SILA
|
ความคิดเห็นที่ 645 เมื่อ 22 ต.ค. 13, 10:07
|
|
เมื่ออดีตกาลสมัยจักรวรรดิโรมัน ผู้คนจากฝั่งบนบกจะเข้าสู่วังทางประตูทอง ที่โอ่อ่า ผ่านบริเวณที่พักรอการตรวจตราก่อนเข้าเมืองด้านใน ริมถนนจากประตูทิศเหนือ รายด้วยเสากลม(colonnade) รูปสลักประดับและเหล่าทหาร ค่ายที่พักทหารและ โรงพัสดุอยู่ทางด้านเหนือนี้และถูกแทนที่ด้วยอาคารหลังเล็กๆ ปนเปเหมือนกับทางด้านใต้ ในเวลาต่อมา ประตูทองนี้จะนำพาผู้มาเยือนไปตามถนนทอดในแนวเหนือ-ใต้ที่เรียกว่า Cardo สู่ลาน (peristyle) ขนาบด้วยสุสานทางซ้ายและวิหารบูชาเทพทางขวากับอาคารโถงรอ (vestibule) เบื้องหน้า(ที่ได้เดินชมกันไปแล้ว) ปัจจุบันเรียกถนนสายนี้ว่า Dioklecijanova (Diocletian’s Street)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 646 เมื่อ 22 ต.ค. 13, 10:13
|
|
ในช่วงศตวรรษที่ 16 - 17 เมื่อออตโตมานคุกคามมาถึงแถบนี้ เวนิสได้สร้าง สิ่งกีดขวางรูปดาวรอบวัง ที่ต่อมาได้ถูกรื้อถอนออกทำให้ได้พื้นที่สำหรับสวนในบริเวณ ด้านนอกประตูทิศเหนือนี้ที่ปัจจุบันมี
หอคอยซึ่งเป็นอาคารส่วนที่ยังเหลืออยู่ของอาราม Benedictine Monastery และ รูปปั้นยืนตระหง่านด้านนอกประตูคือ บิชอปแห่งนิน Gregory of Nin (Grgur Ninski) แห่งศตวรรษที่ 10 ผลงานโดยประติมากรเอก Ivan Mestrovic ในปี 1929
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 647 เมื่อ 22 ต.ค. 13, 10:16
|
|
ท่านเป็นผู้มีคุณูปการต่อชาติอย่างมากจากการที่ท่านอาจหาญยืนกรานกับ โป๊ปและทางการคริสตจักรที่จะนำภาษาของชาติมาใช้ในพิธีการทางศาสนาแทน ภาษาละติน ทำให้ชาวโครแอทได้สวดมนต์ด้วยภาษาประจำชาติของตน (ในขณะที่ ประเทศอื่นๆ สวดเป็นภาษาละติน) ส่งผลสำคัญสืบเนื่องต่อมาให้ศาสนา,ภาษาและ วัฒนธรรมของชาติเข้มแข็งคงอยู่มาจนทุกวันนี้ไม่แปรไปในยามที่ชาติอื่นๆ เรียงกัน เข้ามาครอบครอง ในวาระครบรอบ 1,000 ปีแห่งชัยชนะของท่านในครั้งนั้น ทางการจึงได้ จัดสร้างอนุสาวรีย์ของท่านและจัดตั้งไว้ที่ลาน peristyle แต่ถูกย้ายออกมาโดยพวก อิตาลีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นิ้วเท้าของท่านเป็นเงามันเพราะความเชื่อว่าถ้าใคร ได้ลูบแล้วจะมีโชคดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 648 เมื่อ 22 ต.ค. 13, 10:19
|
|
ยกเว้นประตูทะเลแล้ว ประตูบกของกำแพงแต่ละด้านจะมีหอคอยขนาบคุ้มกัน ปัจจุบันหอคอยเหล่านี้หายไปไม่เหลือ ด้วยอาจถูกรื้อออกแล้วแปรสภาพไปเป็นวัสดุ สำหรับอาคารต่างๆ ที่ก่อสร้างขึ้นหลังจากไดอะคลีชั่นสวรรคต
ประตูเงิน (The Silver Gate) ด้านตะวันออก ใกล้กับอาสนวิหาร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 649 เมื่อ 22 ต.ค. 13, 10:24
|
|
ออกแบบคล้าย(แต่ตกแต่งประดับน้อยกว่า)ประตูเหนือ มีโค้งประดับคาน คล้ายกัน อีกทั้งยังมีช่องเว้าสำหรับวางรูปปั้นและชั้นบนสุดเป็นโค้งเรียงติดต่อกัน(อาร์เคด) บนประตูยังเป็นที่ตั้งของโบสถ์ขนาดเล็กในศตวรรษที่ 6 อุทิศแด่นักบุญผู้พิทักษ์ Saint Apollinaire ผู้เป็นที่เคารพบูชาโดยทั่วไปในแถบเมดิเตอเรเนียน เชื่อกันว่าท่าน มีอำนาจปกปักป้องกันเมืองจากการรุกรานทางด้านตะวันออก สองข้างของประตูเป็นห้องนายทวารที่ผนังถูกเจาะเป็นหน้าต่าง นอกจากนี้ยังมี Propugnaculum พื้นที่กับดักคนไว้ในเขตระหว่างประตูด้านนอกและในเช่นเดียวกับประตูทอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 650 เมื่อ 22 ต.ค. 13, 10:31
|
|
ในยุคจักรวรรดิโรมันประตูนี้เคยใช้เป็นที่ตั้งต้นสำหรับถนนรายด้วยเสา (colonnade) ทอดยาวจากทิศตะวันออกสู่ตะวันตก (decumanus) ที่ใช้เป็น ทางเดินโรมันที่ทหารและรถม้าแล่นผ่าน และแบ่งวังเป็นสองส่วน กล่าวคือ ส่วนวังจักรพรรดิทางใต้และส่วนถวายงานบริการรับใช้ทางเหนือ ช่วงยุคกลางประตูเงินได้ถูกก่อกำแพงปิดเพื่อความปลอดภัยจากการรุกราน โดยพวกเตอร์ค จนเมื่อพ้นภัยคุกคามแล้วจึงได้มีการเจาะประตูเล็กที่ด้านข้าง และ ได้ถูกเปิดออกใหม่ในปี1932 - 1934
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 651 เมื่อ 22 ต.ค. 13, 10:34
|
|
ประตูได้รับความเสียหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองแล้วได้รับการบูรณะ ในปี 1952 ส่วนที่เป็นหอรูปแปดเหลี่ยมเคียงประตูยังคงพอหลงเหลืออยู่ให้มโนถึง ความโอ่อ่าอลังการ ในขณะที่หอรูปสี่เหลี่ยมตรงมุมเหนือ/ตะวันออกได้ถูกใช้เป็นที่ อยู่อาศัยในศตวรรษที่ 18 ส่วนหอมุมใต้/ตะวันออกที่ยังคงสภาพสมบูรณ์มีสี่ชั้นมากกว่า หอทางเหนือหนึ่งชั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 652 เมื่อ 22 ต.ค. 13, 10:38
|
|
ภายในกำแพงด้านทิศตะวันออกหลังจากไดอะคลีชั่นสวรรคต ที่นี่เป็นที่อาศัย ของชาวโรมันชั้นสูงและต่อมาได้แปรเป็นโรงงานเสื้อผ้าผลิตเครื่องแบบสำหรับกองทัพ โรมัน ปัจจุบันเมื่อมองย้อนไปทางประตูเงิน บริเวณแถบนี้เป็นย่านที่พักอาศัย, ร้านรวง และมีโรงแรมตั้งอยู่ทางขวามือ
บันทึกเหุตการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นผ่านประตูนี้คือเมื่อครั้งที่ Pope John Paul II เสด็จเยือนสปลิทในปี 2000 รถนำเสด็จของท่านได้แล่นผ่านประตูนี้ไปตามถนน decumanus เฉกเช่นที่องค์จักรพรรดิเคยทรงราชรถแล่นบนถนนนี้เมื่อ 1700 ปีก่อน
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 653 เมื่อ 24 ต.ค. 13, 10:01
|
|
ประตูเหล็ก (The Iron Gate) ทางด้านตะวันตก
เป็นประตูที่มีความสำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 16 เมื่อบริเวณนี้เป็นที่ตั้ง ของชุมชนยุคกลางและยุคเวนิสซึ่งขยับขยายออกมานอกวัง ประตูนี้จึงกลายเป็น ประตูหลักสำหรับการเข้าออกวัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 654 เมื่อ 24 ต.ค. 13, 10:06
|
|
ทั้งประตูตะวันตกและประตูตะวันออกมีรูปร่างสี่เหลี่ยมเติมโค้งตอนบนแล้ว ยังเพิ่มชั้นดาดฟ้า (gallery) ประตูมีสองชั้นเป็นกับดัก (Propugnaculum) เช่นเดียวกับประตูเงินและทอง เหนือประตูชั้นนอกมียามเฝ้าระวังอยู่ข้างบน ในสมัยยุคกลางประตูนี้จัดว่าเป็น "ประตูเปิด" ที่ผู้ต้อง(การ)หา(ความยุติธรรม) หรือผู้อพยพหาที่หลบพักจะใช้ประตูนี้เพื่อเข้าเมือง แต่จะต้องผ่านห้องพิจารณาที่ตั้ง อยู่ระหว่างประตูชั้นนอกและชั้นใน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 655 เมื่อ 24 ต.ค. 13, 10:09
|
|
ส่วนบนของประตูด้านในเป็นที่ตั้งของโบสถ์สไตล์โรมาเนสค์เรียบง่ายที่เก่าแก่ แต่ศตวรรษที่ 5 - 6 อุทิศแด่ Saint Theodor ท่านเป็นหนึ่งในมรณสักขีที่ถูกสังหาร ในยุคสมัยจักรพรรดิไดอะคลีชั่น หอโบสถ์นี้มีสองชั้นแต่มีหน้าต่างสามระดับ ต่อมาเมื่อประมาณพันปีก่อนได้มี การขยายโบสถ์โดยสร้างหอสไตล์โรมาเนสค์ Gospa Zvonik (our Lady of the Bell Tower) เติมยอดหอระฆังและติดตั้งนาฬิกาขนาดใหญ่ที่ได้เห็นไปแล้วเมื่อตอน ไปเดินที่จตุรัสประชาชน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 656 เมื่อ 24 ต.ค. 13, 10:11
|
|
ประตูทิศตะวันตกนี้กับประตูชายฝั่งทะเลไม่ได้ถูกปิดลงในยุคกลาง หอมุม รูปทรงสี่เหลี่ยมทางด้านเหนือ/ตะวันตกยังคงอยู่ ส่วนหอทางใต้/ตะวันตกได้ถูกรื้อลง เนื่องจากถูกน้ำทะเลซัดเซาะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 657 เมื่อ 24 ต.ค. 13, 10:15
|
|
ออกจากวังแล้วเดินไปตามริว่าเลียบชายทะเลมุ่งทิศตะวันตกสู่
Trg Republike (Republic Square) ลานกว้างโอบสามด้านด้วย อาคารที่เรียกว่า Prokurative (หมายถึง portico - ระเบียงทางเข้าอาคาร มักประกอบด้วยหลังคาและเสาค้ำ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 658 เมื่อ 24 ต.ค. 13, 10:18
|
|
สถาปนิกจากเวนิสออกแบบให้แลละม้ายคล้ายจตุรัสเซนต์ มาร์คที่เวนิส บนพื้นที่ เดิมเป็นบริเวณสิ่งกีดขวางรูปดาวสมัยเวนิสซึ่งได้ถูกรื้อออกไปแล้วปรับปลูกเป็นสวน ตามแนว คิดริเริ่มโดยนายกเทศมนตรี Antonio Bajamonti (นายแพทย์พ่อเมืองสปลิท 20 ปี) ภายใต้การกำกับดูแลของนายพลมาร์กมงต์ (Marmont) แห่งกองทัพนโปเลียน ลานกว้างโอบสามด้านด้วยอาคารรูปแบบ neo Renaissance สีแดงสด อาคารปีกด้านตะวันออกสร้างแล้วเสร็จในปี 1928 เป็นที่ตั้งสำนักงาน ส่วนปีกตะวันตก ซึ่งสร้างเสร็จก่อนเป็นโรงแรม โรงละครขนาดใหญ่ได้ถูกสร้างขึ้นแต่ถูกไฟไหม้ในเวลา ต่อมา ด้านชายฝั่งเปิดโล่งรับลมชมทะเล
อาคารด้านซ้ายมือเหนือโถงอาร์เคดเป็นหน้าต่างประดับรูปสลักสิงห์เวนิสที่ด้านบน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 659 เมื่อ 24 ต.ค. 13, 10:21
|
|
ในขณะที่อาคารด้านขวาไม่ปรากฏรูปสลักใดๆ เล่ากันว่าสาเหตุมาจาก ความคิดถึงบ้านขนาดหนักของสถาปนิกจนถึงกับทิ้งงานกลับเวนิส
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|