เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 12
  พิมพ์  
อ่าน: 109534 บ้านเศรษฐีสยามที่งามราวกับวังเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 75  เมื่อ 08 มี.ค. 13, 11:23

ธุรกิจที่ทำให้คนจีนในเมืองไทยร่ำรวยเป็นเถ้าแก่เป็นเจ้าสัวมากที่สุดก็คือการค้าข้าว ตั้งแต่เซอร์จอห์น บาวริ่งมาทะลายระบบผูกขาดการค้าข้าวของพระคลังหลวง ปริมาณการส่งออกข้าวจากเมืองไทยก็พุ่งกระฉูด เพราะพ่อค้ามีกำลังใจไปกว้านซื้อข้าวจากชาวนามาขายต่อกันเป็นทอดๆ จนถึงมือผู้ส่งออกตัวจริงที่รับซื้อในปริมาณไม่อั้น เมื่อการแข่งขันสูงขึ้น พ่อค้าข้าวเหล่านี้ก็ใช้วิธี “ตกข้าว” คือเอาเงินไปให้ผู้ขายก่อน เพื่อหวังว่าจะได้ความมั่นใจว่าตนจะได้ข้าวนั้นไปขายทำกำไรต่อ แน่นอนว่าเงินที่หมุนลงไปใช้ในแต่ละระดับ ตั้งแต่ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว สี่ปั๊ว โหงวป๊วย ฯลฯ จะเป็นเงินมหาศาลในแต่ละปี ใครมีเงินมากก็ไปตกเขียวได้มาก

ธุรกิจการธนาคารสมัยแรกเริ่มจะมีตัวสำคัญตำแหน่งหนึ่ง เรียกว่ากัมปะโด มาจากภาษาโปรตุเกตว่าcomprador ที่แปลว่านายหน้าในการซื้อขาย เดี๋ยวนี้เขาเรียกใหม่ว่าโบรคเกอร์ คงเพราะกัมปะโดทำประวัติไว้ไม่สู้จะดีกระมัง

ธนาคารที่ตั้งขึ้นใหม่ๆย่อมไม่รู้จักกลุ่มลูกค้า จึงต้องจ้างผู้กว้างขวางไว้จำนวนหนึ่งเพื่อหาลูกค้าชั้นดีให้ธนาคาร แต่เพื่อให้ความมั่นใจว่าจะไม่มีการซี้ซั้ว กัมปะโดจะต้องนำเงินของตนมาฝากธนาคารไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นการค้ำประกันหนี้ของผู้ที่กัมปะโดจะแนะนำมากู้เงิน ผลประโยชน์ของกัมปะโดนอกจากเงินเดือนที่พอเป็นค่าใช้จ่ายในการหาลูกค้าแล้ว ก็คือคอมมิชชั่นที่ธนาคารจะจ่ายให้จากวงเงินที่ที่นำลูกค้ามากู้ เป็นกอบเป็นกำมากกว่าเงินเดือนที่ได้รับมากกว่าธนาคารมาก

แรกๆอาจมีผู้กู้น้อยอยู่ และก็คงอยู่ในหมู่พรรคพวกพี่น้องที่กัมปะโดไว้ใจนั่นแหละ แต่คงไม่นานก็น่าจะมีผู้ต้องการกู้มากกว่าที่ธนาคารอยากจะปล่อย ตรงนี้ที่กลายเป็นกำปะโดฟาดสองต่อ คือได้เปอร์เซนต์จากธนาคารแล้ว ยังเรียกเอาจากผู้ขอกู้ด้วย แน่นอน ตรงนี้อาจจะต้องแบ่งให้คนอนุมัติด้วยก็ได้ คนที่กล้าสู้ต้นทุนของเงินกู้ที่สูงเช่นนี้ดูเหมือนจะมีแต่พวกพ่อค้าข้าวเท่านั้น

ตอนที่เศรษฐกิจดี อะไรก็ดีไปหมด ได้เงินไปดอกแพงโสหุ้ยแพงอย่างไรก็ไม่ว่า เอาไปตกเขียวชาวนาถูกๆยังไงก็มีกำไร เหมือนตลาดหุ้นตอนนี้ ไม่มีหุ้นตัวใดไม่ขึ้น แมงเม่าน้อยใหญ่ต่างตีปีกกันพั่บๆมีเรื่องโม้โอ้อวดกันทุกวันถึงกำไรจากการขายหุ้นตัวโน้น มาซื้อหุ้นตัวนี้
บัดเดี๋ยวเฮอะ ท่านผู้อ่านคอยติดตามดูเอาเองก็แล้วกัน


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 76  เมื่อ 08 มี.ค. 13, 11:34

และแล้ว สิ่งที่คิดว่าแน่นอนก็แสดงความไม่แน่นอน เมืองไทยเกิดฟ้าฝนไม่เป็นใจ ทำนาไม่ได้ผลสองสามปีติดต่อกัน พ่อค้าในวงจรค้าข้าวก็ถึงกับล้มเป็นขบวน ในช่วงแรกของวิกฤตที่ธนาคารไม่ได้เงินที่ปล่อยกู้ไปคืนทั้งต้นทั้งดอก จนเกิดมีการตรวจสอบ ตอนนี้พระสรรพาการก็ต้องออกไปนอนกุมหน้าอกที่บ้านแล้ว  แต่กว่าจะสุดช่วงวิกฤต ธนาคารล้มไปหลายแห่งทั้งในเมืองไทยและสิงคโปร์ สยามกัมมาจลเอง ถ้าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯไม่ทรงตัดสินพระทัยให้พระคลังข้างที่เข้าอุ้มไว้ ก็คงถึงกาลกิริยาไปเรียบร้อย
พระสรรพาการเองก็คงหมดปัญญาที่จะหาเงินมาใช้หนี้เพื่อไถ่ถอนจำนอง เพราะรายได้ไม่ว่าจะทางใดคงเหลือแต่ลมในกำมือ ในที่สุดก็ต้องยอมล้มละลาย และถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลว อ้าว เป็นหนี้แล้วไม่ใช้ก็ต้องเลวไว้ก่อนละ ถูกแล้วนี่

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯโดยส่วนพระองค์นั้น ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ซื้อทรัพย์สินขาดจำนองของธนาคารชิ้นสำคัญคือบ้านหิมพานต์พระสรรพการไปสร้างโรงพยาบาลวชิระเป็นพระราชกุศล ก็พลอยเป็นว่า หนี้ของพระสรรพาการได้ถูกปลดเปลื้องไปก้อนใหญ่ อาจจะครอบคลุมมูลหนี้ด้วยซ้ำไป ถ้าเป็นตามสมมติฐานนี้ พระสรรพการก็หมดหนี้ สามารถยื่นคำร้องต่อศาลขอคืนสภาพกลับเป็นบุคคลธรรมดาตามกฎหมายได้

มองในอีกด้านหนึ่งที่ไม่ใช่ในฐานะนายธนาคาร แต่ในฐานะนักธุรกิจแล้ว บุคคลที่ต่อสู้ ล้มแล้วลุกขึ้น ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หนก็ตาม ถ้าตอนจบยังคงยืนหยัดได้อยู่ ถือเป็นบุคคลที่ควรสรรเสริญมิควรถูกเย้ยหยัน

ในที่สุด หากพระสรรพการสามารถเปลี่ยนอาชีพเป็นอัยการจริง และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์คืน ผมถือว่าท่านได้เรียกศักดิ์ศรีของตนและวงศ์ตระกูลคืนมาแล้ว


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 77  เมื่อ 08 มี.ค. 13, 12:46

แต่สงสัยยังจบเรื่องนี้ไม่ได้ครับ ผมยังติดใจอยู่เรื่องสองเรื่อง

เรื่องแรก
คำทำนายฝัน : ประมวลตามความเชื่อตามคติของชาวบ้าน / โดย อำมาตย์โท พระอรรถวสิษฐ์สุธี (เชย อิศรภักดี) ซึ่งเรียบเรียงไว้เมื่อ พ.ศ. 2467

คนที่เคยเป็นนายธนาคาร และ(อาจเป็น)อัยการด้วย มาเขียนเรื่องทำนายฝันไว้ประหนึ่งจะฝากไว้เป็นตำรา
แหม อยากรู้จริง ท่านเคยฝันอะไรไว้บ้าง แล้วมันออกหัวออกก้อยตามที่ท่านฝันหรือเปล่า

เรื่องที่สอง
ท่านระบุว่า ท่าน-ที่อำมาตย์โท พระอรรถวสิษฐ์สุธี เขียนเมื่อ ๑ ตุลาคมพ.ศ. ๒๔๖๗ ที่บ้านอิศรภักดี สามเสน พระนคร มันกำกวมอยู่ไม่ชัดเจนว่าท่านยังอยากให้คนอ่านเข้าใจว่าท่านเป็นเจ้าของบ้านหิมพานต์อยู่ หรือบอกว่าท่านยังพักอาศัยอยู่แถวๆบ้านเดิมนี่แหละ ในขณะที่ลูกชายระบุว่า “ผมเกิด(พ.ศ. ๒๔๖๖) ที่บ้านเลขที่๘๒๒ ปากตรอกวัดบรมนิวาส บ้านนี้เป็นบ้านคุณย่า”
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 78  เมื่อ 08 มี.ค. 13, 14:45

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯโดยส่วนพระองค์นั้น ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ซื้อทรัพย์สินขาดจำนองของธนาคารชิ้นสำคัญคือบ้านหิมพานต์พระสรรพการไปสร้างโรงพยาบาลวชิระเป็นพระราชกุศล ก็พลอยเป็นว่า หนี้ของพระสรรพาการได้ถูกปลดเปลื้องไปก้อนใหญ่ อาจจะครอบคลุมมูลหนี้ด้วยซ้ำไป ถ้าเป็นตามสมมติฐานนี้ พระสรรพการก็หมดหนี้ สามารถยื่นคำร้องต่อศาลขอคืนสภาพกลับเป็นบุคคลธรรมดาตามกฎหมายได้



คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ

คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 79  เมื่อ 08 มี.ค. 13, 14:56

มีโรงพยาบาลสามเสน แถวนี้มาก่อน

"ยุบโรงพยาบาลสามเสนมารวมกับวชิรพยาบาล
ในขั้นดำริห์ที่จะจัดซื้อสถานที่นี้ ตามหลักฐานหนังสือจากศาลาว่าการนครบาลลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ ทูลเกล้า ฯ เรื่องตกลงซื้อสถานที่นี้กับแบงค์สยามกัมมาจลด้วยราคา ๒๔๐,๐๐๐ บาท นั้น มีการเสนอความเห็นว่านอกจากโรงพยาบาลนี้จะรับรักษาข้าราชการในราชสำนักแล้วจะรับรักษาราษฎรในตอนเหนือพระนครด้วย และควรเลิกโรงพยาบาลสามเสนที่มีอยู่เวลานั้น โดยยกมารวมกับโรงพยาบาลใหม่ (วชิรพยาบาล)พร้อมกับยกเงินพระคลังมหาสมบัติที่เคยอุดหนุนโรงพยาบาลสามเสนอยู่ปีละ ๗,๒๐๐ บาท นั้น มาช่วยพระคลังข้างที่ด้วย แสดงว่าในระยะเริ่มตั้งวชิรพยาบาลนั้น การเงินยังไม่สู้สดวกนักและได้อาศัยเงินจากพระคลังข้างที่มาเป็นค่าใช้จ่าย กระทรวงนครบาล (เจ้าพระยายมราช) จึงทูลเกล้า ฯ ถวายความเห็นเสนอให้รวมโรงพยาบาล และโอนเงินงบประมาณของโรงพยาบาลสามเสนมาใช้ในวชิรพยาบาล"

http://www.vajira.ac.th/php/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=26
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 80  เมื่อ 08 มี.ค. 13, 15:11

ถูกปลดหนี้ได้อย่างไร  ฮืม

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯโดยส่วนพระองค์นั้น ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ซื้อทรัพย์สินขาดจำนองของธนาคารชิ้นสำคัญคือบ้านหิมพานต์พระสรรพการไปสร้างโรงพยาบาลวชิระเป็นพระราชกุศล ก็พลอยเป็นว่า หนี้ของพระสรรพาการได้ถูกปลดเปลื้องไปก้อนใหญ่ อาจจะครอบคลุมมูลหนี้ด้วยซ้ำไป ถ้าเป็นตามสมมติฐานนี้ พระสรรพการก็หมดหนี้ สามารถยื่นคำร้องต่อศาลขอคืนสภาพกลับเป็นบุคคลธรรมดาตามกฎหมายได้

บ้านหิมพานต์ --- ถูกยึดตกเป็นทรัพย์สินของธนาคารสยามกัมมาจล ---- ธนาคารฯ ขายให้ทรัพยสินส่วนพระมหากษัตริย์ ดังนั้นเงินก็โอนมาเป็นของธนาคารสยามกัมมาจล  ฮืม ธนาคารคงได้เงินมากพอที่จะฟื้นตัวได้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับลูกหนี้แต่ประการใด
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 81  เมื่อ 08 มี.ค. 13, 15:51

แต่สงสัยยังจบเรื่องนี้ไม่ได้ครับ ผมยังติดใจอยู่เรื่องสองเรื่อง

เรื่องแรก
คำทำนายฝัน : ประมวลตามความเชื่อตามคติของชาวบ้าน / โดย อำมาตย์โท พระอรรถวสิษฐ์สุธี (เชย อิศรภักดี) ซึ่งเรียบเรียงไว้เมื่อ พ.ศ. 2467

คนที่เคยเป็นนายธนาคาร และ(อาจเป็น)อัยการด้วย มาเขียนเรื่องทำนายฝันไว้ประหนึ่งจะฝากไว้เป็นตำรา
แหม อยากรู้จริง ท่านเคยฝันอะไรไว้บ้าง แล้วมันออกหัวออกก้อยตามที่ท่านฝันหรือเปล่า

เห็นจะต้องจุดธูปจุดเทียนเชิญท่านมาเล่าให้ฟังกระมังคะ    ได้ความว่าไงช่วยกลับมาโพสต์บอกกันด้วย

เท่าที่บอกได้จากที่คุณเพ็ญชมพูนำมาลงให้ดูเป็นตัวอย่าง  ว่า
๑   คุณพระพระอรรถวสิษฐ์สุธี (เชย อิศรภักดี) เขียนกาพย์ฉบัง ๑๖  ถูกฉันทลักษณ์หมดเลย  แล้วยังบอกเสียอีกว่าแต่งตำราเรื่องนี้ขอใช้ภาษาง่ายๆ ไม่มีศัพท์แสง   เพื่อให้เข้าใจทั่วกัน   แสดงว่าถ้าแต่งอย่างมีศัพท์แสงท่านก็น่าจะแต่งได้เหมือนกัน

๒   ท่านบอกว่าไปค้นคว้าตำรับตำรามาหลายเล่ม  มาเรียบเรียงกันเข้า  ไม่ได้คิดเอง
     ข้าจึงเที่ยวค้นเที่ยวหา              ตำรับตำรา
   แล้วมาประมวลด้วยกัน

คุณพระฯน่าจะสนใจเรื่องโหราศาสตร์อยู่ไม่น้อย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 82  เมื่อ 08 มี.ค. 13, 15:58


เรื่องที่สอง
ท่านระบุว่า ท่าน-ที่อำมาตย์โท พระอรรถวสิษฐ์สุธี เขียนเมื่อ ๑ ตุลาคมพ.ศ. ๒๔๖๗ ที่บ้านอิศรภักดี สามเสน พระนคร มันกำกวมอยู่ไม่ชัดเจนว่าท่านยังอยากให้คนอ่านเข้าใจว่าท่านเป็นเจ้าของบ้านหิมพานต์อยู่ หรือบอกว่าท่านยังพักอาศัยอยู่แถวๆบ้านเดิมนี่แหละ ในขณะที่ลูกชายระบุว่า “ผมเกิด(พ.ศ. ๒๔๖๖) ที่บ้านเลขที่๘๒๒ ปากตรอกวัดบรมนิวาส บ้านนี้เป็นบ้านคุณย่า”


ข้อความนี้แสดงว่าคุณพระอรรถวสิษฐ์สุธีท่านมีบ้านอีกหลังหนึ่งที่ถนนสามเสน   ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในบ้านหิมพานต์ที่ถูกแบงค์ยึดไป    ชื่อว่าบ้านอิศรภักดี    ท่านยังคงอยู่บ้านนี้ เมื่อท่านได้กลับเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ส่วนศ.ทันตแพทย์สมบุตรชายของท่านเกิดที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ปากตรอกวัดบรมนิวาส  ซึ่งเป็นบ้านของคุณย่า มารดาของคุณพระ

ถ้าถามว่าทำไมพ่อลูกอยู่กันคนละบ้าน   นวรัตนดอทซีตอบโจทย์ไว้ให้แล้วก่อนหน้านี้ค่ะ



คุณย่ามีลูกห้าคน ลูกสาวเป็นคนสุดท้อง แต่งงานกับนายตำรวจ ตระกูล รังควรมีลูกชายคนเดียวก็เสียชีวิต อีกสี่คนเป็นลูกชาย แต่ละคนมีภรรยาหลายคนและ มีลูกครอบครัวละเกือบยี่สิบคน พ่อผมเป็นขอนามสกุลพระราชทาน ซึ่งในหลวงรัชกาลที่6 ประทานให้เป็น อิศรภักดี ดังนั้น ลูกหลานของคุณย่าทุกคนใช้นามสกุล อิศรภักดี ทำให้หลานๆ อีกจำนวนมากเป็น อิศรภักดีไปหมด สมัยคุณปู่ยังไม่มีนามสกุลใช้

บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 83  เมื่อ 08 มี.ค. 13, 16:03

แหม อยากรู้จริง ท่านเคยฝันอะไรไว้บ้าง แล้วมันออกหัวออกก้อยตามที่ท่านฝันหรือเปล่า

คำเตือนของนายธนาคาร-อัยการ นักทำนายฝัน

     ฝันใดตำราว่ารวย           อย่าเอออย่าอวย
คอยมั่งคอยมีดังทาย
     กิจการอาชีพทั้งหลาย      เร่งขวนเร่งขวาย
เร่งคิดเร่งค้ากำไร
     ฝันร้ายอย่างพึงตกใจ       ระวังระไว
คงเสื่อมคงคลายหายสูญ
     ประมาทอย่ามีเป็นมูล       คงเพิ่มคงพูน
ทั้งเงินทั้งทองลองดู

บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 84  เมื่อ 08 มี.ค. 13, 16:05

คำนำของผู้เรียบเรียง

อันตำราทำนายฝัน      มีมาแต่บรรพ์
เป็นแบบฉบับโหรทาย
คนไทยใครฝันบรรยาย เล่าเรื่องราวขยาย
ให้ญาติและสุมิตรฟัง
ผู้เฒ่าผู้แก่แต่หลัง       เชื่อถือจริงจัง
ว่าเทพแลภูตสังหรณ์
วิบัติวัฒนาถาวร          มักฝันเมื่อนอน
เมื่อหลับสนิทนิทรา
มีเหตเภทภัยบีฑา       สวัสดิรักษา
ย่อมแจ้งประจักษ์จริงใจ
ตำราทั้งเทศและไทย    ต่างฝ่ายต่างไข
ต่างเชื่อต่างถือทำนาย
จักดีจักชั่วทั้งหลาย      จักเป็นจักตาย
สุบินเป็นบทสำแดง
ด้วยเทพแลภูตแถลง    ดุจดังชี้แจง
บอกเหตุบอกลางร้ายดี
ใครฝันย่อมจริงมากมี     ตำราเป็นศรี
แก่เหย้าแก่เรือนเหมือนโหร
ดีกว่าทำนายโลนโลน    ทายอย่างโลดโผน
บ่ถูกบ่ต้องตำรา
ข้าฯจึงเที่ยวค้นเที่ยวหา  ตำรับตำรา
แล้วมาประมวลเข้ากัน
ใช้แต่ถ้อยคำสามัญ      ไม่เลือกไม่สรรค์
เอาศัพท์เอาแสงแซงลง
ทำนายทายกันตรงๆ      จำเพาะเจาะจง
ให้ชนทุกชั้นเข้าใจ
แต่ว่าข้าเจ้าขอไข        เตือนจิตเตือนใจ
อย่าลุ่มอย่าหลงงงวย
ฝันใดตำราว่ารวย         อย่าเอออย่าอวย
คอยมั่งคอยมีดังทาย
กิจการอาชีพทั้งหลาย   เร่งขวนเร่งขวาย
เร่งคิดเร่งค้ากำไร
ฝันร้ายอย่าพึงตกใจ      ระวังระไว
คงเสื่อมคงคลายหายสูญ
ประมาทอย่ามีเป็นมูล    คงเพิ่มคงพูน
ทั้งเงินทั้งทองลองดู
คำใดที่ไม่เสนาะหู       โปรดให้อภัยตู
ผู้เจตนาดีด้วยเทอญ

พระอรรถวิสิษฐ์สุธี
(เชย อิศรภักดี)

บ้านอิศรภักดี สามเสน พระนคร
วันที่๑ ตุลาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๗
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 85  เมื่อ 08 มี.ค. 13, 16:12

อ้างถึง
บ้านหิมพานต์ --- ถูกยึดตกเป็นทรัพย์สินของธนาคารสยามกัมมาจล ---- ธนาคารฯ ขายให้ทรัพยสินส่วนพระมหากษัตริย์ ดังนั้นเงินก็โอนมาเป็นของธนาคารสยามกัมมาจล   ธนาคารคงได้เงินมากพอที่จะฟื้นตัวได้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับลูกหนี้แต่ประการใด

ธนาคารคงได้เงินมากพอที่จะฟื้นตัวได้ นั้นถูกละ
และการที่ทรัพย์จำนองนั้นขายได้ นำมาใช้หนี้ของลูกหนี้(หมด) ลูกหนี้จึงพ้นความรับผิดต่อเจ้าหนี้

แต่หากการขายทรัพย์จำนองนั้น ได้เงินไม่พอกับหนี้ ลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ และต้องชดใช้แก่เจ้าหนี้ในส่วนที่ขาด

ผมเดาว่า เมื่อ๒๔๕๔ ธนาคารนำทรัพย์สินชิ้นนี้มาขายทอดตลาด คงหาคนซื้อไม่ได้ตามราคาที่ธนาคารต้องการขาย เพราะราคาสูงมากและบ้านเมืองยังอยู่ในสภาพเศรษฐกิจฝืดเคือง พระสรรพการจึงถูกฟ้องล้มละลายและถูกถอดยศ

แต่พอ๒๔๕๕ ธนาคารขายทรัพย์สินได้ หนี้ที่พระสรรพากรยังคงมีอยู่ ก็ถูกล้างหมดไป
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 86  เมื่อ 08 มี.ค. 13, 19:25

เพราะฉะนั้นถ้าหากว่านายเชย อิศรภักดีสอบได้เป็นเนติบัณฑิต สมัครเข้ารับราชการเป็นอัยการ    อธิบดีกรมอัยการเห็นว่ามีคุณสมบัติครบก็มีอำนาจแต่งตั้งได้    โดยมีเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้อนุมัติอีกชั้นหนึ่ง     
ก็น่าจะเป็นคำตอบได้ว่าเหตุใดคุณพระสรรพการฯจึงเกิดใหม่อีกครั้งในบรรดาศักดิ์คุณพระพระอรรถวสิษฐ์สุธี

จากหนังสืองานศพพระอรรถวสิษฐ์สุธี ปี ๒๕๑๓ กล่าวว่าท่านมีบุตรอยู่ ๒๐ ท่าน ซึ่งคุณพ่อมีรสนิยมสูงกว่าคนธรรมดา เครื่องแก้ว เครื่องถ้วยชามต้องมีตราประจำตัวประทับไว้ที่ถ้วยทุกใบ ซึ่งสั่งทำมาจากอังกฤษ รวมทั้งการรับประทานอาหารแบบฝรั่งมีมีด ส้อม เป็นเครื่องเงินอังกฤษด้วยทั้งสิ้น ท่านมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษจนแตกฉานจนพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งที่แบงก์สยามกัมมาจลด้วยความคล่อง

รสนิยมนั้นท่านเป็นนักสะสมตัวยง ห้องสมุดมีหนังสือนานาชนิด และสังคมชั้นสูงเล่นอะไร ท่านก็เล่นไปกับเขาด้วย ไม่ว่าจะเป็น ดอกหน้าวัว ไม้ดัด นกพิราบ พระพุทธรูป และการพักผ่อนก็มักจะไปหัวหิน และเตรียมอาหารดี ๆ ไปเช่น บรั่นดี แฮม เนยแข็ง ไปด้วย

หลังจากที่บ้านหิมพานต์ ป๊ากสามเสนได้ถูกยึดไปแล้ว รวมทั้งถูกถอดยศไปท่านก็ไปเอาดีด้านกฎหมายแทน โดยทั่วไปการเรียนเพื่อสอบกฏหมายใช้เวลา ๒ ปี พ่อได้ใช้เวลาปีเดียวในการสอบ ท่องครั้งเดียวจำข้อสำคัญได้เกือบหมด เมื่อลูกเรียกกฎหมายและมีข้อสงสัยไปถามท่าน ท่านก็บอกมาตราได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ได้เปิดตำราประกอบ ซึ่งในอดีตท่านว่าความแล้วมักจะนำความมาพิมพ์รายงานการซักพยานและเสนออธิบดีกรมอัยการอย่างละเอียด

ในการที่พ่อกลับมาทำงานด้านกฎหมายนี้เอง ทำให้ท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระอรรถวสิษฐ์สุธี และรับราชการจนเกษียณอายุ แล้วจึงไปประกอบอาชีพทนายความ ซึ่งไม่ได้เปิดสำนักงานที่ไหน แต่อยู่บ้านและเมื่อมีคนรู้จักมาติดต่อก็รับว่าความให้ตามที่ท่านเห็นสมควร

ในบั้นปลายชีวิตท่านเป็นคนสมถะ รักสันโดษรักษาเกียรติยศของตนจนวาระสุดท้าย ท่านไม่ชอบนั่งรถยนต์ ละครภาพยนต์ก็ไม่ไปดู อ้างว่าเห็นสิ่งสวย ๆ แล้วเกิดความทะเยอทะยายอยากได้อีก

การเสียชีวิตของท่านไม่ได้ลงไว้ว่าเสียชีวิตเมื่อไร แต่ทราบว่าท่านเสียชีวิตมานานมากแล้ว ลูก ๆ ยังไม่พร้อมที่จะจัดงานศพให้และสุดท้ายตกลงทำการเผาศพท่านเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓

ลูกท่านทิ้งท้ายไว้ว่า "คงตระหนักแก่ตนแล้วว่าความทะเยอทะยานอาจนำมาซึ่งความทุกข์"

ที่มาศิลปวัฒนธรรม

บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 87  เมื่อ 08 มี.ค. 13, 19:42

การทำงานของพระอรรถวสิษฐ์สุธี ท่านทำงานตำแหน่งอัยการ อยู่กรมอัยการ บรรดาศักด์อำมาตย์โท อยู่บ้านอิศรภักดี สามเสน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 88  เมื่อ 08 มี.ค. 13, 20:26

ศ. นายแพทย์สม เล่าว่าคุณพ่อถึงแก่กรรมในพ.ศ. 2489   ท่านเป็นขุนนางระดับคุณพระมาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 5     
ขุนนางที่เลื่อนขึ้นจากขุนกับหลวงมาเป็นคุณพระ อายุอย่างน้อยก็ 30 ปี     ถ้าท่านอายุประมาณ 30 ต้นๆในพ.ศ. 2453 อันเป็นปีสุดท้ายในรัชกาลที่ 5   มาถึงแก่กรรมหลังจากนั้นอีก 36 ปี   อายุท่านก็ต้องไม่ต่ำกว่า 66  อาจจะถึง 70 ปี


จากหนังสืองานศพพระอรรถวสิษฐ์สุธี ปี ๒๕๑๓ กล่าวว่าท่านมีบุตรอยู่ ๒๐ ท่าน ซึ่งคุณพ่อมีรสนิยมสูงกว่าคนธรรมดา เครื่องแก้ว เครื่องถ้วยชามต้องมีตราประจำตัวประทับไว้ที่ถ้วยทุกใบ ซึ่งสั่งทำมาจากอังกฤษ รวมทั้งการรับประทานอาหารแบบฝรั่งมีมีด ส้อม เป็นเครื่องเงินอังกฤษด้วยทั้งสิ้น ท่านมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษจนแตกฉานจนพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งที่แบงก์สยามกัมมาจลด้วยความคล่อง

รสนิยมนั้นท่านเป็นนักสะสมตัวยง ห้องสมุดมีหนังสือนานาชนิด และสังคมชั้นสูงเล่นอะไร ท่านก็เล่นไปกับเขาด้วย ไม่ว่าจะเป็น ดอกหน้าวัว ไม้ดัด นกพิราบ พระพุทธรูป และการพักผ่อนก็มักจะไปหัวหิน และเตรียมอาหารดี ๆ ไปเช่น บรั่นดี แฮม เนยแข็ง ไปด้วย

ถึงแม้ว่าคุณพระประสบภาวะล้มละลายมาครั้งหนึ่ง  แต่จากคำบอกเล่าข้างบนนี้แสดงว่าชีวิตท่านในวัยกลางคนและวัยชรา ห่างไกลจากลำบากยากจน     แม้แต่ชีวิตประจำวัน และไปพักร้อน ก็ยังรักษาความหรูหรามีรสนิยมไว้ได้อย่างเศรษฐี      ยิ่งรายการของสะสมด้วยแล้ว   คนจนทำไม่ได้แน่นอน     ทำให้คิดว่าท่านคงยังพอจะมีทรัพย์สินเหลืออยู่  หรืออย่างที่เราเรียกในปัจจุบันว่า "ล้มบนฟูก"
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 89  เมื่อ 08 มี.ค. 13, 21:58

พระอรรถวสิษฐ์สุธีเป็นผู้สนใจในการใช้ภาษาไทย มีผลงานที่น่าสนใจอีกเล่มหนึ่งคือหนังสือเรื่อง "อักขระสมัย แลพระบรมราชาธิบาย พ.ศ. ๒๔๖๓"  ยิงฟันยิ้ม


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 12
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.071 วินาที กับ 20 คำสั่ง