SILA
|
ความคิดเห็นที่ 510 เมื่อ 23 ก.ย. 13, 10:36
|
|
ทิวเขาข้างทางที่บางส่วนถูกถาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 511 เมื่อ 23 ก.ย. 13, 11:06
|
|
ก่อนถึงสปลิทประมาณ 7 กม. มีเมืองสำคัญน่าสนใจแต่ไม่ได้แวะคือ Solin เมืองหลวงโบราณสองพันกว่าปีก่อนของจักรวรรดิโรมันที่มาครอบครองแถบแดลเมเชีย (ในชื่อละตินว่า Salona) ตั้งแต่สมัยจูเลียส ซีซาร์ ประมาณว่ามีประชากรอาศัยอยู่ถึง 60,000 คน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 512 เมื่อ 23 ก.ย. 13, 11:09
|
|
จนกระทั่งปี AD 614 จึงถูกรุกรานโดยพวก Slavs และ Avars ต่อมาในสมัย ยุคกลางตอนต้นที่นี่ก็ยังคงเป็นเมืองสำคัญของราชอาณาจักรโครเอเชีย และได้ถูกทำลาย โดยพวกเตอร์คในศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันมีฐานะเป็นเขตเมืองขยาย (conurbation) ของสปลิท
แวะชมเมืองผ่านทางเน็ท
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 513 เมื่อ 23 ก.ย. 13, 11:14
|
|
ซากโบราณสถานยังคงหลงเหลืออยู่เป็นหลักฐานถึงความรุ่งเรืองในอดีตจากสมัยโรมัน ประกอบด้วยกำแพงพร้อมประตูและหอคอย, ฟอรัม, วิหาร, อัฒจันทร์, อาคารผู้บริหาร ที่สร้างคล้ายวัง และถึงกาลต่อมาปรากฏโบสถ์คริสเตียนและสนามในโบสถ์ซึ่งใช้เป็นที่ฝังมรณสักขี ที่ถูกประหารในสมัยจักรพรรดิไดอะคลีชั่น บางคนเรียกเมืองนี้ว่านครปอมเปอีแห่งโครเอเชีย (Croatian Pompeii) เนื่องจากซากเมืองได้ถูกฝังอยู่ใต้ดินเป็นเวลานานหลายศตวรรษ จนกระทั่งได้เริ่มมีการขุดค้น ในปี 1927 ถึงปัจจุบันการขุดค้นดำเนินไปได้เพียง 20 %
Christian Basilica
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 514 เมื่อ 23 ก.ย. 13, 11:16
|
|
Amphitheatre จากศตวรรษที่ 2 ถูกทำลายลงในศตวรรษที่ 17 โดยเวนิส เพื่อไม่ให้พวกเตอร์กใช้เป็นที่ตั้งมั่นในการรุกราน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 515 เมื่อ 23 ก.ย. 13, 11:24
|
|
โค้งประตูขอบอัฒจันทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 516 เมื่อ 23 ก.ย. 13, 11:32
|
|
Kid in the sun among the ruins
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 517 เมื่อ 24 ก.ย. 13, 10:00
|
|
ใกล้จุดหมายเห็นโรงงานรายทาง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 518 เมื่อ 24 ก.ย. 13, 10:07
|
|
ไกลออกไปเป็นป่าคอนกรีต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 519 เมื่อ 24 ก.ย. 13, 10:15
|
|
Split เมืองใหญ่ที่สุดของแคว้นแดลเมเชียและเป็นอันดับสองของโครเอเชีย มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณสองแสนคน ชื่อเมืองที่ฟังไม่เข้าหูคู่รักนี้ มีที่มาจากชื่อพืชท้องถิ่นแถบนี้ที่เรียกว่า Calicotome spinosa (thorny broom or spiny broom)
อายุของเมืองหากนับเนื่องจากเมื่อสร้างวังจักรพรรดิโรมัน Diocletian's Palace ในปี 305 ก็ได้ 1,700 กว่าปี แต่หากนับย้อนกลับไปถึงเมื่อครั้งเป็นอาณานิคมของกรีกเมื่อ 6 ศตวรรษก่อนค.ศ. ก็รวมเวลากว่า 2,000 ปี เริ่มที่อาณานิคมกรีก (Greek colony of) Aspalathos ในแถบนี้ที่มีชาว Illyrian อาศัยอยู่ (Illyrians - ชาวเผ่า Indo-European tribes อาศัยในแถบตะวันตก ของคาบสมุทร Balkan และชายฝั่งตะวันออกตอนใต้ของอิตาลี)
แผนที่อาณานิคมกรีก 8 - 6 ศตวรรษ BC
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 520 เมื่อ 24 ก.ย. 13, 10:18
|
|
ต่อมาเมื่อถึงยุคโรมันเรืองอำนาจเกรียงไกรรบชนะสงคราม Illyrian Wars ระหว่าง 229 และ 219 BC อาณาจักรโรมันก็เข้าครอบครองท้องถิ่นแถบนี้ตั้งเป็นแคว้น แดลเมเชียโดยมี Salona เป็นเมืองหลวง ชื่ออาณานิคมกรีกก็ถูกเปลี่ยนเป็น Spalatum
Dancers from Narona (late 2nd century BC) Split Archaeological Museum
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 521 เมื่อ 24 ก.ย. 13, 10:21
|
|
ในปี AD 305 จักรพรรดิไดอะคลีชั่นแห่งจักรวรรดิโรมันซึ่งได้ตัดสินใจที่จะวางมือ จากการครองเมืองทรงมีดำริที่จะใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิดได้บัญชาให้สร้างวังขึ้นในที่ใกล้ บ้านเกิด Dioclea โดยเลือกอ่าวใกล้กับเมือง Salona เป็นที่ตั้งวังสุดท้ายบั้นปลายชีวิต พระองค์เสด็จมาใช้ชีวิตอยู่ในวังนี้จนถึงวันสุดท้ายดังที่ได้ตั้งใจไว้ (หมายเลข 2 ในภาพ)
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 522 เมื่อ 24 ก.ย. 13, 10:25
|
|
เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายในปี AD 476 Spalatum ก็ตกเป็นส่วนหนึ่ง ของโรมันตะวันออก ถึงปี AD 639 เมื่อ Salona ถูกรุกรานทำลายโดยพวก Avars และ Slavs ผู้คนหลบหนีออกจากเมือง จนถึงเวลาวันคืนเหย้าพวกเขาจึงเลือกที่จะอาศัยอยู่ในวังจักรพรรดิที่มี กำแพงแข็งแรงแน่นหนา พื้นที่ภายในวังถูกปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่เวียงอาศัยสืบต่อมาจนปัจจุบัน เป็นเขตใจกลางเมือง(inner core) ที่มีผู้คนพักอาศัย เปิดร้านค้าขาย มีตลาด,ลานจตุรัสและ วิหาร (Cathedral of St. Duje ตรงตำแหน่งที่เคยเป็นสุสานไดอะคลีชั่น)
รูปวังในจินตนาการโดย Fischer Von Erlach
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 523 เมื่อ 24 ก.ย. 13, 10:30
|
|
ประวัติช่วงต่อมาก็จะคล้ายๆ กับโทรเจียร์ เมื่อถึงยุคกลาง อำนาจของจักรวรรดิโรมัน ตะวันออกหรือไบซันทีนอ่อนแรงลงอำนาจอื่นในละแวกนี้ก็เริ่มแข็งแรงขึ้น ได้แก่ เวนิส โครเอเชีย และฮังการี เริ่มจากการมาถึงของชาวโครแอทในศตวรรษที่ 7 และเมื่อโครเอเชีย,ฮังการีอ่อนแอ เวนิสก็แผ่อิทธิพลมาถึงในศตวรรษที่ 10 สปลิทได้สิทธิ์ปกครองตนเองในเวลาที่โครเอเชียอ่อนกำลัง สปลิทตกมาอยู่ใต้การปกครองของเวนิสเป็นเวลา 377 ปี(1420–1797) และกลาย เป็นเมืองท่าสำคัญ ประชากรในเวลานั้นส่วนมากเป็นโครแอทมากกว่าโรมัน
The seaward walls of the city of Split by Robert Adam, 1764. (สถาปนิก,นักออกแบบชาวสก็อต)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 524 เมื่อ 24 ก.ย. 13, 10:46
|
|
ช่วงเวลาสั้นๆ (1806–1813) ที่นโปเลียนแผ่อำนาจถึงอิตาลี สปลิทได้รับประโยชน์ จากการลงทุนที่ไหลเข้ามา
ถึงคราวตกอยู่ใต้การครอบครองของจักรวรรดิออสเตรีย สปลิทก็เป็นส่วนหนึ่งของ อาณาจักรแดลเมเชีย ปี 1848 เมื่อเกิดกระแสยุโรปสปริงในหลายประเทศ ในโครเอเชียก็มี การปลุกกระแสชาตินิยมแต่ที่สปลิทไม่ได้เกิดการปฏิวัติผลัดใบ
postcard รูปทางเดินเลียบชายฝั่ง (riva) แลเห็นน้ำพุ Franz Joseph (จักรพรรดิแห่ง ออสเตรีย) บ่งบอกว่าการ์ดรูปนี้ออกวางจำหน่ายก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และ ในการ์ดเขียนชื่อเมืองเป็นภาษาอิตาเลียน - Spalato
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|