เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7
  พิมพ์  
อ่าน: 24453 นิราศหนองคาย:ใครอยู่เบื้องหลังวรรณคดีที่ถูกสั่งเผา
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 75  เมื่อ 31 พ.ค. 13, 09:40

ในการเดินทางบุกป่าฝ่าดง อะไรๆมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นค่ะ  เห็นด้วย     นอกจากน้ำป่า อาจจะมีไฟป่า  ไข้ป่า  สัตว์ป่า  สารพัดชนิดที่ทัพเจ้าพระยามหินทรฯมีสิทธิ์เจอ   แต่ทำศึกก็คือทำศึก     จะมัวให้พร้อม ปลอดภัยไปเสียทุกอย่าง แล้วค่อยไปรบกับพวกฮ่อ   อาจจะไม่เหลือเวลาให้รบแล้วก็ได้

ไปเปิดอ่านประวัติการปราบฮ่อ ซึ่งเป็นศึกยืดเยื้อสมัยรัชกาลที่ 5  พบว่า 10 ปีต่อมาจากนิราศหนองคาย    ไทยก็ต้องยกทัพไปปราบฮ่ออีก โดยจัดเป็นสองกองทัพคือกองทัพฝ่ายใต้และกองทัพฝ่ายเหนือ

กองทัพฝ่ายใต้มีนายพันเอก พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมเป็นแม่ทัพยกไปปราบฮ่อในแคว้นเมืองพวน (อุดรธานี)และได้ตั้งกองบัญชาการกองทัพอยู่ที่เมืองหนองคาย   กองทัพฝ่ายเหนือมีนายพันเอก เจ้าหมื่นไวยวรนาถ (เจิม แสง-ชูโต) เป็นแม่ทัพยกไปปราบฮ่อในแคว้นหัวพันห้าทั้งหก ยกกำลังออกจากกรุงเทพฯ ชุมนุมทัพที่เมืองพิชัยแล้วเดินทัพต่อไปยังเมืองน่าน แล้วยกกำลังไปถึงเมืองหลวงพระบาง
พ.ศ. 2429 สามารถปราบฮ่อได้ราบคาบแล้วจึงยกกำลังกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2430

เส้นทางของกรมหลวงประจักษ์ ฯ และเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี(เจิม แสง-ชูโต) ต้องผ่านดงพระยาไฟหรือเปล่า    ใครพอจะคำนวณเส้นทางได้บ้างคะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 76  เมื่อ 31 พ.ค. 13, 15:21

ที่ถาม ก็เพราะว่ามีความเป็นไปได้ 2 ข้อ
1    ถ้าหากว่าเส้นทางไปหนองคายของกรมหลวงประจักษ์ฯ เป็นเส้นทางอื่น ที่ไม่ผ่านดงพระยาไฟ     ก็แสดงว่าการไปอีสานมีได้มากกว่า 1 ทาง      เจ้าพระยามหินทรฯอาจจะยกทัพกลับไปตั้งต้นใหม่ ในเส้นทางนี้ก็ได้   แต่ท่านไม่ได้ทำ
2    ถ้าหากว่ากรมหลวงประจักษ์ฯใช้เส้นทางไปหนองคาย ผ่านดงพระยาไฟเช่นเดียวกับเจ้าพระยามหินทรฯ   ก็แสดงว่า เส้นทางนั้นคงไม่เลวร้ายถึงขั้นเป็นไข้ป่าตายกันง่ายๆ ไปครึ่งค่อนกองทัพ      มิฉะนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคงไม่ทรงยอมให้พระเจ้าน้องยาเธอ ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญพระองค์หนึ่งในช่วงนั้น  ต้องไปเสี่ยงสิ้นพระชนม์ มากกว่าจะรอด ระหว่างทาง

ผลที่ปรากฏต่อมาคือกรมหลวงประจักษ์ฯ ก็ผ่านเส้นทางไปได้อย่างดี ไม่มีปัญหา   สามารถไปทำภารกิจได้สำเร็จ แล้วก็ยังเป็นกำลังสำคัญในการจัดการการปกครองอีสานได้อีกด้วย   
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 77  เมื่อ 31 พ.ค. 13, 17:09

กรมหลวงประจักษ์ฯ ทรงเดินทัพไปอีกทางหนึ่งครับ โดยเสด็จขึ้นไปพิษณุโลกทางน้ำ แล้วเดินบกตัดไปทางหล่มสัก เข้าไปหนองคายครับ

มองอีกแง่หนึ่ง การที่เจ้าพระยามหินทรฯ ไม่ได้เร่งร้อนนัก ก็เพราะมีทัพพระยามหาอำมาตย์ ทัพพระยานครราชสีมารับมืออยู่ชั้นหนึ่งแล้ว ท่านอาจจะประเมินว่าน่าจะ "เอาอยู่" ด้วยกระมังครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 78  เมื่อ 31 พ.ค. 13, 18:27

เป็นอันว่าเส้นทางอื่นที่ไม่ผ่านดงพระยาไฟก็มีจริงๆ      แต่ดูเหมือนทั้งเจ้าพระยาและสมเด็จเจ้าพระยาไม่ได้คิดถึงทางเลือกที่สองเลย
นายทิมไม่ได้เอ่ยถึงทัพพระยามหาอำมาตย์ในนิราศหนองคายในตอนต้น หรือตอนพักที่หาดพระยาทศ       มาเอ่ยก็เมื่อมีคนมาส่งข่าวว่าพระยามหาอำมาตย์ปราบฮ่อได้แล้ว    เลยไม่รู้ว่าเจ้าพระยามหินทรฯ ท่านรู้ข้อนี้หรือเปล่าว่ายังไงก็มีอีกทัพไปยันเอาไว้

ถ้าถือว่านายทิมสะท้อนความรู้สึกของนายลงในนิราศหนองคาย   เพราะนายคิดยังไง ลูกน้องคนสนิทก็น่าจะคิดยังงั้น   จะเห็นได้ว่านายทิมไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องทัพฮ่อยกมายึดหนองคาย     แต่เดือดร้อนเรื่องความลำบากและภยันตรายที่จะได้รับระหว่างทางแทน    แปลอีกทีคือใครเขาจะรบกันที่ไหนก็ช่าง    ไอ้ที่กลุ้มอยู่นี่คือไข้ป่าและความลำบากนี่แหละ
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 79  เมื่อ 01 มิ.ย. 13, 00:02

ทัพที่ไปตั้งอยู่สระบุรีจะเปลี่ยนเส้นทางขึ้นไปทางพิษณุโลกหล่มสักต้องอ้อมย้อนลงมาที่อยุธยาแล้วค่อยขึ้นไปพิษณุโลก เสียเวลาบ้างแต่ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ แต่ทางสมเด็จเจ้าพระยาท่านก็ไม่ได้เสนอให้เดินทัพทางนี้ เร่งแต่ให้ขึ้นโคราชให้เร็วที่สุด เป็นไปได้ว่าเส้นทางพิณุโลกหล่มสักอาจจะไม่เป็นที่คุ้นเคยในเวลานั้น หรือเพราะไม่ได้วางแผนไว้แต่ต้น ทางพิษณุโลกก็อาจจะไม่ได้เตรียมคนเตรียมพาหนะไว้ หรือที่แย่กว่านั้นคือ เส้นทางนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าเลย เพราะผมไปเปิดปฏิทินแล้วพบว่าปี 2418 นั้น เดือน 11 ก็ยังอยู่ในราวเดือนกันยา-ตุลา นอกจากยังมีฝนแล้วเผลอๆ จะมีน้ำป่าอย่างที่คุณ Jalito ตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 80  เมื่อ 01 มิ.ย. 13, 21:29

     การวางแผนเส้นทางไปหนองคาย ต้องเตรียมล่วงหน้ากันตั้งแต่อยู่กรุงเทพแล้ว    เหตุผลหลักของการเลือกเส้นทางคือเดินทางสั้นที่สุด    เพราะฉะนั้น ทางไปโคราชผ่านดงพระยาไฟน่าจะเป็นเส้นทางลัดสุด    ในเมื่อข้าศึกยึดเมืองได้แล้วทางโน้น  ทัพทางนี้จะมัวเอ้อระเหยหาหนทางดีๆ แม้จะอ้อมมากไปหน่อยก็ทำไม่ได้อยู่ดี   มันจะช้าเกินการ
    ที่สำคัญคือไม่มีใครคิดว่าเจ้าพระยามหินทรฯท่านจะมาใส่เบรคมืออยู่กลางทาง   ในเมื่อตอนอยู่ต้นทางในกรุงเทพ ก็ไม่เห็นพูดถึงปัญหาข้อนี้       ปัญหาที่นายทิมสะท้อนเอาไว้คือไม่อยากเดินทางในฤดูฝน     ข้อนี้ถึงไม่อยากก็ต้องไป    ไปๆมาๆปัญหามันก็เลยกลายเป็นงูกินหางไป     ฮ่อยกทัพมาตีหนองคาย>ไม่ไปก็ต้องไป>ไปแล้วไม่อยากไปต่อ> ไม่อยากไปต่อก็ต้องไป> ถึงต้องไปก็ไม่อยากไป...
      ฮืม   ฮืม   ฮืม

    ที่จริงนอกจากความขัดแย้งของพญาคชสารทั้งสองแล้ว  นิราศหนองคายก็ยังมีรสชาติแสบเผ็ดให้เอ่ยถึงได้อีก 2-3 เรื่อง  อย่างหนึ่งคือสะท้อนเบื้องหลังค่อนข้างเละเทะในสมัยยกทัพ   ซึ่งตอนที่พิมพ์ออกมาเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ดูเหมือนจะถูกอกถูกใจนักอ่านแนวสังคมนิยมอยู่มาก      เห็นว่าเป็นการแฉเบื้องหลังศักดินา
    เกณฑ์เลขทาสทั้งที่มีค่าตัว      ดูนุงนัวนายหมวดเร่งกวดขัน
ผู้ที่เป็นมุลนายวุ่นวายครัน              บ้างใช้ปัญญาหลอกบอกอุบาย
ว่าตัวทาสหลบลี้หนีไม่อยู่              ข้างเจ้าหมู่เกาะตัวจำนำใจหาย
ที่ตัวทาสหนีจริงวิ่งตะกาย              ทำวุ่นวายยับเยินเสียเงินทอง
เกณฑ์ขุนหมื่นขึ้นใหม่ในเบี้ยหวัด      ขุนหมื่นตัดเกณฑ์ตามเอาสามสอง
ท่านนายเวรเกณฑ์กวดเต็มหมวดกอง   เอาข้าวของเงินตราปัญญาดี
เหล่าพวกขุนหมื่นไพร่ต้องไปทัพ      ที่มีทรัพย์พอจะจ่ายไม่หน่ายหนี
สู้จ้างคนแทนตัวกลัวไพรี              ที่เงินมีเขาไม่อยากจะจากจร ฯ
   
   ในต้นรัชกาลที่ 5  ช่วงนั้นยังมีระบบไพร่อยู่   การเกณฑ์คนไปรบที่มีระเบียบกฎเกณฑ์อย่างหลวมๆ  เพราะยังไม่มีระบบทหารประจำการอย่างสมัยหลัง จึงค่อนข้างชุลมุนวุ่นวาย    เจ้าขุนมูลนายที่มีแรงงานเลกในสังกัด เมื่อถูกเกณฑ์เลกไปร่วมรบ  ก็อยากให้บ้างไม่อยากให้บ้าง    จึงแจ้งว่าทาสหนีบ้างอะไรบ้าง     ส่วนพวกขุนนางชั้นผู้น้อยที่ต้องไปทัพก็ไม่อยากจะไป เพราะมันอันตราย อาจจะตายง่ายๆ   เมื่อถูกเกณฑ์ก็เลยหาอุบายจ้างคนไปแทนตัวก็มี   
   ปัญหาคอรัปชั่นมีมาทุกยุคทุกสมัย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 81  เมื่อ 02 มิ.ย. 13, 10:54

      นอกจากเรื่องคอรัปชั่นที่ยังไม่ตกยุคแล้ว   เรื่อง "อุ้ม" ให้หายสาบสูญไปก็มีเหมือนกัน   ไม่น้อยหน้าข่าวสมัยนี้

    ทัพของเจ้าพระยามหินทรฯมีพิเศษกว่าทัพอื่นๆอยู่อย่างหนึ่งคือ มีละครประจำกองทัพด้วย      เป็นเพราะแม่ทัพเป็นเจ้าของโรงละครโด่งดังในเมืองหลวง    บ่าวไพร่ที่ติดตามไปในกองทัพก็คงจะเป็นครูละครกันหลายนายด้วยกัน จึงสามารถฝึกละครให้ผู้ชายในทัพได้ แสดงละครเองก็ทำได้เช่นกัน       ดังนั้นเมื่อไปตั้งทัพอยู่ที่โคราชนานเข้า จนถึงเดือนยี่     ทางกรุงเทพไม่ส่งสารตราเรียกกลับเสียที แต่กลับมีสารตรามาบอกว่าให้รออยู่ที่นั่น    เมื่อใดมีข่าวเจ้าพระยาภูธราภัยต้องการกำลังพลไปสมทบ ก็ให้ยกไป      เจ้าพระยามหินทรฯท่านเห็นไพร่พลเซ็งกันเต็มทีเพราะต้องจับเจ่าอยู่ที่โคราชนานเป็นเดือนๆ ไม่มีกำหนดกลับ    ท่านก็เลยจัดละครกองทัพให้เล่นกัน เพื่อบำรุงจิตใจทหารให้ครึกครื้น
    เมื่อทัพไทยจัดละคร  ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายก็อุ้มลูกจูงหลานแห่กันมาดูละครเป็นเรื่องเอิกเกริก   สนุกสนานกันทั่วหน้า    จากนั้นก็เกิด side effect หรือผลข้างเคียงขึ้นมา   เพราะดาราละครของเจ้าคุณมหินทรฯล้วนแต่รูปหล่อ    สาวๆชาวเมืองหลงรักกันทั่วเมือง   ก็เสนอตัวกันมาหากันไม่ขาดสาย    เหล่าละครทั้งหลายล้วนได้กิ๊กสาวชาวโคราชกันทั่วถ้วน     
    ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อสาวๆชาวโคราชที่ว่านี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะสาวชาวบ้านเท่านั้น     แต่กินแถวไปถึงลูกเมียและเมียน้อยสาวๆของเจ้าเมืองโคราชด้วย     ทำเอาท่านเจ้าเมืองวุ่นวายใจ   ต้องสั่งบ่าวเฝ้าเวรยามตามประตูจวนข้าหลวงกันเพิ่มเติม กวดขันกันเข้มงวด  กลัวว่าสาวๆในบ้านพักจะลอบหนีตามพระเอกในกองทัพไป
   ขนาดกวดขัน ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 82  เมื่อ 03 มิ.ย. 13, 10:08

   เจ้าเมืองโคราชมีเมียน้อย (สมัยนั้นเรียกกันว่า "หม่อม" )คนโปรดอยู่คนหนึ่งชื่อหม่อมปลั่ง      วันหนึ่ง  ค้นเจอเสื้อและหมวกทหารกองทัพซุกอยู่ในห้องของเธอ   ก็โกรธเป็นไฟไหม้ป่า   สั่งสอบสวนทันทีว่าของสองอย่างนี้มันหลุดเข้ามาอยู่ในห้องได้ยังไง    วิธีสอบสวนของท่านก็คงมีประสิทธิภาพไม่แพ้การสอบสวนของตำรวจสมัยนี้  หม่อมปลั่งก็เลยยอมเปิดปากสารภาพว่า บ่าวชื่ออีพุ่มเป็นคนเอามาให้   สาเหตุเพราะเธอคิดจะหนีออกจากบ้านโดยปลอมตัวเป็นผู้ชาย       พอได้คำตอบ  พระยาโคราชก็เลยซ้อมเมียไปอีกหนึ่งยก แล้วสั่งบริวารจับอีพุ่ม เฆี่ยนเสียเจียนตาย
   อีพุ่มถูกเฆี่ยนปางตาย  ก็ยอมเปิดปากให้การซัดทอดไปว่ามีคุณหลวงอะไรคนหนึ่งจากกองทัพเอาเสื้อผ้าฝากมาให้หม่อม    ฟังแล้วเจ้าคุณยิ่งโกรธหนักเข้าไปอีก    อีพุ่มกลายเป็นลูกฟุตบอลให้ท่านซ้อมฝีเท้าเสียแทบกระอักขาดใจตาย   พอจบเกม คงจะเหนื่อยหมดแรงเตะต่อไม่ไหว ท่านก็สั่งให้ตีตรวนขนาดใหญ่  ล่ามโซ่ซ้ำเข้าไปอีกมิให้อีพุ่มหนีไปไหนได้   แถมยังเรียกบ่าวในบ้านมานั่งคุมกันแน่นหนามิให้รอดสายตา
   จากนั้น พระยาโคราชก็หอบหมวกและเสื้อหลักฐานสำคัญมาร้องเรียนกับพระยาราชเสนา   พระยาราชเสนางานเข้าแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็รีบรายงานตามลำดับขั้นคือนำความขึ้นกราบเรียนเจ้าพระยามหินทรฯ
 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 83  เมื่อ 03 มิ.ย. 13, 10:24

    เมื่อเจ้าพระยามหินทรฯ รับหนังสือร้องเรียนมาอ่าน  รู้เนื้อถ้อยกระทงความท่านก็ดูออกด้วยความชำนาญว่า งานเข้าท่านอีกหนึ่งคนแล้ว     เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับขุนช้างขุนแผน เป็นเรื่องหนึ่งหญิงสองชาย  บัดนี้เจอนางวันทองโคราชเข้าให้แล้ว  ท่านเองตกที่นั่งพระพันวษาแบบไม่ได้เตรียมตัว   
    ก่อนอื่นท่านให้สอบถามจากบรรดานายกองว่าหมวกกับเสื้อเป็นของที่นี่จริงไหม   ก็ได้คำตอบจากนายทหารว่าเป็นเสื้อหมวกของกองทัพจริง    แต่ว่าของเก่านั้นไม่มี ไม่เหมือนอย่างที่อีพุ่มซัด    ตรงนี้อ่านที่นายทิมเขียนแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร แต่ดูจากบริบทแล้วน่าจะแปลว่า "ไม่รู้ว่าเป็นของใคร" หรือ "จับมือใครดมไม่ได้"
   เจ้าพระยามหินทรฯ ท่านก็เลยบอกเจ้าเมืองโคราชว่าอย่างนั้นก็ต้องสอบสวนเรื่องราวกันให้ถี่ถ้วน     คือต้องส่งตัวคนกลางอันได้แก่หม่อมปลั่งมาให้ท่านสอบสวนหาความจริง   เพราะนี่มีแต่คำร้องเรียน ไม่มีพยาน    พระยาโคราชได้ฟังก็หน้าหุบ เพราะหวงเมียสาว    ไม่อยากเอาตัวมานั่งให้การท่ามกลางผู้ชายมากมายก่ายกอง     ไม่รู้จะทำยังไง  ก็เลยกราบลากลับไป
   วันรุ่งขึ้น ชาวบ้านลือกันเซ็งแซ่ไปหมดว่า อีพุ่มหายตัวไปเสียแล้ว    บางคนบอกว่าอีพุ่มหนีไปได้สำเร็จ  แต่ก็มีบางคนสงสัยว่าอีพุ่มถูกล่ามโซ่ตีตรวนหนาแน่น มีคนเฝ้าทางเข้าออกกันหลายคนขนาดนั้น  จะหักโซ่ตรวนเล็ดลอดหนีไปได้ยังไง     น่าจะเป็นว่าอีพุ่ม "ถูกอุ้ม" เรียบร้อยไปแล้ว เพื่อกลบเกลื่อนความให้เงียบหายไป 
    ในเมื่อเจ้าเมืองโคราชเป็นคนใหญ่คนโต   เรื่องซุบซิบแบบนี้ก็เซ็งแซ่อยู่พักหนึ่ง   แล้วก็เงียบหายไป  ชาวบ้านตาดำๆก็ไม่รู้จะไปเรียกร้องเอากับใครได้    ก็เป็นอันว่าคดีอีพุ่มถูกอุ้มก็ยังเป็นเรื่องลึกลับอยู่จนบัดนี้   นายทิมเองก็ไม่รู้และไม่ได้ติดตามต่อว่าอีพุ่มหนีไปจริงหรือว่าถูกเก็บเรียบร้อยไปแล้ว

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 84  เมื่อ 03 มิ.ย. 13, 20:16

        ประสบการณ์ของนายทิมตามที่บันทึกไว้เรื่องเดินทัพคราวนี้    ถ้าไม่นับความลำบากในการบุกป่าฝ่าดง  ซึ่งชาวเมืองหลวงอย่างนายทิมรู้สึกว่าลำบากเพราะไม่คุ้นมาก่อน    ก็นับว่าทัพของเจ้าพระยามหินทรฯ เป็นทัพที่เฮฮามากกว่ากดดัน      เริ่มตั้งแต่ไปพักที่ท่าพระยาทศอยู่ยาวนาน    ก็พักกันอย่างบันเทิงเริงรมย์อยู่พักใหญ่  ดังที่เล่าเอาไว้แล้วในกระทู้นี้    ก็ขอทบทวนอีกครั้ง

        ข้างกองทัพยับยั้งฟังคดี      พร้อมอยู่ที่พระยาทศหมดด้วยกัน
เจ้าพระยาแม่ทัพบังคับการ               ซ้อมทหารกระบวนรบให้ขบขัน
ได้ฝึกสอนเช้าเย็นไม่เว้นวัน               ตั้งแต่นั้นเป็นคนสุขสนุกจริง
พวงหนุ่มหนุ่มกลุ้มเกรียวไปเที่ยวเล่น       ล้วนแต่เป็นเจ้าชู้เกี้ยวผู้หญิง
บ้างโกรธขึ้งหึงหวงเที่ยวช่วงชิง       แล้วค้อนติงพูดกระแทกที่แดกดัน
ด้วยลูกสาวลาวชุมหนุ่มหนุ่มเกี้ยว       บ้างก็เที่ยวหาอวดประกวดประขัน
บ้างสู่ขอเป็นเมียได้เสียกัน              แต่ตัวฉันไม่อยากเที่ยวไปเกี้ยวใคร

       จะเห็นได้ว่าทัพนี้ไม่เข้มงวดเรื่องระเบียบวินัย   หมดเวลาฝึกแล้วก็แล้วกัน      ไพร่พลหนุ่มๆก็ถูกปล่อยไปเที่ยวเล่นจีบผู้หญิงได้ตามสบาย  ขนาดไปสู่ขอสาวชาวบ้านมาเป็นเมียได้ ก็แสดงว่ามีเวลาว่างมากเอาการ      ขนาดนายทิมเองออกตัวว่าไม่ใช่คนเจ้าชู้  ก็ยังไม่วายมีแม่ค้าสาวมาทอดสะพานให้ถึงที่

       วันหนึ่งนางแม่ค้าเรือมาขาย      เฝ้ามาดหมายรักฉันจิตฟั่นเฝือ
อุตส่าห์หาเปรี้ยวหวานมาจานเจือ      ประหลาดเหลือแล้วเราเขาเอาจริง 

      การที่แม่ค้าสามารถเข้าถึงตัวหนุ่มคนสนิทของแม่ทัพ   ขนาดหาของกินมาเอาอกเอาใจได้ก็หมายความว่า การเข้าถึงไพร่พลในกองทัพทำได้ง่าย     ไม่มีระเบียบกวดขันในการเข้าออกอย่างการตั้งค่ายทหารทั่วไป    มิน่า  หนุ่มๆทั้งหลายถึงได้อยากอยู่กัน ไม่อยากจะเดินทัพต่อ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 85  เมื่อ 03 มิ.ย. 13, 20:48

        ทัพนี้มีรายการบันเทิงพิเศษอีกอย่างที่ทัพอื่นๆไม่น่าจะมี เพราะไม่เคยเห็นบันทึกไว้ในวรรณคดีเรื่องใด    คือเดินทัพโดยมีละครติดไปในกองทัพด้วย   เป็นละครชายเล่นเป็นทั้งตัวพระและตัวนาง     เรื่องที่เล่นก็คงเป็นเรื่องจักรๆวงศ์ๆ ที่เล่นกันอยู่ในโรงละครของท่านในเมืองหลวง     ตั้งค่ายที่ไหนท่านแม่ทัพก็สั่งให้ละครออกมาเล่นกันเป็นที่บันเทิง    เมื่อไปถึงโคราช เจ้าเมืองจัดงานโกนจุกหลาน   ท่านแม่ทัพก็จัดละครไปช่วยงาน    สมัยนั้นเป็นของโก้สำหรับชาวโคราชเหมือนเอาละครบรอดเวย์มาเล่นที่ศูนย์วัฒนธรรมในสมัยนี้     จึงได้เกิดเรื่องหม่อมของเจ้าเมืองลักลอบเป็นชู้กับหนุ่มในกองทัพ 
        เพราะฉะนั้นถ้าคิดว่านิราศหนองคายเป็นเรื่องบันทึกความยากแค้นของคนรากหญ้าสมัยรัชกาลที่ ๕ ในการเดินทัพ   ก็ต้องบอกต่อไปว่า เป็นเรื่องบันทึกความบันเทิงของรากหญ้าด้วยเช่นกัน   ซ้ำยังวุ่นวายไปถึงเจ้าเมืองอีกด้วย 

        การสอบสวนเรื่องหม่อมของเจ้าเมืองเกิดมีเสื้อผ้าทหารซุกอยู่ในห้อง   ทำให้เห็นอัธยาศัยอย่างหนึ่งของเจ้าพระยามหินทรฯ ว่าท่านคงจะเป็นผู้ที่มีเมตตาต่อไพร่พลมากจริงๆ สมกับที่นายทิมสรรเสริญไว้       เพราะท่านมิได้พลอยเกรี้ยวกราดตามเจ้าเมืองที่มาฟ้อง   สั่งหาตัวการ ลากตัวเอามาลงโทษเฆี่ยนหลังหรือประหารทันทีเพื่อเอาใจขุนนางผู้ใหญ่ในท้องถิ่น    ตรงกันข้าม ท่านกลับกลบเกลื่อนและไกล่เกลี่ยให้เรื่องระงับลงไปได้สำเร็จ
       อย่างที่สองคือ  เจ้าพระยามหินทรฯ น่าจะมีคุณสมบัติของนักรัฐศาสตร์มากกว่านักการทหาร  เพราะท่านไม่เคยใช้อาญาทัพกับทหารของท่าน     ตรงกันข้าม ท่านกลับชี้แจงว่า เห็นใจที่ไพร่พลเดินทางห่างบ้านมานาน  พลัดพรากจากเมีย ถ้าจะมามีเมียใหม่แถวนี้ก็ช่วยไม่ได้        ผู้หญิงก็เป็นใจหนีตามผู้ชายมาเอง    ถ้าคนของท่านไปลักพาบ่าวหรือทาสของใคร   เจ้าของมาฟ้องท่านก็จะชำระความให้  แต่ถ้าหนีตามมาเอง   ผู้หญิงเป็นทาสใครท่านก็จะไถ่ถอนออกเงินให้เป็นอิสระ    ถ้าเป็นลูกสาวใครหนีพ่อแม่ตามผู้ชายมาเอง  ก็สุดแต่พ่อแม่  ถ้ายกกันให้ได้ก็ยกกันไป      ถ้าคนของท่านเป็นคนพาลไปเที่ยวฉุดลูกสาวเขา ท่านจะชำระความให้ แต่ท่านก็บอกว่าคนของท่านไม่มีคนพาลแบบนั้น
       ฟังจากคำบอกเล่าของนายทิม   เจ้าพระยามหินทรฯน่าจะเป็นแม่ทัพที่ใจดีมาก    นอกจากไม่เข้มงวดกวดขันไม่ว่าเรื่องไหนแล้ว  หากทหารของท่านไปก่อเรื่องกับสาวๆชาวเมืองท่านก็ผ่อนหนักให้เป็นเบาเสียอีก      ถ้าคิดว่านิราศหนองคายเป็นเรื่องสะท้อนความลำเค็ญเรื่องไหนก็ตาม   ก็คงไม่ใช่เรื่องทหารผู้น้อยถูกผู้ใหญ่อย่างท่านแม่ทัพกดขี่เรื่องหนึ่งละ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 86  เมื่อ 05 มิ.ย. 13, 15:08

   คดีร้องเรียนของเจ้าเมืองโคราช เรื่องไปเจอหมวกกับเสื้อของทหารในห้องเมียน้อยท่านเจ้าเมือง    ดิฉันเชื่อว่าถ้าจะสืบกันจริงๆก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของเสื้อผ้าชุดนั้น     เพราะถึงสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องแบบ แต่เสื้อผ้าของนายทหารกับพลทหารก็แตกต่างกันอยู่ดี     ใช้คนสนิทไปสืบดูเดี๋ยวก็ได้ผู้ต้องหามาเอง
   พิจารณาจากแรงจูงใจ      เมียน้อยคนสวยของท่านเจ้าคุณโคราชก็นับว่าเป็นสาวไฮโซของเมือง  เธอคงไม่คิดจะลดตัวลงไปคบกับกิ๊กชั้นพลทหาร เล่นละครเป็นเสนาตัวประกอบกระจิบกระจอก           แต่น่าจะเป็นพระเอกละครหรืออย่างน้อยก็พระรองตัวสำคัญๆของละครกองทัพนั่นแหละ  ถึงจะสมน้ำสมเนื้อกัน   เพราะฉะนั้นผู้ต้องสงสัยเห็นจะมีไม่กี่คน  เผลอๆจะไม่เกินหนึ่งหรือสองที่เป็นตัวเอกของละครกองทัพ
   เจ้าพระยามหินทรฯคงดูออกข้อนี้ดี      ในเรื่องนี้ท่านไม่ให้ราคาผู้หญิงคนกลาง  เห็นว่าเป็นแค่นางวันทอง  ตัวท่านเทียบตัวเองว่าเป็นพระพันวษา     ในเมื่อเป็นพระพันวษาก็ต้องทำแบบพระพันวษาคือรักษาชีวิตทหารเอกอย่างขุนแผนเอาไว้    รองลงมาก็รักษาอดีตมหาดเล็กเจ้าสัวใหญ่เมืองสุพรรณอย่างขุนช้างไว้เช่นกัน      ส่วนผู้หญิงคนกลางไม่มีราคาอะไร  ไม่ต้องรักษา       ท่านก็เลยตัดบทกับพระยาโคราช โดยไม่คิดจะสืบหาเจ้าแมวขโมยที่ย่องไปตีท้ายครัวเจ้าเมือง     ของพรรค์นี้เรื่องอะไรท่านจะเอาตัวพระเอกดีๆของท่านไปให้โดนประหาร หรือโดนเฆี่ยนบอบช้ำเจียนตาย   เสียดายฝีมือเปล่าๆ
   ยังนึกเป็นห่วงหม่อมปลั่งเมียน้อยเจ้าคุณ    อีพุ่มผู้เป็นเมสเซนเจอร์ถือสารระหว่างเธอกับชายชู้ถูกอุ้มหายไปแล้ว  ชะตากรรมของหม่อมปลั่งก็ไม่น่าจะดีกว่าอีพุ่มมากน้อยเท่าไหร่      เสียดายนายทิมไม่ได้เอ่ยถึงไว้เลย     ส่วนขุนแผนในเรื่องนี้ เจ้านายปกป้องไว้ ก็คงจะลอยนวลกลับไปกรุงเทพพร้อมกับกองทัพ
บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 87  เมื่อ 05 มิ.ย. 13, 16:35

อ่านเรื่องความสนุกสนานสำราญเฮฮาของกองทัพเจ้าพระยามหินทรฯแล้วก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าถ้าท่านเจ้าคุณต้องไปเป็นแม่ทัพรับศึกใหญ่แบบไม่ใช่แค่ฮ่อ เช่นต้องไปรบกับกองทัพของชาติตะวันตก ญี่ปุ่น หรือทัพพม่าที่มีแม่ทัพใหญ่ๆ เก่งๆ หรือแม้แต่เป็นฮ่อที่เป็นกองทัพใหญ่ไม่ใช่กองโจร มีหวังเราคงได้เสียบ้านเสียเมืองเป็นแม่นมั่น 

เพราะดูแล้วทหารก็เกณฑ์ๆ กันมาากไพร่ของมูลนายต่างๆ ไม่ใช่ทหารอาชีพ การฝึกปรือก็คงตามมีตามเกิด  วินัยกองทัพก็เรียกได้ว่าน่าจะหย่อนยานกันมาก มีดีที่ขวัญอย่างเดียว แต่ถ้าไปรบกับกองทัพที่ฝึกฝนมาอย่างดี แค่โดนยิงปืนใหญ่ใส่เห็นทีทหารจะแตกหนีกันไปง่ายๆ แล้วกระมัง

อันนี้แค่เดาเฉยๆ ครับ 
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 88  เมื่อ 05 มิ.ย. 13, 17:07

     ความจริง ไทยเรามีการฝึกหัดทหารแบบฝรั่งมาตั้งแต่รัชกาลที่ 4   ในวังหน้า สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจ้างครูฝรั่งมาหัดทหารไทยกันอย่างจริงจังจนเสด็จสวรรคต  จากนั้นทหารวังหน้าก็โอนมาสังกัดวังหลวง    
      ในรัชกาลที่ 5   นิราศหนองคายมิได้พูดถึงทหารวังหน้าเลย   พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯเสด็จสวรรคตเมื่อพ.ศ. 2408  คือ 10 ปีก่อน   ก่อนหน้านั้นก็ประชวรอยู่อย่างน้อย 5 ปี  ทหารวังหน้าหนุ่มๆที่เคยฝึกอย่างมีระเบียบวินัยอาจจะเข้าวัยกลางคนกันไปหมดแล้ว   ไม่ได้ตามมาในทัพนี้อีก    หรือถ้ามาด้วยในฐานะหัวหน้าระดับนายกอง  ก็คงมีจำนวนน้อย    ทำหน้าที่ฝึกทหารซ้อมรบกันไปตามเรื่องเพราะมีพูดถึงในนิราศว่าตอนพักที่หาดพระยาทศก็ซ้อมรบกันเช้าเย็น      แต่พวกนี้คงจะดูแลกวดขันทหารเกณฑ์ซึ่งไร้ระเบียบวินัยไม่ไหว    ก็ต้องปล่อยๆกันไปบ้าง   ท่านแม่ทัพเองก็เน้นหนักไปทางบำรุงขวัญกองทัพมากกว่าฝึกการรบ  
   เมื่ออยู่ในโคราชนานเข้า  ทหารเกณฑ์ทั้งหลายเริ่มเซ็ง   ท่านจึงแก้ไขด้วยการจัดเล่นละคร
ฝ่ายว่าพณะหัวจอมพหล      เห็นไพร่พลไม่มีสุขสนุกสนาน
ล้วนง่วงเหงามิได้มีที่สำราญ      จึ่งคิดอ่านแก้ไขในปัญญา
จัดละครเล่นสนุกแก้ทุกข์ทน      เห็นไพร่พลพร้อมกันด้วยหรรษา
ต่างคนต่างแก้ทุกข์สนุกตา      บ้างเฮฮาเอิกเกริกเบิกสบาย

     ผลเป็นยังไงล่ะ

พวกละครตัวดีมีฝีมือ             ได้ฝึกปรือซ้อมประสมเล่นคมขึง
พวกสาวชาวโคราชหวาดคะนึง   เสียงกลองตึงเป็นต้องมาตั้งตาดู
ลางอนงค์จงภักดิ์รักละคร       มาหลับนอนตามยศไม่อดสู
พวกละครไม่อดอยากซึ่งหมากพลู      ล้วนจับคู่ได้เมียเสียทุกคน
พวกละครน้อยตัวไม่ทั่วสาว      ต่อยืดยาวทั้งกองทัพดูสับสน

ล้วนมีชู้คู่ทั่วทุกตัวตน               ผู้หญิงยลรักงามติดตามมา    
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 89  เมื่อ 05 มิ.ย. 13, 17:13

ละครชายของเจ้าพระยามหินทรมีจำนวนน้อยคน  ไม่พอจะจับคู่กับสาวๆชาวโคราชที่แห่กันมาทั้งเมือง  ก็เลยต้องส่งต่อให้ทหารทั้งกองทัพมาช่วยแบ่งเบาภาระ     บันทึกของนายทิมตอนนี้แสดงว่าไม่ต้องพูดกันแล้วเรื่องระเบียบวินัย     แม้ว่าค่ายทหารตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง แบ่งเป็นที่ทางแยกต่างหาก ไม่ปะปนอยู่ตามถิ่นชาวบ้านร้านตลาด     แต่ทหารก็คงเดินเข้าเดินออกได้ตามสบาย   หรือจะเปิดทางให้ผู้หญิงเข้าในค่ายก็ได้เช่นกัน   ถึงมีคำว่า "มาหลับนอนตามยศไม่อดสู"  คือสาวๆมากันเอง  ไล่เรียงกันตามลำดับยศตั้งแต่ผู้ใหญ่ถึงผู้น้อย    ถ้าหากว่าเป็นลูกสาวผู้ดีชาวโคราชก็คงมาหานายทหารสัญญาบัตร   ถ้าเป็นลูกสาวชาวบ้านก็มาหาหนุ่มประทวน
    มองเห็นภาพได้อีกอย่างว่า  ค่ายทหารจากกรุงเทพนี้คงเป็นค่ายเปิด  ใครจะเข้าจะออกขยิบตากับทหารยามเท่านั้นก็ผ่านไปมาได้ฉลุย
   ส่วนคำถามคุณประกอบ  ดิฉันก็เดาไม่ถูก    ถ้าหากว่าอาวุธฝ่ายเราเหนือกว่าศัตรูเช่นมีปืนใหญ่อย่างตอนปราบฮ่อครั้งหลังๆ ก็น่าจะได้เปรียบละมังคะ
 
   ส่วนความหนักใจตกอยู่กับเจ้าเมืองโคราช  เพราะต้องปวดหัว  คอยระวังมิให้กองทัพจากเมืองหลวงที่มิได้ไปตีฮ่อแล้วในตอนนั้น ดอดมาตีท้ายครัวได้สำเร็จ     

ข้างเจ้าเมืองโคราชให้หวาดไหว      กลัวบ่าวไพร่ลูกเมียจะเสียหาย
จะตามพวกกองทัพไปลับกาย      เกณฑ์ผู้ชายนั่งยามตามประตู
ตั้งระวังยิ่งยวดเป็นกวดขัน              ด้วยพวกกองทัพนั้นมาเที่ยวอยู่
จะลอบรักเมียน้อยคอยเล่นชู้              มิให้หมู่กองทัพลอบลับมา ฯ

   แต่ก็ไม่สำเร็จ เกิดคดีหม่อมปลั่งอย่างที่เล่ามาแล้วข้างบนนี้   
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.065 วินาที กับ 19 คำสั่ง