SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1020 เมื่อ 05 มี.ค. 14, 09:55
|
|
ส่วนบนสุดแขวนระฆังใบใหญ่หนักสองตันเป็นของเก่า หล่อขึ้นในปี 1508 โดย นายช่างผู้ทำการหล่อปืนของป้อมลอว์เรนซ์ด้วย สองข้างระฆังมีรูปสลักทองแดงที่ผ่านกาลกลายสีเขียวจึงเรียกกันว่า 'Zelenci' (The Green Ones) ทำหน้าที่ยืนเคาะระฆัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1021 เมื่อ 05 มี.ค. 14, 09:57
|
|
รูปทหารตัวเขียวยืนเคาะระฆังทั้งสองนายนี้มีชื่อว่า Maro กับ Brao ดำริสร้าง ขึ้นในปี 1478 โดยสภาเมือง มีความสูง 151 ซม. แต่งตัวในชุดทหารโรมันสวมหมวกทำ หน้าที่ย่ำระฆังจน'ตัวเขียว' ถึงปี 1905 จึงได้ปลดประจำการลงมาแล้วส่งไปซ่อมแซมนาน ถึง 5 ปีก่อนที่จะย้ายไปตั้งแสดงที่วังเจ้าเมือง แล้วให้'ตัวเขียว'รุ่นใหม่ทำหน้าที่แทน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1022 เมื่อ 05 มี.ค. 14, 09:58
|
|
ส่วนนาฬิกาเรือนเก่าแก่ที่ติดตั้งด้านล่างนั้น เครื่องจักรกลได้หมดอายุขัยลงในศตวรรษ ที่ 18 แล้วจึงได้รับการซ่อมแซมใหม่จนได้หน้าปัดเป็นรูปหนวดปลาหมึก กับลูกกลมบรอนซ์แสดง ภาพพระจันทร์ข้างขึ้นข้างแรม ทุกเที่ยงวันระฆังจะส่งเสียงก้องกังวานไกล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1023 เมื่อ 05 มี.ค. 14, 10:17
|
|
ทางขวามือติดกับหอนาฬิกาเป็นอาคารกลาโหม House of the Main Gaurd
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1024 เมื่อ 05 มี.ค. 14, 10:19
|
|
อดีตอาคารสำคัญฝ่ายกองกำลังความมั่นคงเมือง เป็นที่พำนักของผู้บัญชากองเรือ และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ลักษณะหน้าต่างที่แบ่งเป็นสองส่วนแบบกอธิคบอกว่าเป็นอาคารรุ่นแรกๆ ที่สร้างขึ้นใหม่ หลังแผ่นดินไหว ชั้นพื้นดิน(ground floor) ซ่อมสร้างในตอนต้นศตวรรษที่ 18 ส่วนทางเข้าแบบบารอคนั้นสร้างขึ้นระหว่างปี 1706 - 08 โดยสถาปนิกเวนิส Marino Gropelli ผู้ออกแบบซ่อมแซมโบสถ์นักบุญเบลสที่ตั้งอยู่เยื้องกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1025 เมื่อ 05 มี.ค. 14, 10:48
|
|
ด้านล่างข้างหน้าอาคารคือน้ำพุขนาดย่อมของนายช่าง Onofrio แม้มีขนาดเล็กแต่ ก็ดูหรูโอ่อ่า มีมาแต่ปี 1438 (ชื่อนี้ฝากผลงานการประปาและน้ำพุไว้ในที่อื่นของเมืองที่จะ ได้เห็นต่อไป)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1026 เมื่อ 05 มี.ค. 14, 10:53
|
|
ใกล้น้ำพุน้อยเข้าไปอีกนิด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1027 เมื่อ 07 มี.ค. 14, 10:24
|
|
จากอาคารกลาโหมดูแลความมั่นคงด้านกองกำลัง อีกหนึ่งอาคารสำคัญด้านความมั่นคง ทางเศรษฐกิจของเมืองในอดีต คือ วัง Sponza Palace
ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของทวาราคาร Luza ตัวอาคารด้านหน้าเป็นระเบียงเรเนซอง อยู่ใต้หน้าต่างกั้นแบ่งช่องแบบกอธิค สร้างขึ้นในปี 1516 - 1522 รูปแบบวังกอธิคผสม เรเนซองเช่นนี้ พบได้ในแถบเอดริแอติคช่วงศตวรรษที่ 15 ที่ต่อมาได้ล้มหายไปกับแผ่นดินไหว แต่ไม่ใช่วัง Sponza
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1028 เมื่อ 07 มี.ค. 14, 10:27
|
|
หนึ่งในอาคารไม่กี่หลังที่ยังคงรูปเหมือนเมื่อก่อนเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในปี 1667 และมักได้รับการจัดอันดับให้เป็นงานสถาปัตยกรรมล้ำเลิศวิไลในเมืองเก่านี้ ชื่อเรียกอาคารมาจากคำว่า spongia ซึ่งแปลว่าตำแหน่งที่เก็บน้ำฝน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1029 เมื่อ 07 มี.ค. 14, 10:31
|
|
อาคารรูปสี่เหลี่ยมพร้อมลานด้านในนี้เป็นผลงานการออกแบบโดย Paskoje Milicevic ด้านหน้าเป็นระเบียงเปิดสู่จตุรัส Luza ส่วนข้างในก็มีระเบียงเปิดสู่ลานทั้งชั้นพื้นดินและชั้นหนึ่ง งานส่วนระเบียงและประติมากรรม ตกแต่งเป็นผลงานของนายช่างจาก Korcula ร่วมกับช่างตัดหิน ผนังด้านหลังส่วนบนสลักพระนาม อักษรย่อพระไครสต์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1030 เมื่อ 07 มี.ค. 14, 10:33
|
|
อาคารนี้เคยเป็นศูนย์รวมที่ทำการด้านการค้าของเมือง เป็นที่ตั้งของศุลกากร, คลังสินค้า ทัณฑ์บน(คลังเก็บสินค้านำเข้าไว้ก่อนโดยยังไม่ต้องชำระภาษีอากร), โรงกษาปณ์, ท้องพระคลัง, ธนาคารและ สำนักงานของรัฐ
เหนือโค้งสุดลานสลักข้อความหลักการพาณิชย์สุจริตว่า "We are forbidden to cheat or falsify measures, and when I weigh goods, God himself is weighing them with me." นอกจากนี้ที่นี่ยังเคยเป็นสถานที่นัดพบปะสนทนาของบรรดากวีศรีเมืองด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1031 เมื่อ 07 มี.ค. 14, 10:36
|
|
ดูบรอฟนิคกำลังอยู่ในช่วงยุคทองขณะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวปี 1667 ที่ได้ ล้มแทบทั้งเมืองให้ราบลง(แต่วังนี้ยังอยู่) จนเสือสิงห์ออตโตมานและเวนิสเกิดความสงสาร ด้วยกโลบายการทูตและการบริหารบ้านเมืองที่ดำเนินต่อไปได้ในวังแห่งนี้เอง ได้ช่วยนำพา เมืองให้แคล้วคลาดและลุกขึ้นก้าวเดินต่อไป
ปัจจุบันวังมีบทบาทสำคัญทำหน้าที่เป็นหอจดหมายเหตุเก็บเอกสารประวัติศาสตร์ เก่าแก่แต่ศตวรรษที่ 12 จนกระทั่งเมื่อสาธารณรัฐล่ม (เดิมเอกสารถูกเก็บไว้ที่วังเจ้าเมือง) เอกสารทางการที่เก่าแก่ที่สุดเป็นของปี 1022 ที่นี่จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในหอเอกสาร ที่สำคัญ มีเอกสารมากที่สุดแห่งยุโรป(และอาจจะที่สุดในโลก) เนื่องจากทางการดูบรอฟนิค ได้ออกกฎให้เอกสารทางกฎหมายทุกชิ้นทั้งของภาครัฐและเอกชนต้องลงทะเบียนบันทึกไว้ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของหอเกียรติยศรำลึกถึงผู้พลีชีพปกป้องมาตุภูมิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1032 เมื่อ 07 มี.ค. 14, 10:37
|
|
และเมื่อถึงเทศกาลหน้าร้อน นักแสดงผู้สวมชุดและสวมบทเจ้าเมืองจะทำพิธีเปิดงาน จากระเบียงชั้นบนของวังแห่งนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1033 เมื่อ 07 มี.ค. 14, 10:40
|
|
อาคารศาสนสถานสำคัญ ณ ลานแห่งนี้ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมือง นั่นคือ
โบสถ์ Church of St blaise
ในยุคกลาง รัฐและเมืองต่างๆ จะมีนักบุญที่เคารพนับถือยกขึ้นเป็นผู้อุปถัมภ์ประจำเมือง นักบุญผู้พิทักษ์รักษ์เมืองดูบรอฟนิค คือ ท่านนักบุญเบลส ที่รูปสลักของท่านนักบุญถือรูปเมือง จำลองในมือซ้ายสถิตปกปักอยู่ตามป้อมและประตูกำแพงตามที่ได้เห็นไปแล้ว
รูปสลักท่านนักบุญที่ประตู Pile ทั้งประตูด้านในและด้านนอก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1034 เมื่อ 07 มี.ค. 14, 10:44
|
|
ท่านคือมรณสักขีในตอนต้นศตวรรษที่ 4 ผู้เป็นบิชอปแห่ง Sebastia (ปัจจุบันคือ Sivas ในตุรกี) ทั้งยังเป็นแพทย์รักษาโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคในช่องคอ ดังปรากฏหลักฐานเป็นเอกสาร บันทึกของแพทย์ในราชสำนัก เมื่อตอนต้นศตวรรษที่ 6 กล่าวถึงการรักษาโรคสิ่งแปลกปลอม (foreign body ที่อาจจะเป็นก้างปลา) ติดคอ ตำนานเล่าว่าท่านได้ช่วยรักษาเด็กให้รอดชีวิตจาก การสำลักก้างปลา ในปี 315 ผู้ว่าการเขตปกครองได้เดินทางมาถึงพร้อมบัญชาจากจักรพรรดิ Licinius ให้ดำเนินการประหารคริสเตียนที่นี่ ท่านนักบุญถูกจับตัวไปบั่นเศียรหลังจากที่ท่านถูกทรมานเพื่อ ให้ยอมสักการะรูปเคารพของโรมแต่ท่านยืนกรานปฏิเสธ
รูป The Blessing of St Blaise - Francesco De Rosa
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|