เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ปัจจุบันนี้ แยกจากถนนพระราม 4 เข้าไปทางถนนจารุเมือง มีซอยอยู่ซอยหนึ่งชื่อซอยพระยาสุนทรพิมล ในแผนที่ข้างล่างนี้อยู่ ระหว่างทางด่วนศรีรัช กับถนนบรรทัดทอง เดิมซอยสุนทรพิมลคือถนนสุนทรพิมล เป็นถนนสาธารณะตัดโดยเอกชน ชื่อพระยาสุนทรพิมล นอกจากนี้ท่านยังเป็นขุนนาง 1 ใน 5 คน อีก 4 คน คือ พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง (ม.ร.ว.ลพ. สุทัศน์ ต่อมาเป็นเจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร) พระยาพิพัฒน์โกษา (เซเลสติโน ซาเวีย) พระยานรฤทธิ์ราชหัช (ทองดี โชติกเสถียร ต่อมาเป็นพระยาธรรมจรรยานุกูลมนตรี) พระยานารถภักดี (สุด บุนนาค ต่อมาเป็น พระยาสมุทรานุรักษ์) ร่วมกันตัดถนนสี่พระยาขนานกับถนนสุรวงศ์เมื่อประมาณ พ.ศ. 2448 ในรัชกาลที่ 5
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 15 มิ.ย. 13, 17:59
|
|
พระยาสุนทรพิมล (เผล่) เกิดในรัชกาลที่ 4 เป็นบุตรหลวงสุนทรพิมล (จุ้ย) กับคุณนายพา ธิดาพระยาเทพราชา(ทัด) มีพี่น้องผู้ชายอีก 3 คน ล้วนแต่โตขึ้นก็รับราชการทั้งสิ้น คือ ขุนพรสมบัติ(โม้) หลวงศิริสมบัติ(เชย) และพระยาสุนทรพิมล(เขียว) เกิดในบ้านที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา หน้าวัดสัมพันธวงศ์
หลวงสุนทรพิมลผู้บิดา เดิมเป็นหมื่นราชธนยานุรักษ์ มีตำแหน่งเป็นปลัดกรมในพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศ พระราชโอรสพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย เมื่อสมเด็จพระบรมราชชนกขึ้นครองราชย์ ก็โปรดเกล้าฯให้ทรงบัญชาการกรมพระคลังมหาสมบัติ กรมหมื่นมเหศวรฯทรงใช้สอยหมื่นราชธนยานุรักษ์เป็นที่ไว้วางพระทัย ในฐานะข้าหลวงเดิม จึงทรงบรรจุให้มีตำแหน่งอยู่ในกรมพระคลังมหาสมบัติด้วย คุณหลวงจึงรับราชการอยู่ที่นั่นเรื่อยมา แม้ว่ากรมหมื่นมเหศวรฯสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 4 แล้วก็ตาม จนได้เลื่อนขึ้นเป็นขุนนางชั้นสัญญาบัตร ครั้งแรกเป็นขุนพรสมบัติ แล้วเลื่อนขึ้นเป็นหลวงสุนทรพิมล เจ้าจำนวนภาษีอากร ในตอนนั้นล่วงเข้ารัชกาลที่ 5 แล้วคุณหลวงมีเจ้านายพระองค์ใหม่คือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 15 มิ.ย. 13, 20:35
|
|
จัดแผนที่โรงเรียนข้าราชการพลเรือน ให้อ. เทาชมพูดูประกอบเรื่อง จะได้เห็นสภาพบรรยากาศในสมัยก่อนครับ แผนที่ราว พ.ศ. ๒๔๕๓ จะเห็นถนนเส้นแดง (ขวาภาพ) ซึ่งเป็นแนวไว้ว่าจะทำการตัดถนนในอนาคตครับ
จะเห็นแนวถนนตัดแยกออกจากถนนตรง (ถนนพระราม ๔) และเข้าไปที่บ้านทำเป็นถนนวงกลมหน้าบ้านอีกด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 15 มิ.ย. 13, 20:41
|
|
ขอบคุณค่ะคุณหนุ่มสยาม เลื่อนรูปขึ้นลงเทียบกันดู เมื่อก่อนที่ดินชานเมืองกรุงเทพยังว่างอยู่มาก เนื้อที่บ้านคนใหญ่คนโตสมัยนั้นแค่ 1 หลัง มาสมัยนี้สร้างคอนโดใหญ่ๆได้สบาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 15 มิ.ย. 13, 21:36
|
|
ในยุคที่ไทยยังอยู่ในระบบภาษีอากร ต่อเนื่องมาจากรัชกาลที่ 3 คือมีเจ้าภาษีอากรรับหน้าที่ผูกขาดเก็บภาษีจากราษฎรนำเข้าสู่หลวง หน้าที่ข้าราชการอย่างหลวงสุนทรพิมล(จุ้ย)ที่เรียกว่า "เจ้าจำนวน" ก็คือทำหน้าที่ดูแลเลือกหาว่าใครสมควรจะมาเป็นเจ้าภาษีได้บ้าง เมื่อคัดเลือกว่าใครเป็นเจ้าภาษีแล้ว ก็ต้องตรวจตราการประมูลภาษีให้เป็นไปโดยถูกต้อง หน้าที่นอกจากนี้คือเร่งรัดเงินหลวงจากเจ้าภาษี นำส่งพระคลัง ดังนั้นขุนนางคนไหนได้เป็น "เจ้าจำนวน" ก็ต้องมีคอนเนคชั่นดีกับพวกพ่อค้าต่างๆที่จะมายื่นขอเป็นเจ้าภาษี ตลอดจนชำนาญการทำภาษีอากรต่างๆ เพื่อให้ได้ยอดเงินที่ถูกต้อง ไม่ถูกโกงและตัวเองก็ไม่โกงเสียเอง ดังนั้นถึงแม้ว่ามีบรรดาศักดิ์แค่คุณหลวง แต่หน้าที่การงานทำให้หลวงสุนทรพิมล(จุ้ย) เป็นคนกว้างขวางเป็นที่นับหน้าถือตา ทั้งข้าราชการและพ่อค้าทั้งหลายที่ประสงค์จะเป็นภาษี หรือได้เป็นอยู่แล้ว
เหตุผลอีกอย่างที่ทำให้หลวงสุนทรพิมล กว้างขวางเป็นที่รู้จักมากขึ้นก็คือ สมัยกรมหมื่นมเหศวรฯยังมีพระชนม์อยู่ เวลามีงานโสกันต์พระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงรับหน้าที่ดูแลเรื่องเลี้ยงน้ำชาและของว่างในงานแก่เจ้านายขุนนางสำคัญทั้งหลายที่มาร่วมในพระราชพิธี ในงานนี้ทรงใช้ข้าราชการในกรมพระคลังมหาสมบัติเป็นพนักงานเลี้ยง มีหลวงสุนทรพิมลรับหน้าที่หัวหน้าพนักงาน ต่อมาแม้ว่ากรมหมื่นมเหศวรฯสิ้นพระชนม์แล้ว ล่วงมาถึงรัชกาลที่ 5 เมื่อมีพระราชพิธีก็ดี มีงานตามวังเจ้านายและงานตามบ้านขุนนางผู้ใหญ่ ตลอดจนผู้น้อยที่เป็นเพื่อนฝูงกันก็ดี หลวงสุนทรพิมลก็อาศัยความชำนาญที่เคยฝึกงานด้านนี้มาก่อน รับผิดชอบเรื่องเลี้ยงน้ำชาและของว่างในงานเหล่านี้สืบต่อมา จึงเป็นที่โปรดปรานของเจ้านาย และขุนนางใหญ่น้อยก็รู้จักดี เป็นที่คุ้นเคยชอบพอกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 17 มิ.ย. 13, 16:19
|
|
อ่านประวัติของคุณหลวงสุนทรพิมลมาถึงตรงนี้ คิดในใจว่าท่านคงเป็นเศรษฐี เพราะการเลี้ยงน้ำชาและของว่างแม้ว่าไม่ถึงกับเป็นอาหารคาวหวานอย่างดินเนอร์ครบเครื่อง แต่งานเลี้ยงตามวังเจ้านาย แขกเป็นร้อย ตามบ้านขุนนางใหญ่ๆก็เช่นกัน คนที่ควักกระเป๋าจัดเลี้ยงได้ไม่รู้ว่ากี่งานต่อกี่งาน ต้องมีฐานะไม่ธรรมดา นอกจากเป็นเศรษฐีแล้วยังใจกว้างอีกด้วย ดังนั้นถึงแม้ว่าเป็นขุนนางระดับคุณหลวง เจ้านายจึงโปรดปรานและขุนนางใหญ่น้อยก็ให้ความเป็นมิตรด้วย
นอกจากรู้จักสมาคมกว้างขวางแล้ว คุณหลวงสุนทรพิมลยังรู้จักฝึกงานบุตรชายทั้ง 4 คน ให้ช่วยงาน ไม่ว่าในเรื่องสมาคม หรือความรู้เรื่องภาษีอากรเช่นเดียวกับบิดา เพื่อแบ่งเบาภาระ และเป็นการปูพื้นอย่างดีก่อนจะเข้ารับราชการ จะได้ต่อยอดได้ง่าย ลูกชายทั้งสี่จึงเติบโตมาด้วยความเข้าใจงานของคุณหลวงอย่างดี บุตรทั้งสี่ คือ ขุนพรสมบัติ(โม้) หลวงศิริสมบัติ(เชย) พระยาสุนทรพิมล (เขียว) และพระยาสุนทรพิมล(เผล่) การได้รับราชทินนามตามบิดา เป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งของลูกชายขุนนางในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อเข้าทำงานเจริญรอยตามบิดา น่าเสียดายว่าขุนพรสมบัติ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นลูกชายคนโต ถึงแก่กรรมเสียแต่ยังหนุ่ม ส่วนหลวงศิริสมบัติทำงานในกระทรวงพระคลังฯพักหนึ่ง ก็ย้ายไปรับราชการในกระทรวงมหาดไทย จนบั้นปลายได้เป็นเจ้าเมืองพังงา บุตรคนที่สามคือพระยาสุนทรพิมลไปเติบโตที่กระทรวงนครบาลอยู่นานหลายปี กว่าจะกลับมากระทรวงพระคลัง ก็เหลือพระยาสุนทรพิมล(เผล่) คนเดียวที่รับราชการในกระทรวงพระคลังตั้งแต่ต้นจนจบ ได้รับตำแหน่งเจ้าจำนวนที่บิดาเคยเป็น และตำแหน่งอื่นๆด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 17 มิ.ย. 13, 18:39
|
|
พระยาสุนทรพิมลเมื่อครั้งเป็นเพียงเด็กชายเผล่ ลูกชายหลวงสุนทรพิมล ได้เล่าเรียนเขียนอ่านที่วัดสัมพันธวงศ์ใกล้บ้าน ต่อมาก็บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุครบปีบวชก็ได้บวชที่วัดนั้น ในเมื่อเป็นคนที่พระภิกษุในวัดเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย จนกระทั่งได้บวชเรียนและต่อมารับราชการเป็นหลักฐาน ทางวัดจึงเลือกเป็นมรรคทายกมาตลอดอายุของท่าน ท่านเองก็ได้สร้างถาวรวัตถุไว้หลายอย่างให้วัด เช่นสร้างอาคารสำหรับพระสงฆ์ได้เรียนพระปริยัติธรรมไว้หลังหนึ่ง สร้างอ่างเก็บน้ำซีเมนต์ขนาดใหญ่เพื่อเก็บน้ำให้พระสงฆ์ใช้กันทั้งวัด ในยุคที่ยังไม่มีประปา และเมื่อบ้านเมืองมีไฟฟ้าใช้ ท่านก็ติดไฟฟ้าให้พระทั้งวัดได้ใช้ด้วย
พระยาสุนทรพิมลเข้ารับราชการกับบิดาตั้งแต่รุ่นหนุ่ม เริ่มตั้งแต่เป็นเสมียน เลื่อนขึ้นเป็นหมื่นพิมลสมบัติ เมื่อบิดาถึงแก่กรรม ท่านได้เลื่อนขึ้นเป็นขุนศรีสมบัติ เจ้าจำนวนอากรค่าน้ำ ในตอนนั้นยังไม่มีกรมราชพัสดุ เมื่อต่อมากรมนี้ตั้งขึ้นท่านก็ได้ไปรับราชการในกรมเป็นนายเวรกรมราชพัสดุ แล้วย้ายไปอยู่กรมจำนวน เส้นทางของท่านยังคงสังกัดในกรมพระคลังมาโดยตลอด เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นจนเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมอากรฝิ่น จนถึงรัชกาลที่ 6 จึงได้บรรดาศักดิ์เป็นพระยาสุนทรพิมล ผู้ช่วยอธิบดีกรมฝิ่น
งานอีกอย่างนอกเหนือจากงานในหน้าที่ ที่พระยาสุนทรพิมลรับสืบทอดจากบิดามาโดยตลอด คือเป็นหัวหน้าพนักงานเลี้ยงน้ำชาและเครื่องว่างในพระราชพิธีโสกันต์พระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอมาตลอดรัชกาลที่ 5 จนถึงงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นงานสุดท้ายในรัชกาล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 17 มิ.ย. 13, 20:18
|
|
สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงกล่าวถึงพระยาสุนทรพิมล ในฐานะคนที่ทรงรู้จักคุ้นเคยมานานว่า "เป็นคนใจใหญ่และใจนักเลง" ที่ว่าเป็นคนใจใหญ่ ทรงหมายความว่าเมื่อลงมือทำอะไรแล้วก็พยายามทำให้ดีดังประสงค์ แม้จะต้องลงทุนรอนมากมายก็ไม่เสียดาย ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นยุคของการเล่นเครื่องลายครามที่เรียกกันว่าเครื่องโต๊ะตั้งบูชา ถึงขั้นประกวดประขันกันเป็นเรื่องใหญ่ในหมู่เจ้านายและขุนนาง วังหลวงตั้งโต๊ะเครื่องลายครามลายสี่ฤดู ซึ่งเป็นของหายากและมีค่า ไม่มีใครมีเทียบได้ ยกเว้นแต่พระยาสุนทรพิมลซึ่งเสาะหาเครื่องลายครามอย่างดีเยี่ยมมาสะสม สามารถหาลายสี่ฤดูมาตั้งในงานได้ ความสำเร็จและฝีมือของท่าน ถึงขั้นพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯตั้งเป็นกรรมการเลือกเครื่องตั้งโต๊ะด้วยท่านหนึ่ง ต่อมาเมื่อความนิยมเครื่องแก้วและถ้วยชามของเก่าเฟื่องฟูขึ้นมา พระยาสุนทรพิมลก็ได้ชื่อว่ามีเครื่องเบญจรงค์น้ำทองและเครื่องแก้วชั้นเยี่ยมกว่าใครๆ ท่านได้สะสมของเหล่านี้ไว้มาก จนสามารถเปิดให้คนไทยและต่างประเทศเข้าชมได้แบบเดียวกับพิพิธภัณฑ์
ส่วนเรื่องใจนักเลง ก็คือเป็นคนใจกว้าง ชอบสมาคมอย่างกว้างขวาง มีผู้คุ้นเคยชอบพอมากไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย เพราะท่านเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และไม่เคยเอาเปรียบใคร
เมื่อพ.ศ. 2447 พระยาสุนทรพิมลย้ายบ้านจากแถววัดสัมพันธวงศ์ไปชานเมืองทางตะวันออกของกรุงเทพ แถวหัวลำโพง ท่านก็ตัดถนนสาธารณะไว้สายหนึ่งให้ประชาชนสัญจรไปมาได้ ปีต่อมาก็ร่วมกับขุนนางอีกหลายท่านตัดถนนสี่พระยาขนานกับถนนสุรวงศ์ ท่านได้อยู่บ้านใหม่นี้จนถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. 2464 ในรัชกาลที่ 6 อายุ 58 ปี
ปัจจุบันถนนใหญ่ๆเกิดขึ้นหลายสาย ถนนเดิมก็เล็กลงไปโดยปริยาย ถนนสุนทรพิมลถึงกลายเป็นซอยสุนทรพิมล แต่ก็ยังรักษาชื่อเจ้าของผู้ตัดถนนสายนี้ไว้เป็นทางสาธารณะ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงท่าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|