เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3] 4 5
  พิมพ์  
อ่าน: 32305 ผมได้อ่านเรื่องราวของจิตร ภูมิศักดิ์ มีเรื่องตอนนึงที่สงสัยเกี่ยวกับ CIA
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 19 เม.ย. 13, 13:46

อย่างจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ฝ่ายซ้ายเรียกเผด็จการ ผมได้ยินเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับท่านสมัยเรียนหนังสือเลยลองถามปู่ ปู่กลับบอกว่าชอบยุคจอมพลสฤษดิ์เพราะบ้านเมืองสงบดีโจรผู้ร้ายไม่มี ทำมาหากินสะดวก นี่เป็นมุมมองของพ่อค้าธรรมดานะครับ

คุณจิตรได้ประพันธ์บทกวี ชื่อว่า โคลงสรรเสริญเกียรติกรุงเทพมหานครยุคไทยพัฒนา วิจารณ์คนดีของคุณหนึ่งไว้อย่างได้เนื้อหาแลอรรถรส



เข้าไปอ่านโคลงแล้ว    ก็ไม่น่าแปลกที่จิตรจะรู้สึกเช่นนี้   เมื่อดูจากประวัติของเขา

จิตรถูกจับในข้อหา "สมคบกันกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายใน และภายนอกราชอาณาจักรและกระทำการเป็นคอมมิวนิสต์" เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2501 เขาถูกคุมขังอยู่จนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2507 จึงได้รับการปลดปล่อยและพ้นจากข้อหาของทางการ

ไม่แปลกเช่นกันที่คุณปู่ของคุณ one  รู้สึกอย่างที่บอกหลานชาย     ในฐานะประชาชนผู้ประกอบอาชีพสุจริต  มุ่งแต่ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว    ไม่มีบทบาทหน้าที่เกี่ยวกับกับการเมือง   มีชีวิตและทรัพย์สินปลอดภัยขึ้นจากการที่นักเลงอันธพาลผยองในยุคก่อนหน้านี้ ถูกกวาดเข้าคุกลาดยาวเสียหมด   ไม่ต้องกลัวว่าแถวๆที่อยู่จะถูกมือร้ายจุดไฟเผาเอาประกัน หรือล้มหนี้สินในช่วงก่อนตรุษจีน    ตอนกลางคืนไปไหนมาไหน รู้สึกปลอดภัยไม่ห่วงว่าจะถูกจี้ปล้น    คนเหล่านี้มักจะชอบจอมพลสฤษดิ์ ว่าทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย และไม่กดขี่ขัดขวางการทำมาหากินของประชาชน
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 19 เม.ย. 13, 14:02

คนเหล่านี้มักจะชอบจอมพลสฤษดิ์ ว่าทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย และไม่กดขี่ขัดขวางการทำมาหากินของประชาชน

คงเป็นทำนอง "คนไทยยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลโกง แต่ตนเองได้ประโยชน์ "

ทัศนคตินี้ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย ไม่เปลี่ยนแปลง

บันทึกการเข้า
spyrogira
อสุรผัด
*
ตอบ: 36


ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 19 เม.ย. 13, 14:11

คนเหล่านี้มักจะชอบจอมพลสฤษดิ์ ว่าทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย และไม่กดขี่ขัดขวางการทำมาหากินของประชาชน

คงเป็นทำนอง "คนไทยยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลโกง แต่ตนเองได้ประโยชน์ "

ทัศนคตินี้ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย ไม่เปลี่ยนแปลง



.. สังคมไทย สอนลูกสอนหลานว่า ... อย่าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น เด๋วเราจะเดือดร้อน .. . รูดซิบปาก
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 19 เม.ย. 13, 14:31

คนเหล่านี้มักจะชอบจอมพลสฤษดิ์ ว่าทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย และไม่กดขี่ขัดขวางการทำมาหากินของประชาชน

คงเป็นทำนอง "คนไทยยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลโกง แต่ตนเองได้ประโยชน์ "

ทัศนคตินี้ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย ไม่เปลี่ยนแปลง


ไม่ใช่นะคะคุณเพ็ญชมพู     
คนไทยในช่วงพ.ศ. 2500-2506  ไม่มีโอกาสรู้พฤติกรรมส่วนตัวของจอมพลสฤษดิ์เลย   เพราะหนังสือพิมพ์สมัยนั้นลงข่าวเรื่องการเมืองไม่ได้     ความเพิ่งมาแตกเรื่องอนุภรรยาจำนวนมากมายของจอมพลสฤษดิ์ ก็เมื่อนายกฯคนนี้ถึงแก่กรรม      แต่ยังไม่มีใครพูดเรื่องฉ้อโกง   
ข่าวแต่ละข่าวถูกขุดคุ้ยขึ้นมาเรื่อยๆ ในภายหลัง  แต่เรื่องคอรัปชั่นนั้นเป็นข่าวรอง  แทบไม่ได้ตีข่าวเลย  เรื่องส่วนตัวในฐานะ "จอมพลผ้าขะม้าแดง" เป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจมากกว่า
เพราะฉะนั้นจะเหมาว่า  คนไทยยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลโกง แต่ตนเองได้ประโยชน์  ในสมัยนั้นก็ไม่ถูก    ต้องเปลี่ยนเป็นว่า คนไทยยอมรับได้ถ้ารัฐบาลไม่ให้สิทธิ์ทางการเมือง  แต่ตนเองยังทำมาหากินได้ตามปกติ
สิ่งที่คนไทยกลัวที่สุดในสมัยนั้น ก็คือระบบคอมมูนในประเทศจีน      ซึ่งตรงกันข้ามกับการค้าเสรีที่เป็นอยู่ในประเทศไทย

แม้ว่าเปลี่ยนแปลงการปกครองมา 25 ปีแล้ว เมื่อจอมพลสฤษดิ์ขึ้นสู่อำนาจ     เราก็ได้อ่านจากกระทู้เก่าๆในเรือนไทยว่า ในทางปฏิบัติ  ตลอดเวลา 25 ปี   มีแต่การผลัดเปลี่ยนกันขึ้นครองอำนาจแบบรวบยอด  มีระบบรัฐสภาหรือที่เราเรียกว่าประชาธิปไตยคั่นอยู่เพียงชั่วสั้นๆ    ยังไม่ทันที่คนไทยจะมีเวลาหวงแหนสิทธิ์ผ่านทางผู้แทนของตน
คนไทยในสมัยนั้นจึงยังไม่รู้จักมักคุ้นว่า การได้สิทธิ์เสียงทางประชาธิปไตยมีความสำคัญอย่างไรกับตน
บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 19 เม.ย. 13, 16:51

สมัยนายสฤษดิ์เป็นใหญ่ นักข่าวไหนบังอาจขุดคุ้ยเรื่องเน่าๆ ถ้าโชคดีก็แค่โดนบุกทุบโรงพิมพ์ ถ้าโชคร้ายก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่กล้าคิด แต่โดยส่วนตัวผมให้เครดิตนายสฤษดิ์ว่าดีกว่านายแปลกนะครับ


อ้อ ปากกาเป็นอาวุธที่ทรงพลัง  อันนี้เป็นวาทกรรมที่เปรียบเปรยได้สวยหรูสมกับที่ออกมาจากพลังของปากกาจริงๆ  แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ปากกาไม่เคยทรงพลังเท่าปืนซักทีครับ ปืนทรงพลังมากกว่าเสมอมา โดยเฉพาะปืนในมือของผู้มีอำนาจที่เห็นแก่ตัวและไม่มีความละอายในการทำชั่ว


ไม่เชื่อศึกษาประวัติศาสตร์โลกได้เลย  ยิงฟันยิ้ม  ยิงฟันยิ้ม  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
เด็กชายน้อย
อสุรผัด
*
ตอบ: 15


ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 19 เม.ย. 13, 18:09

สมัยนายสฤษดิ์เป็นใหญ่ นักข่าวไหนบังอาจขุดคุ้ยเรื่องเน่าๆ ถ้าโชคดีก็แค่โดนบุกทุบโรงพิมพ์ ถ้าโชคร้ายก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่กล้าคิด แต่โดยส่วนตัวผมให้เครดิตนายสฤษดิ์ว่าดีกว่านายแปลกนะครับ


อ้อ ปากกาเป็นอาวุธที่ทรงพลัง  อันนี้เป็นวาทกรรมที่เปรียบเปรยได้สวยหรูสมกับที่ออกมาจากพลังของปากกาจริงๆ  แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ปากกาไม่เคยทรงพลังเท่าปืนซักทีครับ ปืนทรงพลังมากกว่าเสมอมา โดยเฉพาะปืนในมือของผู้มีอำนาจที่เห็นแก่ตัวและไม่มีความละอายในการทำชั่ว


ไม่เชื่อศึกษาประวัติศาสตร์โลกได้เลย  ยิงฟันยิ้ม  ยิงฟันยิ้ม  ยิงฟันยิ้ม
เห็นด้วยมากครับ ปากกาหรือจะไปสู้ปืน
บันทึกการเข้า
One
อสุรผัด
*
ตอบ: 10


ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 19 เม.ย. 13, 21:39

สมัยนายสฤษดิ์เป็นใหญ่ นักข่าวไหนบังอาจขุดคุ้ยเรื่องเน่าๆ ถ้าโชคดีก็แค่โดนบุกทุบโรงพิมพ์ ถ้าโชคร้ายก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่กล้าคิด แต่โดยส่วนตัวผมให้เครดิตนายสฤษดิ์ว่าดีกว่านายแปลกนะครับ


อ้อ ปากกาเป็นอาวุธที่ทรงพลัง  อันนี้เป็นวาทกรรมที่เปรียบเปรยได้สวยหรูสมกับที่ออกมาจากพลังของปากกาจริงๆ  แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ปากกาไม่เคยทรงพลังเท่าปืนซักทีครับ ปืนทรงพลังมากกว่าเสมอมา โดยเฉพาะปืนในมือของผู้มีอำนาจที่เห็นแก่ตัวและไม่มีความละอายในการทำชั่ว


ไม่เชื่อศึกษาประวัติศาสตร์โลกได้เลย  ยิงฟันยิ้ม  ยิงฟันยิ้ม  ยิงฟันยิ้ม
เห็นด้วยมากครับ ปากกาหรือจะไปสู้ปืน

สงครามเริ่มจากปากกาครับไม่ใช้ปืน แลบลิ้น

ผู้มีอำนาจสุดท้ายก็ตกจากอำนาจเพราะปากกา (สมองสั่งปืน ถ้าสมองที่รับเอาแนวคิดอุมการณ์ไม่สั่งปืนแล้วปืนจะมีความหมายอะไร?)

หรือถ้าตกจากอำนาจเพราะพ้ายสังขาร สุดท้ายก็โดนปากกาเขียนบันทึกด่าไล่หลังอยู่ดี
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 19 เม.ย. 13, 22:04

บางครั้งปากกาก็สยบอยู่ใต้อำนาจปืน (และอำนาจเงินด้วยกระมัง  ยิ้มเท่ห์ )  จนคุณจิตรต้องออกปากเตือน

ในฐานะคนหนังสือพิมพ์ จิตรเคยเตือนเพื่อนร่วมอาชีพให้ซื่้อสัตย์ต่อคนอ่านอย่าขายตัวให้นักการเมืองทุจริต ในบทกวี "วิญญาณหนังสือพิมพ์"

วิญญาณหนังสือพิมพ์       นั้นลุกโรจน์กระพือฮือ
หลอมลนด้วยเปลวบือ      จนเหลือคนที่ทนไฟ

ใครคนหนังสือพิมพ์         ที่ทระนงในนามไทย
มวลชนย่อมชมใจ           และชมชื่นในผลงาน

ใครคนหนังสือพิมพ์         ที่ทรยศอุดมการณ์
เสียงแช่งจะยาวนาน        เป็นเดนปากของปวงชน

ใครคนหนังสือพิมพ์         ที่ทระนงในนามคน
ชื่อเสียงจะคงทน            ดั่งรุ้งทาบนภา.....บา !

ใครคนหนังสือพิมพ์        ที่ขายตัวเพื่อเงินตรา
จารึกบนหนังหมา           ประจานนานถึงหลานเหลน

อาสูพวกกาฝาก             จะตายซากเป็นกากเดน
พื้นฐานนั้นโงนเงน          จะพังพับอยู่นับวัน

อาเพื่อน (ยังเรียกเพื่อน)   จะขอเตือนอีกครั้งครัน
อย่าด้านและดึงดัน          อย่าดื้อดึงจนเกินไกล

"เจ้าซื่อต่อคนคด            แต่ทรยศต่อคนไทย
ลูกหลานจะอายใจ           ที่มีพ่อเป็นคนทราม"

สูเอยประวัติศาสตร์          จะจารึกประจานนาม
ตัวอย่างแสดงความ         สกุลถ่อยแห่งกรุงไทย

ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย        ถ้าไร้อายก็ตามใจ
อย่ารอจนสายไป            จะครางอา....นิจจากู !

ด้วยความปรารถนาดีจากเพื่อนเก่า !


กวี ศรีสยาม
หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย
๑๕ สิงหาคม ๒๕๐๗

***********************************
"เจ้าซื่อต่อคนคด          แต่ทรยศต่อคนไทย
ลูกหลานจะอายใจ        ที่มีพ่อเป็นคนทราม"


คนคดในยุคนั้นของจิตร คือ สฤษดิ์ ธนะรัชต์

บันทึกการเข้า
เด็กชายน้อย
อสุรผัด
*
ตอบ: 15


ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 19 เม.ย. 13, 23:24

คุณจิตร บอกนักสือพิมพ์รวมๆ หรือ เจาะจงใครรึเปล่าครับ??
บันทึกการเข้า
One
อสุรผัด
*
ตอบ: 10


ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 20 เม.ย. 13, 00:40

ผมจะมาแก้ตัวแทนจอมพลสฤษดิ์ก็ใช้ที่เพราะความจริงท่านก็ไม่ใช้คนดีที่บริสุทธิ์อะไร (ผมยังไม่ได้เขียนซักคำว่าจอมพลสฤษดิ์เป็นคนดี? แล้วมาเป็นคนดีของผมได้ไงยังงง ฮืม) เพียงแต่ถ้าพูดกันอย่างยุติธรรมท่านก็สร้างผลงานให้บ้านให้เมืองพอสมควร ถึงแม้หลังเสียชีวิตชื่อเสียงจะป่นปี้จากเรื่องฉ้อฉล แต่หลายๆอย่างที่เป็นผลงานด้านดีก็ยังอยู่เช่น มหาวิทยาลัยเกษตร ถนนมิตรภาพ และสวัสดิการสำหรับคนยากไร้เพื่อการรักษาพยาบาล ฯลฯ

http://goo.gl/zsp75


บางทีอาจเพราะอิทธิพลของครูบาอาจารย์ของผมที่ท่านสอนผมว่าว่า "เวลารับฟังคำวิจารณ์จากใครให้ดูว่าเขามีการเสนอทางออกสำหรับปัญหาที่เขาวิจารณ์หรือไม่ ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องไปฟัง"  คำพูดนี้คุณครูมีข้อแม้ว่าปัญหานั้นหรือสิ่งที่เราตัดสินใจทำลงไปนั้นได้พิจารณาจนสุดปัญญาแล้ว  ท่านบอกว่าถ้าฟังคำวิจาณ์มากๆมันจะรกสมองจนไม่เป็นอันต้องทำอะไร

ผมเลยรู้สึกว่างานของคุณจิตรเป็นแค่วิจาณ์สังคม แต่ไม่ได้ชี้ทางออกว่าต้องทำอะไรเพื่อแก้ปัญหา? อย่างการด่ากราดเพื่อร่วมอาชีพว่าขายตัว(ผมไม่ชอบคนด่าแบบเหมารวมเป็นการส่วนตัว ถ้าจะด่าก็ให้ระบุนามไปเลยดีกว่า) แต่ไม่ลองมองอีกมุมว่านักหนังสือพิมพ์ท่านนั้นอาจมีอุดมการณ์แบบขวาก็ได้   เขาอาจรู้สึกว่า 10สฤษดิ์ก็ยังดีกว่า1ลัทธิคอมมิวนิสต์ เขาจึงยอมหนุน(คงคล้ายๆการเมืองยุคนี้ที่นักวิชาการดังๆออกตัวแรงหนุนคุณทักษิณเพราะเล็งผลบางอย่าง...)  อันนี้ผมไม่ได้แย้งว่าจอมพลสฤษดิ์ไม่เป็นเผด็จการปิดหนังสือพิมพ์ที่เห็นต่างนะครับ แต่ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าถ้าลัทธิคอมมิวนิสต์ชนะในตอนนั้นเขาจะทำยิ่งกว่าที่จอมพลสฤษดิ์ทำ เรียกว่าปืนกลัวปากกาครับ ถ้าไม่กลัวจะสั่งปิดหรือ  ยิ้มเท่ห์

ด้วยเหตุนี้แหละครับผมจึงไม่ค่อยจะฟังและไม่ค่อยชอบพวกที่วิจารณ์อย่างเดียวโดยไม่เสนออย่างเป็นรูปธรรมว่าปัญหาที่มีอยู่จะให้แก้ยังไง ยิงฟันยิ้ม


อนึ่งสำหรับนายกรัฐมนตรีที่ผมนับถือว่าเป็นคนดี เป็นแบบอย่างให้ปฎิบัติตนตามคือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ครับ
บันทึกการเข้า
spyrogira
อสุรผัด
*
ตอบ: 36


ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 20 เม.ย. 13, 11:12

มาช่วยอัพเดทเรื่องราวคุณจิตร  ... 

.. หยุดยาว 4 - 6 พค. 56 นี้ มีทริปบ้านหนองกุงครับ ...

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1366256133&grpid=01&catid=&subcatid= ....

บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 20 เม.ย. 13, 11:31

คุณอุดม สีสุวรรณ หรือนามปากกาว่า พ. เมืองชมพู อดีตกรมการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งคุ้นเคยกับคุณจิตรเมื่อทั้งคู่ถูกจับด้วยข้อหามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ภายหลังการรัฐประหารของสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่  ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ เล่าเรื่องคุณจิตรกับการยิงปืนว่า

ทีนี้จิตรแกก็ไม่ใช่นักยิงปืน แกไม่ใช่ทหาร พวกเราหลายคนไม่ใช่ทหาร ยิงออกไปก็ไม่ถูก ตาแกก็สั้น แว่นตาก็ต้องใส่ตลอด เข้าไปในนั้นผมไม่เห็นคุณจิตรไปฝึกยิงปืนที่ไหน มีไว้เฉย ๆ ไม่มีใครมีบทเรียนเรื่องยิงปืน พอมีเรื่องก็ไม่ได้โต้ตอบ เพราะสมัยนั้นปี ๐๙ แนวโน้มที่จะเอาการเมืองแก้ปัญหายังไม่มีเลย มันยิงทั้งนั้นเลย ไม่ใช่เฉพาะคุณจิตร ชาวบ้านก็ตายไปตั้งเท่าไหร่ มันซัดเสียทั้งนั้น กองป่ามันถึงได้ใหญ่โต หนีกันไปพึ่งป่า



คุ้นกับภาพคุณจิตรที่ใส่แว่นมากกว่า  

ข้างล่างเป็นรูปคุณจิตรในหน้าปกหนังสือของคุณแป๋ม สหายจาก พันทิป ยิ้มเท่ห์


บันทึกการเข้า
spyrogira
อสุรผัด
*
ตอบ: 36


ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 20 เม.ย. 13, 15:24

เพลงครับ ..

จากต้นฉบับที่แปรอุดมการณ์ไปรับใช้ทุนนิยมและอิสตรีเล็กๆ .. 5555+                ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม



http://www.youtube.com/watch?v=l-JToLPmroU&feature=youtu.be


ใส่วิดิโอไม่ได้ ..  เศร้า
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 21 เม.ย. 13, 09:56

ใบไม้ป่า

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

จากหนังสือเพียงความเคลื่อนไหว

ใบไม้ร่วงหนึ่งใบในราวป่า
ยังดีกว่าใบไม้เหลืองในเมืองหลวง
ที่รอปลิดหล่นเปล่าประโยชน์ปวง
เป็นด่างดวงดำเปื้อนในป่าคน

ใบไม้ป่าร่วงแล้วได้เลี้ยงป่า
ทิ้งลงมาเลี้ยงรากเลี้ยงลำต้น
เหมือนแม่ให้นมลูกปลูกฝังจน
ลูกเติบตนโตแทนเต็มแผ่นดิน

เมื่อเมืองคนคั่งคับด้วยคนป่า
คนดีก็ด้อยค่าเหมือนกรวดหิน
เมื่อสัตว์ป่าสร้างป่าไว้หากิน
สัตว์เมืองก็ต้องสิ้นวิสัยเมือง

ใบไม้ป่าชื่อ จิตร ภูมิศักดิ์
ได้ร่วงแล้วลงเป็นหลักให้โลกเลื่อง
ดั่งเทียนป่าปลุกแสงขึ้นแรงเรือง
ไม่เปล่าเปลืองลมปราณที่ต้านลม

ลมประสานเสียงแคนว่าแค่นแค้น
เปิบข้าวทุกคราวแค่นความขื่นขม
เหงื่อกูรินตากูแล้งน้ำแห้งตรม
ร่างกูซมซานไข้จนเขียวคาว

เสียงปืนดังเปรี้ยงกว่าเสียงปาก
ก็ปิดฉากชีวิตมืดมิดหนาว
แต่วิญญาณคือทิพย์ที่ยืนยาว
ดั่งดวงดาวยิ่งดึกยิ่งดื่นตา

กาลเวลาฆ่าจิตร ภูมิศักดิ์
กาลเวลาก็ตระหนักประจักษ์ค่า
กาลเวลาฆ่าคนดีทุกทีมา
แต่เวลาก็ทูนเทิดเชิดคนดี

ใบไม้ร่วงหนึ่งใบในราวป่า
เพื่อแตกมาเป็นใบใหม่ในทุกที่
จิตรหนึ่งดวงดับไปในวันนี้
เพื่อจะมีจิตรใหม่มากมายดวง

ถ้าสัตว์เมืองสร้างเมืองเป็นป่าได้
เราก็เหมือนใบไม้เหลืองในเมืองหลวง
ที่โหยหาป่าเขาเปลี่ยวเปล่าปวง
จิตรจะร่วงลงทั้งป่าเข้ามาเมือง



บันทึกการเข้า
chupong
พาลี
****
ตอบ: 319


ความคิดเห็นที่ 44  เมื่อ 21 เม.ย. 13, 16:56

เรียนท่านอาจารย์เทาชมพู แหละท่านสมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิ ณ เรือนไทยทุกท่านครับ

   เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๘ ผมเคยเขียนกาพย์ยานีชิ้นหนึ่ง ให้ชื่อว่า “แด่ท่านจิตร ภูมิศักดิ์” และปรับปรุงเนื้อหาเพิ่มเติมใน พ.ศ. ๒๕๕๒ ขอสารภาพ ณ ตรงนี้เลยครับ ว่า แท้จริง ผมศรัทธาท่านจิตร ภูมิศักดิ์ ก็ตรงความอัจฉริยะรอบด้าน ส่วนเรื่องอุดมการณ์ฝ่ายซ้าย (ซึ่งผมเชื่อว่าท่านจิตร “ซ้ายจัด) นั่น ผมไม่เชื่อถือเอาเสียเลยครับ ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิต พ.ศ. ๒๕๕๓ ผมได้ข้อคิดอะไรเพิ่มเติมมาหลายข้อ ผลสรุปก็คือ “อุดมการณ์” แท้แล้วเป็นเพียงเสาวพจน์งดงามเท่านั้น
จากข้อเขียน คำให้สัมภาษณ์ของอดีตสมาชิก พคท. บางท่าน ที่เข้าร่วมต่อสู้กับอำนาจรัฐ ภายหลัง ๖ ตุลาคม พ.ษ. ๒๕๑๙ ถึงกับระบุว่า หนีเผด็จการณ์ทหาร เพียงเพื่อจะไปพบกับเผด็จการใน พคท.
เข้าทำนอง หนีเสือปะจระเข้แท้ๆ ใน พคท. ก็มีระบบชนชั้น ใช่จะเสมอภาคดั่งเคยคิดไม่ ผมระแวงถึงขนาด พคท. นั่นแหละครับ ยืมมือเจ้าหน้าที่รัฐ ฆ่าท่านจิตร ทำไมต้องฆ่า คำตอบคือ ราชสีห์ระดับมันสมอง จะอยู่ร่วมถ้ำเดียวกันหลายตัวได้ฉันใด คนปัญญาเฉียบแหลมอย่าง “สหายปรีชา” เมื่อเข้าสู่ พคท. ทางพรรคฯ น่าจะรีบตะครุบ แต่ก็กลับปล่อยค้างไว้ ไม่รับเข้าร่วมในบัดดล ทั้งๆเคยใช้ประโยชน์จากมันสมองของท่านผู้นี้ (จะโดยคำสั่งลับ หรือจะด้วยอะไรก็ตาม ผลงานของท่านจิตรฯ เข้าทาง พคท. มาตั้งนานแล้ว)
แม้ท่านอัสนี พลจันทร (สหายไฟ) ยื่นความจำนงต่อพรรคฯ ให้สหายปรีชาไปช่วยงานที่จีน (ปราชญ์ย่อมรู้เชิงปราชญ์) แหละสหายปรีชาขอผัดผ่อน ทางพรรคฯ แทนที่จะใช้คำสั่งเด็ดขาด กลับอ่อนโอนอนุโลม ให้สหายปรีชาไปปลุกระดมมวลชน ซึ่งเสี่ยงต่อการพบเห็นของเจ้าหน้าที่รัฐฯ ยิ่งยวด ภายหลัง “สหายปรีชา” สิ้นชีวิตนั่นต่างหาก พคท. จึงยกขึ้นมาเทิดทูน เพื่อหวังปลุกกระแสมวลชนคนหนุ่มสาวในเมือง คิดแล้วก็คุ้ม เสียฟืนท่อนใหญ่ไปหนึ่งท่อน แลกกับการจุดไฟคุโพลงพลามลามไหม้ต่อเนื่อง

   เขียนแค่นี้ดีกว่าครับ เพราะผมยังห่วงสวัสดิภาพตนเองอยู่ เอาเป็นว่า ขอจบท้ายด้วยกาพย์ฝีมือเลวๆซึ่งผมเขียนไว้ก็แล้วกันครับ

แด่ท่านจิตร ภูมิศักดิ์

   “เปิบข้าวทุกคราวคำ (ก)
จงสูจำเป็นอาจิณ
เหงื่อกูที่สูกิน
จึงก่อเกิดมาเป็นคน”

   อ่านคำทุกคราวคำ
จงสูจำซึ่งความจน-
ผองทาสผู้ทุกข์ทน
โศกขื่นถมสังคมไทย

   “จิตร ภูมิศักดิ์” พ่อ
เจตน์จดจ่อจากจริงใจ
เกียรติเชิดหวังเกิดชัย
มวลชนชัดจำรัสฉาน

   คำคิดท่านขีดเขียน
คือคำเธียรคงทนทาน
เตือนนามเป็นตำนาน
อันแตกหน่อในธรณิน

   “ฟ้าลวกด้วยเปลวเลือด (ข)
ระอุเดือดทั้งแดนดิน
วอดวายทุกชีวิน
แต่คนยังจะหยัดยืน”

   ปวงคนย่อมเปี่ยมค่า
ใช่สัตว์ป่าสังเวยปืน
เปลวไฟจากปวงฟืน
จักฟูมฟ้าเจิดเฟื่องฟู

   แล้วคนก็ลุกขึ้น
ตระหนักตื่นขึ้นพันตู
ผองพาลอันพล่านภูว์
ต้องพ่ายแพ้ประชาพล

   อ่านคำทุกคราวคำ
จงสูทำอย่างสู้ทน
เจนนำ อย่าจำนน
ต่อหนามไหน่ในธานี

   “ฟ้ามืดเมื่อมีได้ (ข))
ก็ฟ้าใหม่ย่อมคงมี”
คำ “จิตร” พิจิตรพจี
ตรูตราจิต ตรึงติดใจ

   “แก้กฎที่เดือดดุ (ค)
ที่พังผุเป็นพิษภัย
ท่าวรื้อด้วยมือไทย
และสร้างกฎขึ้นทดแทน

   กฎใหม่อำไพผ่อง
จะทาบทองแก่ด้าวแดน
สังคมที่คลอนแคลน
จะมั่นคงไร้วงทราม

   แก้ชีพใช่ที่โชค
หากแก้โลกให้งดงาม
สังคมที่คุกคาม
ต้องมือคนสิกู้คืน

   สังคมนี้กินคน
อย่าหลงกลให้กินกลืน
กำหมัดหยัดกายยืน
ยืนหยัดสู้...กู้โลกา”

(ร่างเดิม พ.ศ. ๒๕๔๘ เสริมแต่ง พ.ศ. ๒๕๕๒)

หมายเหตุ

๑.   กาพย์ยานีในเครื่องหมายอัญประกาศนั้น ผมคัดตัดตอนบางช่วงจากบทกวีของ “ท่านจิตร ภูมิศักดิ์” มา ดังมีรายนามผลงานต่อไปนี้ครับ

ก.   วิญญาณหนังสือพิมพ์ (คำเตือนจากเพื่อนเก่าอีกหน)
ข.   โคลงสรรเสริญเกียรติกรุงเทพมหานครยุคไทยพัฒนา (ตอนที่ ๑)
ค.   เสียงแผ่นดิน (ตอนที่ ๘)

๒.   ผมนำงานชิ้นนี้มาแก้ไข เพื่อจะใช้สำหรับวันครบรอบแปดสิบปีชาตกาล “ท่านจิตร ภูมิศักดิ์” ครับผม


 
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.066 วินาที กับ 20 คำสั่ง