เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 4 5 [6]
  พิมพ์  
อ่าน: 17321 แก๊งแสบกับแก๊งโจ๋ ในวงการสงฆ์สมัยพุทธกาล
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 75  เมื่อ 15 มี.ค. 13, 10:16

เอ้า ถ้าอย่างนั้น เอาเรื่องจริงไปประจานใครก็ไม่เป็นไรน่ะซี เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงห้าม

ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช

ภิกษุฉัพพัคคีย์ทะเลาะกับพระอุปนนทะ ศากยบุตร เลยแกล้งประจานพระอุปนนทะ กับพวกอุบาสก ที่กำลังเลี้ยงพระว่า พระอุปนนทะต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน (ผู้มิได้เป็นภิกษุ หรือภิกษุณี) ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ได้รับสมมติ


ตามประมวลกฎหมายอาญาในคดีเกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นประมาท เอาเรื่องจริงของเขามาโพนทะนาให้เขาเสียหายก็ติดคุกได้นะครับ  อย่างเบาะๆก็ถูกศาลท่านสั่งปรับแน่นอน อย่างน้อยๆก็หลายพันบาทอยู่เหมือนกัน
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 76  เมื่อ 15 มี.ค. 13, 10:33

เกี่ยวกับเรื่องข้อกฏหมายนี้ ฝรั่งมีแม่บทอยู่ข้อหนึ่งว่า "Ignorantia juris non excusat" กฏหมายไทยนำมาใช้โดยแปลว่า "ความไม่รู้กฎหมาย จะอ้างเป็นข้อแก้ตัวไม่ได้"
พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเรื่องทำนองเดียวกันนี้ก่อนฝรั่ง เพราะผลงานของแก๊งแสบ

ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์

ภิกษุฉัพพัคคีย์ประพฤติอนาจาร เมื่อฟังสวดปาฏิโมกข์ว่า ภิกษุไม่รู้ก็ต้องอาบัติ จึงกล่าวว่า เพิ่งรู้ว่าข้อความนี้มีในปาฏิโมกข์ (ทั้ง ๆ ที่ฟังมาแล้วไม่รู้ว่ากี่ครั้ง เป็นการแก้ตัว) พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้กล่าวแก้ตัวเช่นนั้น เป็นการปรับอาบัติในภิกษุ(ผู้แก้ตัวว่า)หลงลืม

บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 77  เมื่อ 15 มี.ค. 13, 10:47

สามข้อนี้ก็คล้ายกับกฎหมายแพ่ง เรื่องการมอบอำนาจให้บุคคลอื่นไปกระทำการแทนตน

ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน

ภิกษุฉัพพัคคีย์ให้ฉันทะในการประชุมทำกรรมของสงฆ์ แล้วกลับว่าติเตียนในภายหลัง พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุให้ฉันทะ(คือความพอใจหรือการมอบอำนาจให้สงฆ์ทำกรรมได้) เพื่อกรรมอันเป็นธรรม แล้วบ่นว่าในภายหลัง ต้องปาจิตตีย์

ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ

สงฆ์กำลังประชุมกันทำกรรมอยู่ ภิกษุฉัพพัคคีย์ให้ฉันทะแก่ภิกษุพวกตนรูปหนึ่งให้เข้าไปประชุมแทน ภายหลังภิกษุรูปนั้นไม่พอใจจึงลุกออกจากที่ประชุมทั้งที่มิได้ให้ฉันทะ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุไม่ให้ฉันทะ ลุกจากอาสนะหลีกไปในเมื่อถ้อยคำวินิจฉัยยังค้างอยู่ในสงฆ์ ต้องปาจิตตีย์
 
ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง
จีวรเกิดขึ้นแก่สงฆ์ สงฆ์ประชุมกันให้แก่พระทัพพมัลลบุตร ภิกษุฉัพพัคคีย์กลับว่าสงฆ์ให้จีวรเพราะชอบกัน ภิกษุทั้งหลายจึงติเตียนว่า ร่วมประชุมกับสงฆ์แล้ว ทำไมจึงมาพูดติเตียนในภายหลัง พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามทำเช่นนั้น ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด

บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 78  เมื่อ 15 มี.ค. 13, 10:49

จะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน
ภิกษุฉัพพัคคีย์เข้าสู่บ้านในเวลาวิกาล(เที่ยงแล้วไป) ชวนชาวบ้านพูดเรื่องไร้สาระ เป็นที่ติเตียนของคนทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามเข้าสู่บ้านในเวลาวิกาล ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด ภายหลังทรงผ่อนผันให้เข้าไปในบ้านในเวลาวิกาลได้ เมื่อบอกลาภิกษุที่มีอยู่ในวัดหรือในเมื่อมีกิจรีบด่วน

ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
ภิกษุฉัพพัคคีย์ทะเลาะกับภิกษุทั้งหลายแล้วไปแอบฟังความว่า ภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวตนอย่างไร พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า เมื่อภิกษุทั้งหลายทะเลาะวิวาทกัน ภิกษุแอบฟังความด้วยประสงค์จะทราบว่าภิกษุเหล่านั้นพูดว่าอย่างไร มุ่งเพียงเท่านั้น มิได้มุ่งเหตุอื่น ต้องปาจิตตีย์

 
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 79  เมื่อ 15 มี.ค. 13, 12:01

นอกจากที่นำมาเล่าไว้แล้วนี้ ยังมีศีลเกี่ยวกับภิกษุณีอีกสี่ห้าข้อที่แก๊งฉัพพัคคีย์กระทำพฤติกรรมอันไม่ควรไว้ จนพระพุทธเจ้าต้องทรงบัญญัติเป็นข้อห้าม แม้ในสมัยนี้จะไม่มีพระภิกษุณีแล้ว ศีลเหล่านี้รวมถึงข้ออื่นๆทีภิกษุองค์อื่นหรือกลุ่มอื่นประพฤติมิชอบต่อภิกษุณีด้วย ยังคงรวมอยู่ในศีล๒๒๗ข้อ ที่สงฆ์จะต้องทบทวนในวันกระทำปาฏิโมกข์ทุกเดือน

ห้ามใช้นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติทำความสะอาดขนเจียม

ภิกษุฉัพพัคคีย์(พวก ๖) ใช้นางภิกษุณีให้ซัก ให้ย้อม ให้สางขนเจียม ทำให้เสียการเรียน การสอบถาม และเสียข้อปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ชั้นสูง พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามใช้นางภิกษุณีที่มิใช่ญาติซัก, ย้อม, หรือสางขนเจียม ทรงปรับอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด


แสดงว่าขนเจียมนี้บำรุงรักษายุ่งยากจริงๆ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 80  เมื่อ 15 มี.ค. 13, 12:03

ข้อนี้ คงเป็นที่เข้าใจ

ห้ามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่

ภิกษุฉัพพัคคีย์เข้าไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่ นางภิกษุณีทั้งหลายติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่ ต้องปาจิตตีย์ ภายหลังทรงผ่อนผันให้เมื่อนางภิกษุณีเจ็บไข้
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 81  เมื่อ 15 มี.ค. 13, 12:06

ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย

ภิกษุฉัพพัคคีย์เห็นภิกษุอื่นๆสอนนางภิกษุณีแล้วได้ของถวายต่างๆ อยากจะมีลาภบ้าง จึงแจ้งความประสงค์แก่นางภิกษุณีทั้งหลาย เมื่อนางภิกษุณีไปสดับโอวาทก็สอนเพียงเล็กน้อย แล้วชวนสนทนาเรื่องไร้สาระโดยมาก พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุที่ไม่ได้รับสมมุติจากสงฆ์ สอนนางภิกษุณีต้องปาจิตตีย์


ข้อนี้เผยไต๋ที่ผมเคยตั้งข้อสงสัยพวกชาวแก๊งไว้ ว่าอยู่ๆก็อยากจะเที่ยวไปสอนธรรมะแก่ใครได้อย่างไร
ภายหลังที่ทรงห้ามและตั้งกฏเกณฑ์ข้างต้นไว้ ภิกษุฉัพพัคคีย์ก็นับนิ้วแล้วบอกว่า เรามีกัน๖คนก็ถือเป็นคณะสงฆ์ได้แล้วนี่นา คณะสงฆ์แก๊งนี้ก็เลยมอบอำนาจให้ชาวแก๊งคนนึงวันนี้ คนนึงวันโน้น ไปสอนภิกษุณีแล้วเอาของติดกัณฑ์เทศน์มาแบ่งกัน

พระพุทธเจ้าจึงทรงกำหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมสำหรับภิกษุที่จะสอนนางภิกษุณีถึง ๘ ข้อ โดยข้อสุดท้าย กำหนดว่าต้องให้เป็นพระภิกษุที่บวชมาแล้วถึง๒๐พรรษาหรือเกินกว่า จึงจะไปสอนพระภิกษุณีได้ ทำเอาชาวแก๊งหงายหลังผลึ่งเพราะคุณสมบัติไม่ผ่านสักองค์นึง
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 82  เมื่อ 15 มี.ค. 13, 12:09

เมื่อเมื่อตนไม่ได้สอน ก็ตั้งกองนินทาว่าร้ายพระภิกษุอาวุโสที่เข้าไปสอน อย่างนี้ก็เข้าข่ายหมิ่นประมาทเหมือนกัน

ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ
ภิกษุฉัพพัคคีย์กล่าวว่า พระเถระทั้งหลายสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุพูดว่า ภิกษุทั้งหลายสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส ต้องปาจิตตีย์ (ห้ามประจานกันเอง แม้เห็นแก่อามิสจริง ถ้าเที่ยวพูดไป ก็ต้องอาบัติทุกกฏ)
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 83  เมื่อ 15 มี.ค. 13, 12:15

การควรไม่ควรที่จะประพฤติปฏิบัติระหว่างชายหนุ่มหญิงสาว อันจะเป็นเชื้อให้เกิดข้าศึกแห่งพรหมจรรย์นั้น พระพุทธเจ้าจะทรงเข้มงวดต่อพระสาวกมาก ไม่ทรงเปิดโอกาสให้พญามารตั้งตัวได้เลย

ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี
ภิกษุฉัพพัคคีย์ชวนนางภิกษุณีเดินทางไกลร่วมกัน มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุชวนนางภิกษุณีเดินทางไกลร่วมกัน แม้ชั่วระยะบ้านหนึ่ง ต้องปาจิตตีย์ ภายหลังผ่อนผันให้เดินทางร่วมกันได้ เมื่อทางนั้นมีภัย ต้องไปเป็นคณะ

ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางร่วมเรือร่วมกัน
ภิกษุฉัพพัคคีย์ชวนนางภิกษุณีไปในเรือลำเดียวกัน มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุชวนนางภิกษุณีลงเรือลำเดียวกันขึ้นหรือล่อง ต้องปาจิตตีย์ ภายหลังทรงผ่อนผันให้ข้ามฟากได้
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 84  เมื่อ 15 มี.ค. 13, 14:36

ทั้งหมดที่นำมาเสนอนี้ อยู่ในพระไตรปิฎก หมวดมหาวิภังค์ ซึ่งกล่าวถึงมูลเหตุแห่งการบัญญัติพระวินัย รวมเป็นศีลทั้งหมด ๒๒๗ข้อ

ก่อนจะจบ อยากให้คิดนิดนึงว่า แสบทั้งหลายนั้นความเลวมีอยู่เยอะก็จริง แต่ท่านมีความดีอยู่อย่างสำคัญคือ ท่านเคารพเชื่อฟังพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าห้าม พวกท่านก็ไม่ทำผิดซ้ำ และพระพุทธองค์ก็มิได้ทรงห้ามเหมือนกันว่าอย่าไปทำอะไรพิเรนทร์อีกนะ คงจะให้พระพวกนี้สำรอกความเลวของปุถุชนออกมาให้หมด เพื่อที่จะได้ทรงบัญญัติศีลห้ามไว้สำหรับพระภิกษุในอนาคต

ผมคงจะนินทาภิกษุในแก๊งทั้งสองมาพอสมควรแล้ว หนักกว่านี้อาจเจอข้อหาหมิ่นประมาทได้เหมือนกัน จึงขอยุติเรื่องที่ได้พรรณามา ด้วยประ กา ร ฉ ะ นี้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 85  เมื่อ 16 มี.ค. 13, 22:11

ได้อ่านพระวินัยที่บัญญัติขึ้นมาเพราะพระฉัพพัคคีย์เป็นเหตุ    มีมากมายอ่านไม่หวัดไม่ไหว   จนเกิดความสงสัยว่าด้วยปริมาณขนาดนี้  พระฉัพพัคคีย์น่าจะขยันก่อเรื่องในอัตราถี่ยิบกว่าเด็กช่างกลตีคู่อริหลายเท่า   จนไม่น่ารอดจากถูกจับสึกไปได้  หรืออย่างน้อยก็ต้องถูกพระภิกษุด้วยกันบอยคอตเพราะเหลืออดเหลือทนกันเข้าบ้างละ  ถึงตรงนั้นท่านอาจจะสึกไปเองก็ได้ เพราะวัดก็ไม่เอา ชาวบ้านก็ไม่เลื่อมใส

ก็เลยคิดว่า เป็นไปได้ไหมที่ในหมวดส่วนที่เรียบเรียงขึ้นในระยะหลัง  คำว่าพระฉัพพัคคีย์ไม่ได้หมายถึงพระหัวโจกชุดเดิม   แต่หมายความรวมไปถึงพระที่ก่อปัญหาแบบหัวหมอ ทำนองเดียวกัน   เป็นเหตุให้ต้องบัญญัติพระวินัยขึ้นมากมายน่ะค่ะ

ขอขอบคุณท่านซายานวรัตนที่นำเรื่องหายากเช่นนี้มาเรียบเรียงเล่าสู่กันฟังค่ะ     ถ้าใครจะออกความเห็นเพิ่มก็เชิญนะคะ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.06 วินาที กับ 19 คำสั่ง