เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 105 เมื่อ 21 ก.ย. 18, 10:42
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 106 เมื่อ 24 ก.ย. 18, 11:36
|
|
เมื่อคืนไปเจอหนังเก่า ปี 1881เข้าเรื่องหนึ่งโดยบังเอิญ ทาง youtube ชื่อ Miss Morison's Ghosts ทำจากหนังสือชื่อเดียวกัน หนังสือเรื่องนี้ไม่ใช่นิยาย แต่เป็นการบันทึกเหตุการณ์ประหลาดที่ผู้เขียน (ซึ่งมีด้วยกัน 2 คน) ประสบมา ในบริเวณพระราชวังแวซาลส์ ในค.ศ. 1901 คือเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการพิสูจน์ได้ว่ามันคืออะไร มีแต่คำอธิบายจากการตีความในทำนองเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง เป็นเรื่องลึกลับไร้คำอธิบายมาจนบัดนี้
ยกคลิปหนังมาให้ดูเป็นตอนๆก่อนนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 107 เมื่อ 24 ก.ย. 18, 11:37
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 108 เมื่อ 24 ก.ย. 18, 11:37
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 109 เมื่อ 24 ก.ย. 18, 12:48
|
|
เหตุการณ์ที่ว่านี้ ภายหลังได้รับการตั้งชื่อว่า The Moberly–Jourdain incident เป็นเรื่องเล่าที่ถ่ายทอดจากประสบการณ์ของสตรี 2 คน ชื่อชาร์ล็อตต์ แอนน์ ม็อบเบอลี่ วัย 55 ปี และเอลินอร์ จอร์เดน วัย 38 ปี ทั้งชาร์ล็อตต์ ม็อบเบอลี่และเอลินอร์ จอร์เดน เป็นสตรีมีเกียรติในการประกอบอาชีพเท่าที่ผู้หญิงสมัยนั้นทำได้ คือเป็นครู ในค.ศ. 1901 บทบาทนอกบ้านของผู้หญิงมีจำกัดมาก เท่าที่กุลสตรีชนชั้นกลางจะทำได้ก็คือเป็นครูนี่ละค่ะ ทั้งสองไม่ใช่ครูเล็กๆธรรมดาเสียด้วย ชาร์ล๊อตต์ ม็อบเบอลี่เป็นถึงอาจารย์ใหญ่วิทยาลัยสตรีในมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดชื่อเซนต์ฮิวจ์คอลเลจ ส่วนเอลินอร์สมัครเข้ามา ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ ถ้าเทียบกับสมัยนี้ ป้าม็อบของเราก็เห็นจะพอเทียบได้กับศาสตราจารย์ ดร. สักท่านหนึ่ง ส่วนน้าเอลินอร์ก็ทำนอง ผศ. หรือรศ. อะไรทำนองนั้น
ในเมื่อมาทำงานด้วยกัน ในช่วงปี 1901 เอลินอร์ จอร์เดนมีอพาร์ตเม้นท์อยู่ในปารีส ซึ่งเธอเช่าไว้สอนลูกศิษย์หญิงเล็กๆ เธอก็เลยเชิญชาร์ล็อตต์มาพำนักอยู่ด้วยกันเพื่อจะได้สนิทสนมคุ้นเคยกัน วันที่ 10 สิงหาคม 1901 ทั้งสองชวนกันไปเที่ยวพระราชวังแวซายลส์ เมื่อไปเดินชมกันสักพักหนึ่ง ทั้งสองรู้สึกตรงกันว่าตัวพระราชวังที่เป็นอาคารมหึมานั้นไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ ก็เลยเบนเข็มไปชมบริเวณอุทยานที่น่าจะร่มรื่นสวยงามกว่า อุทยานของพระราชวังมีชื่อว่า เลอ กรองด์ ตริอานง หรือตริอานงใหญ่ ในบริเวณนี้มีตำหนักขนาดกะทัดรัดสวยงามที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงสร้างไว้เป็นบ้านพัก ชื่อว่าเลอ เปอติต์ ตริอานง หรือตำหนักตริอานงน้อย ต่อมาในรัชกาลพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ได้พระราชทานให้เป็นที่พำนักพักผ่อนหย่อนใจของพระมเหสีโฉมงาม คือพระนางมารี อังตัวแน็ตต์ พระนางก็เล่นสนุกเป็นชาวนา สร้างบ้านนา สร้างหมู่บ้านเล็กๆมีชาวบ้านมาอยู่อาศัยจริงๆ ว่างๆพระนางก็มาพักผ่อน กับพระสหายและข้าราชบริพาร รีดนมวัวในคอกที่กวาดไว้สะอาดสะอ้าน เสวยเนยที่ปั่นไว้อย่างเลิศรส สนุกสนานไปตามประสาเด็กสาว
หลังการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789 พระเจ้าหลุยส์และพระนางมารีถูกบั่นเศียรด้วยกีโยตีนทั้งคู่ ล่วงมาถึง 1901 พระราชวังแวซายล์กลายเป็นสถานที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม บริเวณรอบๆทั้งตริอานงใหญ่และตริอานงน้อยก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ให้ประชาชนเข้าชม เข้าเดินเล่นดูโน่นดูนี่ได้ตามสบาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 110 เมื่อ 24 ก.ย. 18, 12:49
|
|
ตำหนักตริอานงน้อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 111 เมื่อ 24 ก.ย. 18, 14:15
|
|
เมื่อชวนกันเดินไปถึงอุทยานตริอานงใหญ่ ก็พบว่ามันปิด ประตูทางเข้าปิดใส่กุญแจ เป็นอันว่าอดเข้าไปเดินเที่ยว แต่สตรีทั้งสองก็ไม่ย่อท้อ เปิดหนังสือคู่มือนำเที่ยวขึ้นมาดูแผนที่ในนั้นว่า จะมีทางด้านข้างลัดเลี้ยวไปสู่ตำหนักตริอานงน้อยโดยทางอื่น ที่ไม่ต้องผ่านอุทยานตริอานงใหญ่ได้ไหม เมื่อพบว่ามี ก็เดินไปตามทางนั้น แต่แทนที่จะเดินไปตามทางสายใหญ่ที่ชื่อว่า "อัลเลเดเดอซ์ ตริอานง" หรือ"ทางสายสองตริอานง" ซึ่งเป็นทางผ่านทั้งตริอานงใหญ่และตริอานงน้อย ทั้งคู่กลับเดินเลี้ยวผิดไปตามทางสายเล็กๆ สายหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ทางผ่านตำหนักตริอานงน้อย แต่จุดเริ่มต้นตรงนี้ยังไม่เท่าไหร่ ต่อไปนี่สิน่าฉงนสน้ท่ห์กว่า สภาพในทางแคบๆเส้นนั้นเปลี่ยนไปจากสภาพภายนอกที่เธอทั้งสองเพิ่งเดินจากมามาก ทั้งสองเดินผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีบ้านแบบชนบทอยู่ไม่กี่หลัง อย่างแรกคือม็อบเบอลี่เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งชะโงกหน้าออกมานอกหน้าต่าง สะบัดผ้าสีขาวเหมือนจะตาก หรือสะบัดให้แห้งอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนจอร์เดนสังเกตเห็นว่ามีโรงนาเก่าๆทิ้งร้างอยู่ข้างทาง และมีคันไถเก่าๆวางอยู่หน้าโรงนาด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 112 เมื่อ 24 ก.ย. 18, 16:53
|
|
ฉับพลัน สตรีทั้งสองรู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายที่ร่มรื่นอยู่เมื่อตอนเดินมา กลับกลายเป็นความหดหู่เศร้าหมอง ก่อความกดดันอารมณ์อย่างหนัก โดยปราศจากสาเหตุ เธอได้ยินเสียงดนตรีแว่วมาตามลม เป็นท่วงทำนองเพลงเก่าแก่โบราณ ไม่เหมือนเพลงที่บรรเลงกันอยู่ในสมัยนั้น
จู่ๆทั้งสองก็เห็นชายปรากฏตัวขึ้น ไม่ทันเห็นว่ามาจากทางไหน ทีแรกเข้าใจว่าเป็นคนสวนของแวซายลส์ แต่เมื่อจอร์เดนมาทบทวนทีหลัง เธอพบว่าเขาแต่งกายเหมือนข้าราชสำนักโบราณ คือสวมเสื้อโค้ตยาวสีเขียวอมเทา และสวมหมวกที่มีมุมแหลมสามมุมแบบโบราณ เธอถามเส้นทางไปตำหนักตริอานง เขาก็ตอบว่าให้เดินตรงไปเรื่อยๆแล้วจะเจอเอง
เมื่อเดินต่อไปตามทางเส้นแคบๆ จอร์เดนมองเห็นกระท่อมเก่าแก่หลังหนึ่ง มีผู้หญิงและเด็กหญิงอีกคนยืนอยู่หน้าประตู ผู้หญิงถือเหยือกในท่าส่งให้เด็กหญิง และเด็กก็ยื่นมือออกมารับเหยือก มีอะไรที่ดูผิดธรรมชาติในท่าทางของคนทั้งสองเท่าที่จอร์เดนสัมผัสได้ คือทั้งสองอยู่ในท่าแข็งทื่อไม่เคลื่อนไหว เหมือนกำลังเล่น "ตาโบลว์ วิวังต์" (คือคนที่แสดงท่านิ่งเหมือนหุ่น อยู่บนเวที ) หรือไม่ก็เป็นหุ่นขึ้ผึ้งของมาดามทุซโซด์มากกว่าคนจริงๆ แปลกที่จอร์เดนเห็นคนเดียว ส่วนม็อบเบอลี่ไม่เห็น เธอคนหลังสัมผัสได้แต่ความแปลกเปลี่ยนในบรรยากาศ เธอบันทึกไว้ทีหลังว่า "จู่ๆทุกอย่างก็ดูไม่เป็นธรรมชาติ จึงมองแล้วไม่สบายตาเอาเลย แม้แต่ต้นไม้ก็กลายเป็นภาพแบนราบ ไร้ชีวิต เหมือนภาพต้นไม้ที่เขาทอไว้ในผืนพรม ไม่มีแสง ไม่มีเงา ไม่มีแม้แต่สายลมพัดผ่านให้ใบไม้กระดิก"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 113 เมื่อ 24 ก.ย. 18, 16:59
|
|
วิหารนี้จริงๆแล้วไม่ใช่วิหาร แต่เป็นศาลาในสวนรูปร่างคล้ายวิหารกรีก พระนางมารีอังตัวแน็ตต์ทรงให้สร้างขึ้นประดับสวนด้านหลังตำหนัก ในปี 1778 ภายหลังเป็นจุดท่องเที่ยวที่เด่นจุดหนึ่งในบริเวณพระราชวังแวซายลส์ นักท่องเที่ยวชอบมาเยือนที่นี่เสมอ แต่เมื่อสตรีทั้งสองเดินไปถึง ไม่มีผู้คนให้เห็นเลย เว้นแต่ชายผู้หนึ่งนั่งซึมเซาอยู่ในศาลาครึ่งวงกลมเล็กๆใกล้วิหาร ม็อบเบอลีเหลือบเห็นชายผู้นั้นเข้า พอดีกับเขาเงยหน้าขึ้น ประสานสายตากันพอดี แต่สายตาเขาเลื่อนลอย คล้ายกับไม่เห็นเธอ เธอบรรยายลักษณะเขาไว้ว่า เขาสวมเสื้อคลุมแบบโบราณและหมวกปีกกว้าง ผิวคล้ำ หยาบ หนังหน้าขรุขระจากแผลเป็นของฝีดาษ ท่าทางชายผู้นี้ดูแปลกๆ พิกลเหมือนคนสติไม่ดี จนม็อบเบอลีรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เธอบันทึกไว้ทีหลังว่า สีหน้าแววตาของเขาน่าเกลียดน่ากลัว จนเธอนึกขยะแขยงไม่อยากเข้าใกล้ ยังไม่ทันที่จะเกิดอะไรขึ้น ก็พอดีมีชายอีกคนหนึ่งที่ดูกระฉับกระเฉงกว่าเดินมาถึง ม็อบเบอลี่บรรยายลักษณะเขาว่าเป็นชายร่างสูง ตาดำคม ผมดำหยิกเป็นคลื่นอยู่ใต้หมวกปีกกว้าง เมื่อถามถึงทางไปตำหนักตริอานง เขาก็ชี้ทางให้อย่างใจดี
ภาพข้างล่างนี้คือวิหารแห่งความรัก ภาพซ้าย ปัจจุบัน ภาพขวาถ่ายหลังเหตุการณ์ราวๆ 20 ปี วิหารที่สตรีทั้งสองเดินไปเจอคงมีบรรยากาศแบบทางขวา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 114 เมื่อ 24 ก.ย. 18, 21:18
|
|
หลังจากเดินข้ามสะพานไปตามทางที่ฝ่ายนั้นชี้ ในที่สุดสตรีทั้งสองก็มาถึงตำหนักตริอานง ที่นี่เอง เธอได้เห็นสตรีสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่สนามหญ้าหน้าตำหนัก กำลังวาดรูปอยู่ ม็อบเบอลี่ให้รายละเอียดว่า เป็นหญิงสาวสวมชุดผ้าบางๆแบบเสื้อกระโปรงฤดูร้อน สวมหมวกปีกกว้างสีขาวครอบอยู่บนผมสีทองดกหนา ในตอนแรกเธอคิดว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นนักท่องเที่ยวคนใดคนหนึ่ง แต่ก็แปลกใจว่าหล่อนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าคนละยุคคนละสมัย เหมือนอยู่ในเครื่องแต่งกายละครหรืองานคอสตูมมากกว่า เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปใกล้ สตรีผู้นั้นก็เหลียวมามอง ม็อบเบอลีเห็นว่าหล่อนเป็นคนสวย แต่ดูเป็นสาวใหญ่แล้ว ผมหยิกสีทองดกหนาม้วนอยู่เหนือหน้าผาก ใต้หมวกปีกกว้าง ท่อนบนของเสื้อขลิบด้วยสีเขียวแกมทอง ตามแฟชั่นสมัยศตวรรษที่ 18 เมื่อทั้งสองเดินอ้อมไปทางด้านตรงข้าม ม็อบเบอลี่เหลียวมองอีกครั้งก็สังเกตว่าหล่อนมีผ้าคลุมไหล่สีเขียวอ่อน อย่างไรก็ตาม คนที่เห็นหญิงสาวคนนั้นคือม็อบเบอลีคนเดียว ส่วนจอร์เดนไม่ยักเห็น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 115 เมื่อ 24 ก.ย. 18, 21:26
|
|
ในที่สุด สตรีทั้งสองก็เดินออกมาพ้นตำหนักตริอานง พบนักท่องเที่ยวอื่นๆเดินกันอยู่ตามปกติ เป็นอันจบเส้นทางที่เดินหลงทางไป เมื่อกลับมาถึงที่พัก ต่างคนต่างเก็บซ่อนความรู้สึกพิกลตะหงิดๆกับสิ่งที่พบเห็นไว้ในใจ ไม่ได้เอ่ยปากกับอีกคน จนกระทั่งกลับมาถึงที่พักในอังกฤษในหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ถึงอดรนทนไม่ได้ เอ่ยขึ้นมา ทั้งสองเล่าสู่กันฟังถึงความรู้สึกของตน ก็พบว่ารู้สึกตรงกันว่าเรื่องเดินหลงทางไปนั้น จะว่าไปมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าอีกที มันก็ไม่ธรรมดาอยู่ดี ถ้าเป็นยุคนี้ เป็นเราๆสงสัยอะไรก็คงจะพูดออกไป ไม่เห็นจะต้องหุบปากเอาไว้ แต่ในสังคมสมัย 1901 ความเชื่อแนวอนุรักษ์นิยมยังครอบงำอังกฤษอยู่มาก อะไรที่แปลกประหลาดหาเหตุผลไม่ได้มักจะถูกดูแคลนโดยนักวิชาการ สตรีผู้มีเกียรติว่าเป็นปัญญาชนชั้นนำอย่างเธอทั้งสองจะพูดอะไรโดยไม่มีหลักการเหตุผลรองรับ ก็มีแต่จะเสื่อมเสียชื่อเสียง สำคัญที่สุด เสียถึงอาชีพการงานด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 116 เมื่อ 24 ก.ย. 18, 21:29
|
|
เมื่อม็อบเบอลีและจอร์เดนยอมเปิดปากเล่าสู่กันฟังถึงเหตุการณ์แปลกๆนั้น ต่างคนต่างก็ตกลงกันว่าจะแยกกันเขียนบันทึกจากสิ่งที่พบเห็นลงไปในสมุดบันทึกของแต่ละคน แล้วค่อยเอามาเปรียบเทียบกัน ผลก็คือ เธอทั้งสองพบว่าเหตุการณ์บางอย่าง ต่างคนต่างเห็น ตรงกัน แต่ก็มีบุคคล หรือเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่คนหนึ่งเห็น แต่อีกคนไม่เห็น แต่สรุปแล้ว ทั้งสองยิ่งรู้สึกตรงกันว่ามันเป็นเหตุการณ์ประหลาดจริงๆเกินกว่าจะทำใจได้ว่า คิดไปเอง ไม่มีอะไร ก็เลยเกิดฝังใจกับปริศนาเหตุการณ์นี้จนสลัดไม่หลุด หนึ่งปีต่อมา ทั้งสองหาโอกาสไปฝรั่งเศสและกลับไปเยี่ยมพระราชวังแวซายลส์อีก เดินหาเส้นทางนอกอุทยานตริอานงใหญ่ที่เคยเดินหลงไป ทั้งสองพบว่า หลายจุดที่เธอเคยเดินผ่านกลับหายไปไม่มีร่องรอย เช่นสะพานที่เดินข้าม ศาลาที่ชายหน้าตาน่ากลัวนั่งอยู่ที่วิหารแห่งความรักก็ไม่มี นอกจากนี้บรรยากาศก็ไม่ได้เปลี่ยวๆ แปลกๆ อย่างที่เคยเจอแม้แต่น้อย ทุกหนทุกแห่งคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Naris
|
ความคิดเห็นที่ 117 เมื่อ 25 ก.ย. 18, 10:10
|
|
Time Slip หรือครับ สถานที่เดิม ต่างห้วงเวลา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 118 เมื่อ 25 ก.ย. 18, 16:00
|
|
อยากตอบคำถามคุณ Naris มาก แต่ต้องอดใจไว้ก่อน ไม่งั้นเรื่องจะจบเร็วเกินไปค่ะ
ในเมื่อหาเส้นทางเดิมไม่เจอจนแล้วจนรอด สตรีทั้งสองก็เริ่มค้นคว้าจากหนังสือหนังหาต่างๆเพื่อหาข้อมูลที่พอจะเป็นคำตอบให้เธอได้ อย่างน้อยก็พยายามหาว่าผู้คนต่างๆที่ไปเจอนั้นน่าจะเป็นใคร ในเมื่อทั้งสองเป็นคนมีการศึกษาดี การค้นคว้าหาคำตอบจากหนังสือจึงไม่ใช่เรื่องยาก อย่างน้อย เริ่มจากจุดเริ่มต้นคือเสื้อผ้าของบุคคลเหล่านั้น ที่เป็นแฟชั่นถอยหลังไปในอดีต ทั้งสองพบว่าเป็นเสื้อผ้าสมัยปลายศตวรรษที่ 18 จากนั้นก็เริ่มหารูปบุคคลมีชื่อเสียงต่างๆที่มีชีวิตอยู่ในฝรั่งเศสสมัยนั้น ม็อบเบอลีพบว่า สตรีสาวผู้นั่งวาดรูปอยู่หน้าตำหนักตริอานงน้อย ช่างเหมือนพระราชินีฝรั่งเศส มารี อังตัวแน็ตต์เสียจนน่าตกใจ รูปที่เธอชี้ว่าเหมือนสตรีที่เธอเห็นมาก ก็คือรูปข้างล่างนี้ เป็นรูปที่ถือกันว่าเหมือนมารี อังตัวแน็ตต์มากที่สุดรูปหนึ่ง
นอกจากนี้ ในปี 1908 เมื่อทั้งสองค้นคว้าหาข้อมูลอยู่ ก็ได้พบบันทึกของมาดามอีลอฟ ช่างตัดฉลองพระองค์ของพระนางมารี อังตัวแน็ตต์ อีลอฟบันทึกไว้ว่าในปี 1789 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่พระนางนั่งอยู่บนบัลลังก์ก่อนปฏิวัติฝรั่งเศส พระนางโปรดให้ตัดฉลองพระองค์สองสามชุด ในจำนวนนั้นมีเสื้อแพรสีเขียว พร้อมด้วยระบายคลุมเสื้อท่อนบนที่เรียกว่า "ฟิจู" และกระโปรงสีเหลืองอ่อน ตรงกับเสื้อผ้าสตรีที่ม็อบเบอลีเห็น ตรงเป๊ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 119 เมื่อ 25 ก.ย. 18, 16:14
|
|
ส่วนชายหน้าตาน่ากลัวที่ทั้งสองเห็นนั่งอยู่ในศาลาใกล้วิหารแห่งความรัก หน้าตาเขาไปเหมือนอย่างมาก กับข้าราชสำนักสำคัญคนหนึ่งในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ชื่อ Comte de Vaudreuil หรือเคานต์แห่งวูดเดรยล์ เขาผู้นี้เป็นข้าราชบริพารคนสนิทคนหนึ่งของพระนางมารี อังตัวแน็ตต์ ต่างกันแต่ว่าในภาพวาดต่างๆนั้นท่านเคานต์มีผิวขาวแบบฝรั่ง หน้าตาหล่อทีเดียว แต่ม็อบเบอลียืนยันว่าชายที่เห็นผิวคล้ำจัด และผิวหน้าขรุขระด้วยฝีดาษ เป็นได้ว่า รูปวาดอาจถูกวาดให้หล่อหรือสวยกว่าตัวจริง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|