อ่านๆไปก็อดเหนื่อยใจกับพวกสองแก๊งค์นี้ไม่ได้ เลยทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า สมัยพุทธกาล ไม่มีการจับพระภิกษุสึกเลยหรือไร เพราะสองแก๊งค์นี้น่าจะโดนจับสึกไปนานแล้ว ข้อหาก่อเรื่องไม่ได้หยุด
เลยนึกสงสัยว่าสมัยพุทธกาล คงไม่มีการจับพระภิกษุสึกละกระมัง หรือมีแต่ไม่ได้บันทึกไว้

ทั้งนี้ไม่รวมผู้ที่สมัครใจสึกออกไปด้วยเหตุผลส่วนตัวนะคะ
มีผลงานอัปยศของพระภิกษุฉัพพัคคีย์อีกเรื่องที่ดิฉันอ่านเจอ แต่ไม่เข้าใจ เป็นเรื่องพระเสพสุราในสมัยพุทธกาล ต้องอาบัติสถานเบาคืออาบัติปาจิตตีย์เท่านั้น
ดังที่พระไตรปิฎกบันทึกไว้ว่า ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่โฆสิตาราม ในเมืองโกสัมพี ทรงปรารภพระสาคตะเถระเรื่องดื่มสุรา เรื่องมีอยู่ว่า พระสาคตะเถระได้ปราบนาคของพวกชฏิลได้ ทำให้ชาวบ้านดีใจ ปรึกษากันว่าจะถวายอะไรดีที่เป็นสิ่งของหาได้ยาก พระภิกษุฉัพพัคคีย์ก็ออกโรง แนะให้ถวายเหล้าใสสีแดงดั่งเท้านกพิราบ ชาวบ้านจึงเตรียมเหล้าแดงไว้ และถวายให้พระสาคตะดื่ม ทำให้พระสาคตะเกิดความเมามายไม่ได้สติ หลับฟุบอยู่ที่ประตูเมือง
พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุดื่มสุรา (น้ำเมาที่กลั่น) และเมรัย (น้ำเมาที่หมักหรือดอง) ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด ทำให้คณะสงฆ์ ได้กำหนดเป็นโทษทางพระธรรมวินัย เกี่ยวกับการดื่มสุราของพระภิกษุ-สามเณร
จริงๆแล้วการดื่มน้ำเมาเป็นการผิดศีลห้า ซึ่งเป็นศีลของฆราวาสชาวพุทธ พระภิกษุต้องรู้อยู่แล้วว่าฉันไม่ได้ ทำไมในตอนนี้ทำเหมือนไม่รู้เลยว่าดื่มไม่ได้ ที่จริงน่าจะมีบัญญัติแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ
ขออนุญาต นำแนวคิดเรื่องทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยช้า ดังนี้ครับ
"....
.ศีลนั้นบัญญัติขึ้นในพรรษาที่ ๒๑ ของพระพุทธเจ้า เพราะว่าช่วง ๒๐ ปีแรกนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นพระอริยเจ้าทั้งหมด ท่านรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร แต่พอระยะหลังการบวชแพร่หลายไปเรื่อย ๆ จากการประทานเอหิภิกขุ คือ พระพุทธเจ้าบวชให้ด้วยพระองค์เอง ก็กลายเป็นให้สงฆ์บวชด้วยญัตติจตุตถกรรม บุคคลที่บวชเข้ามาเป็นปุถุชนเสียเยอะ ก็เลยมีผิดพลาดขึ้นมา ต้องเริ่มบัญญัติศีลไล่ไปเรื่อย พระพุทธเจ้าประกาศศาสนา ๔๕ ปี ช่วง ๒๕ ปีหลัง คณะสงฆ์เริ่มมีปัญหามากขึ้น เพราะคนร้อยพ่อพันแม่เริ่มเข้ามาบวชด้วยกัน ต้องมีข้อห้ามอย่างนั้น ข้อห้ามอย่างนี้ โดยเฉพาะภิกษุที่เขาเรียก ฉัพพัคคีย์ ก็คือ พวก ๖
พระภิกษุพวก ๖ นี่สุดยอดมนุษย์เลย มีพระปัณฑุกะ พระโลหิตกะ พระเมตติยะ พระภุมมชกะ พระอัสสชิ พระปุนัพพสุกะ ท่านทั้ง ๖ นี้ เวลาจะทำอะไรมีการวางแผนชนิดยอดเยี่ยมมาก คำนวณเลยว่า เมืองสาวัตถีนี้ประกอบไปด้วยสองล้านครอบครัว มีมหาเศรษฐีมาก บวชแล้วเราควรจะไปอยู่ที่นั่น พอ ๖ คนบวชด้วยกันแล้วแยกกันไปอยู่คนละทิศละทาง แล้วก็ก่อปัญหาสารพัด
แต่คราวนี้เวลาเขาจะทำอะไร เขาทำในแบบที่ว่าไปไม่ล้ำเส้น เรื่องไหนที่ไม่ห้ามเขาทำ...พอห้ามเมื่อไรก็หยุด พระฉัพพัคคีย์และพระโลลุทายีเป็นต้นกำเนิดศีลเกือบ ๒๒๗ ข้อ ต้องบอกว่าเป็นบุญคุณของท่านจริง ๆ...ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีศีลขนาดนั้น เพราะท่านทำทุกเรื่อง เราอ่านประวัติไปก็เครียดแทน
ลองมานึกว่าถ้าเราเป็นพระพุทธเจ้า แล้วมีลูกศิษย์ประเภทหาเรื่องให้ทุกวัน แล้วไม่ใช่ใกล้ ๆ นะ เทียบแล้วกิฏาคีรีชนบทก็ประมาณสุไหงโกลก ส่วนพระพุทธเจ้าอยู่กรุงเทพฯ แล้วเขาก่อเรื่องที่นั่น พระองค์ก็ต้องตามไปสอบสวนกัน