SILA
|
ความคิดเห็นที่ 135 เมื่อ 12 ก.ค. 13, 10:10
|
|
ครั้นถึงปี 1683 โครเอเชียและดินแดนอื่นในยุโรปจึงปลอดจากการคุกคาม ของอ็อตโตมาน ในรัชสมัยของพระนาง Maria Theresa ภูมิภาคแถบนี้ก็กลับมีเสถียรภาพ จักรวรรดิอ็อตโตมานถูกขับออกจากฮังการีและออสเตรียเป็นศูนย์กลางอำนาจปกครองในแถบนี้ ในศตวรรษที่ 18
ช่วงปี 1797 - 1809 First French Empire แห่ง Napoleon I ได้รุกเข้ามาถึงแถบชายฝั่งทะเล Adriatic แต่ในปี 1815 หลังจากการล่มลงของจักรวรรดิ นโปเลียน ออสเตรียก็สยายปีกมาอ้างสิทธิ์ถึงภูมิภาค Dalmatia และภูมิภาคอื่นของโครเอเชีย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 136 เมื่อ 12 ก.ค. 13, 10:26
|
|
ช่วงทศวรรษ 1830 -40s ได้มีการเคลื่อนไหวปลุกแนวทางชาตินิยมในโครเอเชีย โดยการรณรงค์เรียกร้องการใช้ภาษาประจำชาติ แทนภาษาอิตาเลียน,เยอรมันและฮังการีที่ ชาวโครเอเชียต่างถิ่นที่อยู่ต่างใช้กัน ต่อมาก็ขยับขึ้นเป็นการเรียกร้องขอมีอำนาจในการปกครอง ตนเองมากขึ้น
ก่อนหน้านั้นท่านบิชอปแห่งซาเกร็บได้ยื่นคำร้องขอให้มีการเก็บรวบรวมสมบัติของชาติในปี 1813
Meeting of the Croatian Parliament National revival in Croatia started in 1813 when the bishop of Zagreb Maksimilijan Vrhovac issued a plea for the collection of "national treasures".
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 137 เมื่อ 12 ก.ค. 13, 10:32
|
|
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อจักรวรรดิ์ออสโตร ฮังการีล่มสลาย โครเอเชียเป็นหนึ่งในสามรัฐ (อีกสองคือสโลเวเนียและเซิร์บ)รวมกันเป็นอาณาจักรในปี 1918 ที่ต่อมาเปลี่ยนเป็นยูโกสลาเวียในปี 1929 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1941 กองกำลังนาซีได้บุกเข้ายึดครองดินแดนยูโกสลาเวีย และตั้งรัฐอิสระ Independent State of Croatia (NDH) ที่มีรัฐบาลหุ่นกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชาวเซิร์บ ยิว และยิปซีเป็นจำนวนมากมาย ในขณะที่กองทัพอิตาลีได้บุกเข้ายึดดินแดน Istria และ พื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเล
เอกอัครราชทูตและรัฐมนตรีแห่งจักรวรรดิที่สามท่ามกลางตัวแทนภาคทหารและประชาชนแห่ง รัฐอิสระโครเอเชีย ที่กรุง Zagreb, 21 April 1941
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 138 เมื่อ 12 ก.ค. 13, 10:37
|
|
หลังสงครามโลกครั้งที่สองโครเอเชียเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งยูโกสลาเวีย(ภาคสอง) โดยรวม 6 สาธารณรัฐและมณฑลอิสระปกครองตนเอง 2 มณฑล เป็น สหพันธ์สาธารณรัฐ สังคมนิยมยูโกสลาเวียในปี 1945 เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสท์ภายใต้ การนำของประธานาธิบดีคนแรก จอมพลตีโต (Josip Broz Tito 7 May 1892 – 4 May 1980) ผู้นำการต่อสู้จน ได้ชัยชนะและสามารถขับไล่เยอรมัน,อิตาลีออกจากดินแดน แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ครองอำนาจเบ็ดเสร็จแต่ก็ได้รับสมญาว่าเผด็จการการุณย์ ตีโตสามารถรวมประเทศที่ประกอบด้วยรัฐซึ่งมีความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติศาสนาไว้ได้ตลอดช่วง เวลาที่มีชีวิตอยู่โดยการสนับสนุนหลักการแห่ง brotherhood and unity เขาได้พาประเทศออกจากอำนาจของสหภาพโซเวียตภายใต้การปกครองของสตาลิน และ พัฒนาประเทศเป็นประเทศคอมมิวนิสต์อิสระ (ตามแนวคิด Titoism ที่มีหลักการมุ่งสู่จุดหมายสูงสุด ตามแนวทางคอมมิวนิสท์ด้วยวิถีที่กำหนดโดยเงื่อนไขภายในของแต่ละประเทศนั้น ไม่ใช่ตามแบบแผน ที่กำหนดมาจากภายนอก) นอกจากนี้เขายังมีบทบาทเป็นผู้นำผู้ก่อตั้งกลุ่มประเทศผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด Non-Aligned Movement
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 139 เมื่อ 12 ก.ค. 13, 10:52
|
|
หลังการเสียชีวิตของเขาและหลังจากที่ลัทธิคอมมิวนิสท์ในยุโรปตะวันออกได้ล่มสลาย ลงในปี 1989 ความขัดแย้งตึงเครียดภายในยูโกสลาเวียก็ปะทุจนแตกแยก โครเอเชียและสโลวีเนีย ได้ประกาศเอกราชจากสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียในปี 1991 ที่นำไปสู่สงครามระหว่าง ชาวโครแอทและเซิร์บซึ่งต่อต้านการแยกประเทศ โดยมีรัฐบาลกลางยูโกสลาเวียหนุนหลังส่งกองทัพ เข้าบุกโครเอเชีย ในขณะที่โครเอเชียก็ใช้กำลังผลักดันชาวเซิร์บออกนอกประเทศ สงครามยืดเยื้อ เป็นเวลานานถึง 4 ปีจึงยุติลงในปี 1995
ช่วงสงครามเมืองสำคัญของโครเอเชียเช่น Zadar และ Dubrovnik ถูกระเบิดทำลาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 140 เมื่อ 12 ก.ค. 13, 14:54
|
|
สงครามแบ่งแยก Yugoslavia
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 141 เมื่อ 12 ก.ค. 13, 15:05
|
|
Yugoslavia >>> Slovenia, Croatia, Bosnia and Herzegovina, Montenegro, Macedonia, Serbia และ 2 จังหวัดปกครองพิเศษ(ตนเอง) Vojvodina กับ Kosovo
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 142 เมื่อ 16 ก.ค. 13, 09:12
|
|
เช้าวันที่สามของการเดินทางกับประเทศที่สาม(ออสเตรีย > สโลเวเนีย >) โครเอเชีย เริ่มต้นที่เมืองหลวง Zagreb ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของโครเอเชียด้วยเช่นเดียวกับ ลุบลิยานาของสโลเวเนีย
ชื่อของเมืองนั้นบ้างเชื่อว่ามาจากคำว่า zagrabiti ซึ่งแปลว่า to scoop ตามตำนานเล่าว่า ban (lord,master,ruler) ได้เดินทางนำเหล่าทหารที่กระหายน้ำผ่าน ทะเลทรายมาถึงที่นี่ ท่านได้ใช้ดาบปลายแหลมปักลงบนพื้นแล้วปรากฏว่ามีน้ำผุดขึ้นมา ท่านจึงมีบัญชาให้เหล่าทหารทำการขุดบ่อน้ำ ณ ที่ตรงนั้น บางตำนานก็เล่าแตกต่างไปบ้างว่า ท่านสั่งให้หญิงสาวตักน้ำมาดื่มแก้กระหายว่า Zagrabi, Mando! (แปลว่า Scoop it up, Manda!-ชื่อของหญิงสาว) นอกจากนี้แล้วยังมีตำนานว่ามาจากคำว่า 'za breg' หรือ 'beyond the river bank' หมายถึงฝั่งแม่น้ำซาวาที่ไหลผ่านกลางเมือง หรือ จากคำว่า "za grabom" ("behind the moat") เนื่องจากเป็นเมืองที่มีป้อมปราการ แน่นหนา
รถนำมายังจุดตั้งต้นที่บริเวณย่านเก่าแก่ที่สุดของเมือง - Kaptol เป็นเนินเขา ที่ตั้งรกรากตั้งแต่ยุคกลางในช่วงปลายศตวรรษที่ 11
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 143 เมื่อ 16 ก.ค. 13, 09:22
|
|
และเป็นที่ตั้งของวิหารแห่งซาเกร็บ
Zagreb Cathedral - Cahthedral of St. Stephen
วิหารโรมันแคธอลิค สร้างในแบบกอธิคก่อยอดสูงเสียดฟ้า(108 เมตร) เหนือกว่าสิ่งก่อสร้าง อื่นใดในกรุงทำให้สามารถมองเห็นยอดสูงนี้ได้จากหลายจุดในเมือง อุทิศแด่ Assumption of Mary และกษัตริย์ทั้งสองคือ Saint Stephen กับ Saint Ladislaus วิหารนี้สร้างขึ้นในปี 1093, ในศตวรรษที่ 12 และ 13 ต่อมาถูกทำลายโดยพวก Tartars (กลุ่มชนแถบยุโรปตะวันออกและเอเชียตอนเหนือ) ในปี 1242 แล้วได้รับการปฏิสังขรณ์เป็นแบบกอธิค เมื่อปี 1263 หอคอยแบบ Renaissance ถูกสร้างในศตวรรษที่ 17 วิหารได้รับความเสียหายอย่างหนักเมื่อครั้งเกิดแผ่นดินไหวในปี 1880 แล้วจึงได้รับการปฏิสังขรณ์ ขึ้นมาใหม่ในสไตล์ Neo-Gothic ดั่งที่เห็นในปัจจุบัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 144 เมื่อ 16 ก.ค. 13, 09:29
|
|
เบื้องหน้าวิหารเป็นอนุสาวรีย์ Virgin Mary สร้างขึ้นเพื่อน้อมสำนึก ถึงพระกรุณาของพระแม่ที่ปกปักรักษาชาวเมืองเมื่อกาลครั้งที่กาฬโรคระบาดในศตวรรษที่ 18 อาคารด้านซ้ายมือในภาพคือวังของท่านบิชอป Bishop's palace
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 145 เมื่อ 16 ก.ค. 13, 09:33
|
|
ป้อมกำแพงข้างวิหารที่ยังเหลืออยู่จากการสร้างเพื่อป้องกันการบุกรุกรานของอ็อตโตมาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 146 เมื่อ 16 ก.ค. 13, 09:34
|
|
เบื้องหน้าวิหารเยื้องไปเป็นอาคารสีเหลืองจางที่มีหอคอยยอดแหลมเห็นเด่นไกลคือ St Francis of Assisi Church and Franciscan Monastery
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 147 เมื่อ 16 ก.ค. 13, 09:51
|
|
จากวิหารเดินไป Ban Jelacic Square จตุรัสเก่าแก่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เป็นที่ตั้งของอาคารหลากสไต์ทั้ง classicism, secession และ modernism ตั้งชื่อตาม ban Josip Jelacic ผู้ที่ทางการได้ประดิษฐานอนุสาวรีย์ของท่านตระหง่าน ณ ที่นี้ โดยขึ้นเป็นรูปท่านขี่ม้ามือขวาชี้ดาบไปเบื้องหน้า เดิมตัวอนุสาวรีย์หันไปทางทิศเหนือซึ่งเป็นประเทศฮังการี เพื่อรำลึกถึงสงคราม Hungarian Revolution of 1848
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 148 เมื่อ 16 ก.ค. 13, 09:54
|
|
ระหว่างช่วงการปกครองระบอบคอมมิวนิสท์(สมัยตีโต) เมื่อโครเอเชียกลายเป็นรัฐหนึ่ง ของยูโกสลาเวีย อนุสาวรีย์นี้ได้ถูกย้ายออกไปเก็บไว้เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นสัญญลักษณ์กระตุ้น ความรักชาติของชนชาวโครเอเชียที่อาจนำไปสู่ความแตกแยก อนุสาวรีย์นี้ก็ได้กลับมาสถิตใหม่ ในปี 1990 แต่ถูกกลับหันไปทางทิศใต้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 149 เมื่อ 16 ก.ค. 13, 09:58
|
|
ทางทิศตะวันออก(ซ้ายมือของรูปปั้น) คือน้ำพุ Mandusevac fountain ซึ่งเชื่อกันว่าคือน้ำพุในตำนานที่ว่า Zagrabi, Mando จตุรัสแห่งนี้เป็นจุดนัดพบยอดนิยมของชาวเมืองในย่านถนนปลอดรถยนต์แต่มีรถรางแล่นผ่าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|