์  เธอก็มองเห็นร้านกาแฟเล็กๆอยู่ทางด้านซ้ายของห้องโถงใหญ่ที่เป็นซูเปอร์มาร์เก็ต   หญิงชรารู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เพราะเธอไม่เคยเห็นว่าที่นี่มีร้านกาแฟมาก่อน และยิ่งแปลกกว่านี้ก็คือร้านกาแฟนี้ตกแต่งแบบโบราณมาก ตรงกันข้ามกับซูเปอร์ที่ดูใหม่ทันสมัย  
เธอจำได้ว่าผนังของร้านกาแฟเป็นไม้แผ่นแบบรุ่นเก่า   ไม่มีหน้าต่าง และไฟฟ้าที่ประดับก็ดูเหมือนไฟฟ้ายุคโบราณ
ในร้านมีลูกค้าอยู่หลายคน    เธอสังเกตเห็นว่ามีผู้หญิงสองคนสวมหมวกและเสื้อโค้ต เหมือนแฟชั่นยุค 1950s นั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะตัวหนึ่ง  นอกนั้นเป็นชายราวครึ่งโหลนั่งกันอยู่ตามโต๊ะตัวอื่น    ทุกคนสวมสูทสีเข้มแบบเป็นงานเป็นการ    ซึ่งนับว่าประหลาดมากสำหรับยุคปลาย 1960  สมัยนั้นไม่มีใครสวมสูทหรือสวมหมวกสวมโค้ตออกไปเที่ยวหรือซื้อของนอกบ้านกันอีกแล้ว
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 134  เมื่อ 29 ก.ย. 18, 15:36

เสื้อผ้าที่ผู้หญิงปี 1968 อย่างคุณนายวอร์เบอร์ตันสวมคือแบบในภาพซ้าย
ส่วนภาพขวาเป็นแฟชั่นสตรีในทศวรรษ 1950s  เวลาออกนอกบ้านผู้หญิงจะสวมเสื้อโค้ตทับกระโปรงชุด สวมหมวก(และถุงมือ)  ถือว่าเป็นชุดสุภาพเมื่อปรากฏตัวในที่สาธารณะ

ความผิดแผกของเสื้อผ้าย่อมกระทบสายตาชาล็อตต์ วอร์เบอร์ตันตั้งแต่เธอเห็นผู้หญิงทั้งสองในร้านกาแฟหน้าตาโบราณนั่น  
เธอให้การภายหลังว่า
" ฉันจำได้แม่นยำว่าผู้หญิงหนึ่งในสองคนนั่นสวมหมวกสักหลาดสีเนื้อ ปีกหมวกยกขึ้นสูง   เสื้อโค้ตเป็นสีเนื้อเข้ากัน   เป็นชุดทันสมัยในยุคหนึ่ง แต่ว่าก่อนปี 1968 หลายปีมาก"



บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 16
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.045 วินาที กับ 19 คำสั่ง