กำลังนึกคำเดียวกับคุณกิ๊กอยู่เลยค่ะ
ถ้ามองว่าคุณพระเอาเงินชาวบ้านที่ฝากแบงค์มาลงทุนสร้างบ้านหิมพานต์และสามเสนป๊าก ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมกลายเป็นหนี้ NPL เพราะเป็นการลงทุนที่ไม่มีผลตอบแทนขึ้นมาเลยก็ว่าได้ คุณพระจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายดอกเบี้ยให้แบงค์สยามกัมมาจลได้ไหว ไม่ต้องพูดถึงเงินต้นด้วยซ้ำ
เงินจำนวนมหาศาลถูกถมจมลงไปในตึก ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ดูดเงินให้จมหาย ไม่ก่อผลผลิตใดๆ นอกจากค่าก่อสร้างที่ดิฉันแน่ใจว่าเกิน 80,000 บาทไปหลายเท่าแล้ว ค่าบำรุงรักษาและดูแลอีกล่ะ เท่าไหร่ เดือนนึงต้องจ่ายเงินก้อนโตทีเดียว ตัวอย่างง่ายๆ ในบ้านนี้มีโรงละครส่วนตัวด้วย ก็แปลว่าต้องเลี้ยงพวกละครและดนตรี หรือต่อให้ไปจ้างมาเล่น ก็เป็นรายจ่ายที่ไหลออกอย่างเดียว ไม่มีไหลเข้า เพราะท่านไม่ได้เปิดให้ประชาชนเข้าชม
อย่างเดียวที่คุณพระกำหนดให้เป็นรายได้กลับเข้ามาคือค่าเข้าชมป๊ากปีละ 200 บาท กับ 100 บาท ในปลายรัชกาลที่ 5 ที่ครอบครัวใหญ่ๆอยู่กันหลายสิบคนจ่ายค่ากับข้าววันละ 1 บาทก็พอกิน ปลาทูเข่งละ 1 สตางค์ เงิน 200 บาทน่าจะสร้างเรือนไม้หลังเล็กๆให้ชาวบ้านอยู่ได้ 1 หลังทีเดียว
เพราะฉะนั้น ในสยามจะมีเศรษฐีกี่คนยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน 200 บาทตั้งแต่ต้นมือ เพื่อจะได้พาลูกเมียจำนวนรวมแล้วไม่เกิน 2 คนเข้าไปเดินชมบ้านและสวน เป็นเวลา 1 ปี เดินชมสวนมันก็ไอ้แค่นั้นแหละ ใครจะทนชมกันได้ 365 วันต่อปี หรืออาทิตย์ละครั้งรวมเป็น 52 ครั้ง ไม่เบื่อกันบ้างหรือ ถ้าจะเอาเพื่อนฝูงไปสังสรรค์เฮฮา เพื่อนก็ต้องควักกระเป๋าซื้อเหรียญด้วย เพราะเจ้าของบ้านเล่นกำจัดจำนวนคนถูกพาเข้า
ดิฉันคิดว่าต่อให้คุณพระแถมให้แขกได้พักฟรี 1 ปีรวด เป็นบริการหลังการขายค่าเข้าชม โดยโรงแรม 6 ดาวหลังแรกในประวัติศาสตร์ไทย เหรียญทองราคา 200 บาท ก็ยังแพงไปด้วยซ้ำสำหรับกระเป๋าเศรษฐีสยามยุคนั้น