SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1110 เมื่อ 24 มี.ค. 14, 10:33
|
|
พิพิธภัณฑ์ส่วนนี้ที่เก็บรวบรวมอุปกรณ์, เครื่องใช้, ของตกแต่งต่างๆ แสดงให้เห็นภาพ การใช้ชีวิต, ความเป็นอยู่ของท่านเจ้าเมืองในช่วงเวลาหนึ่งเดือนของการดำรงตำแหน่งที่ต้อง พำนักอาศัยอยู่ภายในวังนี้โดยลำพัง และอย่างจำกัดบริเวณ จะออกไปนอกวังได้ก็ต่อเมื่อมี เรื่องธุรกิจของรัฐ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1111 เมื่อ 25 มี.ค. 14, 09:38
|
|
ออกจากวังเจ้าเมืองแล้วเดินไปยังอีกหนึ่งลานสำคัญสุดสายปลายถนน Placa (Stradun) แต่ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับถนนสำคัญสายนี้ที่ได้เกริ่นไปบ้างแล้ว
ถนน Placa (Stradun)
คือ ถนนสายกว้างที่สุดที่แบ่งเมืองออกเป็นส่วนเหนือ - ใต้ ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นเส้นทาง เชื่อมระหว่างตะวันออก - ตกที่สั้นที่สุดด้วยความยาวถนนประมาณ 300 ม.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1112 เมื่อ 25 มี.ค. 14, 09:39
|
|
ถนนกว้างพร้อมลานสำหรับคนเมืองมาชุมนุมและจัดงานเทศกาล ถนนธุรกิจสายหลักย่านใจกลางเมืองเก่า และ แนวแกนหลักท่อระบายน้ำของเมือง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1113 เมื่อ 25 มี.ค. 14, 09:43
|
|
สุดทางด้านตะวันออกของถนนคือประตูสู่ท่าเรือเก่า ส่วนสุดทางตะวันตกคือประตู(เมือง) Pile
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1114 เมื่อ 25 มี.ค. 14, 09:45
|
|
ถนน Stradun กำเนิดจากพื้นที่ของช่องแคบระหว่างเกาะกับผืนดินใหญ่ที่ได้ถูกถม ลงในตอนปลายศตวรรษที่ 11 แล้วมีการสร้างกำแพงล้อมรอบรวมสองชุมชนบนบกและเกาะ ให้กลายเป็นเมืองเดียวกัน พื้นที่เกิดใหม่นี้จึงประกอบด้วยฟากหนึ่งที่เคยเป็นขอบทวีปและอีกฟากคือเกาะ มีเนื้อที่ กว้าง(เพราะมาจากการถมทะเล) แต่ก็อยู่ในระดับต่ำกว่าสองฟากฝั่งเมืองที่อยู่สูงกว่าเหมือนกับ ปีกสองข้างที่กางขึ้นของผีเสื้อ
ปลายถนนด้านตะวันออกที่ลาน Luza หน้าวัง Sponza
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1115 เมื่อ 25 มี.ค. 14, 09:47
|
|
นับแต่กำเนิดพื้นที่นี้ก็ได้ทำหน้าที่เป็นช่องทางระหว่างสองฟากของเมืองมาตั้งแต่ ตอนปลายศตวรรษที่ 12 จนกระทั่งปี 1468 จึงได้มีการปูพื้นด้วยหินจากเกาะ Brac เป็น การให้กำเนิดครั้งที่สองของถนนสายสำคัญแห่งเมือง ชื่อที่เรียกว่า Placa มาจากคำว่า Platea ในภาษากรีกและละตินซึ่งแปลว่า street ส่วนชื่อ Stradun นั้นเป็นชื่อเล่นของเวนิสเรียกแบบประชดในความหมายว่า ถนนใหญ่
ปลายถนนด้านตะวันตกเมื่อมองลงมาจากกำแพง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1116 เมื่อ 25 มี.ค. 14, 09:50
|
|
ทัศนียภาพถนนในปัจจุบันนี้เป็นผลจากการบูรณะหลังเกิดธรณีพิบัติปี 1667 จากถนน สายเดิมที่มีวังรูปแบบหลากหลาย กลายเป็นอาคารหินสีขาวแห่งแดลเมเชียสองแถว สร้างใน รูปแบบตามที่ทางการกำหนดออกมาเหมือนกัน ด้านหน้าอาคารเป็นสไตล์บารอค ที่มีความสูงเท่ากัน ชั้นพื้นเป็นช่องประตูและหน้าต่าง ใต้โค้ง ชั้นบนขึ้นไปเป็นหน้าต่างสี่เหลี่ยม ส่วนด้านในก็ออกแบบให้คล้ายกัน เท่านั้นไม่พอวุฒิสภา ยังได้ตรากฎให้พื้นที่ของอาคารชั้นพื้นเป็นร้านค้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1117 เมื่อ 25 มี.ค. 14, 10:07
|
|
รูปแบบอาคาร"ตึกแถว" เรียงเป็นแนวด้านต่อจากวัง Sponza
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1118 เมื่อ 25 มี.ค. 14, 10:09
|
|
ภาพจากนิวส์วีคแสดงสภาพอาคารริมถนนที่ถูกระเบิดทำลายเมื่อครั้งสงครามปี 1991
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1119 เมื่อ 25 มี.ค. 14, 10:10
|
|
การฟื้นฟูบูรณะหลังสงคราม
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1120 เมื่อ 25 มี.ค. 14, 10:13
|
|
สุดทางทิศตะวันออกตัวถนนขยายกว้างออกเข้าสู่จตุรัส Luza(ที่ได้เดินชมไปแล้ว) ส่วนสุดถนนด้านตะวันตกที่ประตู Pile ตัวถนนก็ขยายกว้างออกเข้าสู่จตุรัสอีกฟากหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า Paskoja Milicevica ที่นี่เป็นที่ตั้งของอารามและโบสถ์ ตรงส่วนติดกำแพงคือ โบสถ์เรเนซอง Church of the Saviour และลานที่ตั้งน้ำพุใหญ่
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1121 เมื่อ 27 มี.ค. 14, 09:15
|
|
The Great or Big Onofrio's Fountain
สิ่งก่อสร้างรูปทรงสิบหกเหลี่ยมกลางจตุรัส Paskoja Milicevica ตั้งอยู่ด้านในเมืองเก่า ของประตูเมืองทิศตะวันตก(Pile gate) นี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1122 เมื่อ 27 มี.ค. 14, 09:17
|
|
คือน้ำพุขนาดใหญ่ ผลงานของนายช่าง Onofrio de la Cava จาก Naples สร้างเสร็จในปี 1438 ทำหน้าที่เก็บกักน้ำจากแหล่งน้ำในหมู่บ้านหลังเขาเซอร์จชื่อว่า Sumet ที่ส่งมาตามท่อ(aqueduct) เป็นเวลากว่า 550 ปีก่อนที่จะถูกพวกเซิร์บถล่มเมื่อปี 1991
ภาพมุมมองจากกำแพง ^ยืม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1123 เมื่อ 27 มี.ค. 14, 09:21
|
|
เมืองอื่นๆ ส่วนใหญ่จะใช้อ่างน้ำใต้จตุรัสเป็นที่เก็บน้ำ แต่ที่นี่ Onofrio ได้ติดตั้ง ระบบส่งน้ำใช้ชักน้ำจากแหล่งน้ำซึ่งอยู่ห่างออกไป 7 ไมล์ทางทิศเหนือ/ตะวันตกมาตามท่อ ส่งน้ำเข้าสู่เมืองตรงจุดที่สูงสุดและเหนือสุดซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตั้งของหอคอย Minceta แต่ ท่อส่งน้ำตรงส่วนนี้ได้ถูกทำลายลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เมื่อมีการสร้างถนนจากประตู Ploce มาสู่ประตู Pile
อากาศร้อนรน ผู้คนมากมาย แทบไม่ได้ถ่ายรูปน้ำพุ ต้องอาศัยรูปคนอื่น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1124 เมื่อ 27 มี.ค. 14, 09:32
|
|
ท่อส่งน้ำของ Onofrio จ่ายน้ำให้แก่น้ำพุหลายแห่งที่เขาสร้างขึ้นในปี 1440 ซึ่งรวมถึง ย่านเยซูอิตและยิว จนถึงตลาดปลาด้วย น้ำพุ ณ ลานนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็น - Big Onofrio Fountain ที่ Big ลดลงจากไปจาก เดิมเมื่อแรกเริ่มสร้างหลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวในปี 1667 ส่งผลให้ตัวน้ำพุชั้นบนหล่นลงมา
ภาพยืมยามน้ำพุปลอดผู้คน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|