เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7
  พิมพ์  
อ่าน: 21876 ทัพสยามแพ้ฮ่อ แต่บันทึกว่าชนะ ?
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 16:41

พระยาสุโขทัย


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 16:51

ที่ทำการกงสุลฝรั่งเศสในหลวงพระบาง ที่ซึ่งมองซิเออร์ ปาวีพำนัก


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 16:52

มองซิเออร์ ปาวีกับข้าหลวงสยาม


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 17:00

เอารูปให้ดูเป็นชุดเพื่อสรุปความเห็นของผมตามหัวข้อกระทู้ว่า สยามส่งกองทัพไปปกป้องหลวงพระบางจากภัยฮ่อไว่ได้ ถือว่าภารกิจสำเร็จ ไม่ได้แพ้ แต่ก็ไม่ได้ชนะเด็ดขาด เพราะรากมันลึกมาก กระจายกำลังไปถึงเมืองญวนซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของฝรั่งเศสแล้ว

และชักใยให้โยงมาเสียดินแดนเมืองขึ้นเหล่านี้ให้ฝรั่งเศสทั้งหมดอีกด้วย
บันทึกการเข้า
bunnaroth
อสุรผัด
*
ตอบ: 26


ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 19:21

ขอบพระคุณ อาจารย์ NAVARAT.C ครับ / บทสรุปของเรื่องฮ่อคงออกแนวที่ว่าแหละครับและก็เป็นแนวเดียวกับที่อ.ไกรฤกษ์ให้ความเห็นด้วย ... ความน่ากระหายใคร่รู้ต่อไปก็คือ หลังจากฮ่อไล่ตีทหารไทยและเจ้าลาวออกจากหลวงพระบางแล้ว ปักหลักยึดเมืองอยู่นานแค่ไหน แต่ความเสียหายคงมากโขอยู่ เว็บไซต์นำเที่ยววัดเชียงทอง มักจะบอกว่าวัดเชียงทองเป็นวัดเดียวที่รอดพ้นจากเหตุฮ่อปล้นเมืองเพราะ ...

"ทัพฮ่อนั้นนำโดย คำฮูมลูกเจ้าเมืองไล ได้ยึดเอาวัดเชียงทองเป็นที่ตั้งค่าย เนื่องจากว่าคำฮูมนั้นเคยบวชเป็นจัว (เณร) อยู่ที่วัดนี้ จึงรู้จักเส้นทางในเมือง และชัยภูมิของแถบบ้านเชียงทองเป็นอย่างดี พวกโจรฮ่อเผาทำลายเมืองหลวงพระบางทั้งหมด ยกวันที่วัดเชียงทองแห่งเดียวเท่านั้นที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลายในศึกครั้งนั้น ชาวลาวว่าเป็นเพราะคำฮูมรู้สำนึกบุญคุณวัดเชียงทองสมัยที่มาบวชเรียนอยู่จึงเว้นไม่เผา แต่บางคนก็ว่ากองทัพฮ่อใช้วัดเชียงทองเป็นที่ตั้งค่ายจึงไม่ได้เผาทิ้ง" ที่มา http://www.ezytrip.com/LaoPDR/th/North/LuangPrabang/LuangPrabang/WatXiengThong/WatXiengThong.htm


พอได้อ่านบันทึกของแมคคาร์ธีไปถึงตอนที่เจอวัดที่ถูกฮ่อปล้นแถบทุ่งเชียงคำ เขาบรรยายซะเละเทะเลย นึกจินตนาการว่าวัดวาอารามในหลวงพระบางตอนนั้นคงแทบไม่เหลือ แมคคาร์ธีเขาว่าไว้แบบนี้ครับ(ป.ล.สำนวนแปลเดียวกับต้นกระทู้)


                เราอาจตามรอยการเดินทางของพวกนี้ได้จากเถ้าถ่านของหมู่บ้าน  และประจักษ์พยานที่พวกมันทิ้งไว้ในวัดและเจดีย์ต่าง ๆ  ซึ่งถูกขุดค้นหาทรัพย์สินที่อาจฝังไว้ด้วยความชำนาญอย่างยิ่ง  ในวัดหลายแห่งมีรอยขุดเฉพาะบริเวณที่น่าสงสัยเท่านั้น  ส่วนอื่น ๆ มิได้ถูกแตะต้องอเลย
                เราได้เห็นใบประกาศที่พวกหนีตายจากหมู่บ้านที่ถูกฮ่อปล้นนำมาให้  ประกาศนั้นเขียนด้วยภาษาลาว  แต่มีตราจีนรูปสี่เหลี่ยมประทับ  เนื้อความเรียกร้องให้ชาวบ้านออกมาอ่อนน้อมยอมอยู่ใต้อำนาจฮ่อและขู่เอาโทษตายแก่ผู้ที่ยอมเชื่อฟัง  ใครก็ตามที่หนีไปหลวงพระบางจะต้องถูกตามจับเอาตัวกลับมาก
                 ชาวบ้านที่น่าสงสาร  อาศัยอยู่ในป่าดง  เพาะปลูกตามที่ลาดเขาเหล่านี้  มีชีวิตที่ยากแค้นแสนเข็ญไหนจะถูกพวกโจรขู่ฆ่ารุกราน  ไหนจะต้องอดทนต่อการบังคับจากเจ้าขันตีผู้ครองเมือง  ซึ่งมีอำนาจเหนือตนอีกฝ่ายหนึ่งด้วย
..........
                เมื่อเตรียมการระวังป้องกันอันตรายจากพวกฮ่อเรียบร้อยแล้ว  เราก็พากันไปตรวจดูวัดใกล้ ๆ  นั้นตัวอาคารดูน่าสนใจตั้งแต่ภายนอก  รูปแบบเหมือน ๆ กับที่เห็นทั่วไปในสยามแต่ดูประณีตและบอบบางกว่าประตูลงรักปิดทองแพรว  แต่ทั่วไปถูกทำลายยับเยิน  พระพุทธรูปองค์ใหญ่กลิ้งตะแคงข้างอยู่  ส่วนฐานถูกรื้อหาทรัพย์สินที่ซ่อนไว้  ในซากปรักหักพังนั้นมีรูปเคารพเล็ก ๆ ที่คนของเราต้องการมาก  วัดแทบทุกแห่งจะมีพระพุทธรูปท่าประทับนั่ง  บ้างก็สร้างด้วยอิฐปูนปิดทองทับหนา  บ้างก็เป็นทองแดง  หรือบ้างก็เป็นนาก  (ทองผสมทองแดง)  ที่เรียกว่าโคตมะเพชร (เข้าใจว่าหมายถึงขัดสมาธิเพชร - ผู้แปล)  นั้นนับว่าเก่าที่สุด  และกำหนดเรียกจากลักษณะของพระบาท  เป็นลักษณะสำคัญยิ่ง  แต่นอกนี้ยังมีลักษณะอื่น ๆ  อีกที่แสดงว่าพระพุทธรูปองค์ใดศักดิ์สิทธิ์กว่าองค์อื่น
                เจดีย์หลายองค์  ส่งยอดเรียวสูงไสวอย่างเชิญชวน  แต่เราไม่อาจออกห่างจากค่ายพักได้ไกลนัก  เพราะพวกฮ่ออาจจะแอบซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ใดก็ได้  วัดนั้นถูกทำลายพินาศสิ้น  คัมภีร์ใบลานกองเขละเป็นพะเนิน  ถ้าไม่มีคนดูแลโดยเร็วก็คงจะเสียหายไปทั้งหมด



บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 20:55

ลองอ่านเรื่องที่เขียนขึ้นโดยฝรั่งดู

พวกฮ่อคือพวกจีนที่ร่วมกับการกบฏไต้เผง (Taiping Rebellion) ที่มุ่งหมายจะให้จีนพ้นจากอำนาจของพวกแมนจู จนเกิดการรบพุ่งกันเป็นการใหญ่ พวกไต้เผงแพ้ต้องหลบหนีไปซุ่มซ่อนตัวตามป่าเขาในมณฑลต่าง ๆ ของจีน ในมณฑล ยูนาน ฮกเกี้ยน กวางไส กวางตุ้ง เสฉวน และส่วนหนึ่งหนี่งมายังตังเกี๋ย ทางตั้งเกี๋ยจึงดำเนินการปราบปรามทำให้พวกฮ่อต้องหนีไปอยู่ที่เมืองซันเทียน ซึ่งตั้งอยู่ชายแดนสิบสองจุไท

ฮ่อธงสีแดงและธงลายแถบ

เริ่มต้นในปี 1872กองกำลังของพวกกบฏที่พ่ายหนีกองทัพจีนของราชวงศ์ชิงที่กลับมายึดครองยูนนานก็เริ่มแตกร่นข้ามชายแดนเข้าสู่ลาว ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นของราชอาณาจักรสยาม กองกำลังเหล่านี้ เด่นชัดภายใต้ 'ธงสีแดง' และ 'ธงลายแถบ' เคลื่อนลงใต้และเข้าครองภาคเหนือเกือบทั้งหมดของลาว. พวกฮ่อสีแดงเข้ายึดเบียนเดียนฟู(เมืองแถน)ในปี 1873 และฮ่อธงลายยึดครองพวนและทุ่งไหหินในปีเดียวกันนั้น

เพื่อตอบโต้การรุกรานของฮ่ออย่างจริงจัง ในปี1874 เจ้าอุ่นคำ เจ้านครหลวงพระบางและเหงียนตือดึก กษัตริย์ญวนได้ส่งกองทัพร่วมกันเพื่อขับไล่ผู้รุกราน แต่การจัดทัพขาดระบบที่ดี ทำให้แพ้พ่ายและเจ้าอึ้งแห่งพวนถูกฆ่าตาย พวกฮ่อเมื่อได้รับชัยชนะแล้ว ก็เคลื่อนทัพลงใต้จะไปยึดเวียงจันทน์ ในขณะที่เจ้าอุ่นคำส่งใบบอกเร่งด่วนลงมาสยาม ขอรับความช่วยเหลือพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งขณะนั้นคือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

การมาถึงของกองทัพสยาม ปฏิบัติการทางทหารครั้งที่หนึ่ง

ในต้นฤดูฝนปี 1875 กองกำลังสยามเดินทัพข้ามแม่น้ำโขงที่หนองคาย นับเป็นปฏิบัติการทางทหารครั้งแรกของทหารของไทยในสงครามปราบฮ่อ  โดยกำหนดเป้าที่จะเข้าตีฐานกำลังหลักเพื่อทำลายพวกฮ่อที่เชียงคำ. การปฏิบัติการนี้ถือว่าล้มเหลวในแง่ของการบรรลุวัตถุประสงค์หลัก เพราะพวกฮ่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้และถอยทัพกลับเข้าไปในภูเขาของพวนและหัวพันทั้งห้า เมื่อสยามถอยทัพกลับเมื่อหลังจากนั้นปีหนึ่ง กลุ่มติดอาวุธของฮ่อก็โผล่ออกมาเพื่อก่อกวนและปล้นสะดมชาวบ้านมากบ้างน้อยบ้างตามใจชอบ

ปฏิบัติการทางทหารครั้งที่สองของสยามและบันทึกของเจมส์ แมคคาร์ธี

แปดปีต่อมาใน1883 เมื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคามครั้งใหม่ของฮ่อที่เมืองหลวงพระบาง เจ้าอุ่นคำก็มีใบบอกมาทางกรุงเทพฯเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าส่งกองทัพสยามประกอบด้วย ทหารเกณฑ์ชาวอีสานและภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่ ผลของปฏิบัติการครั้งนี้ เจมส์แมคคาร์ธี นักรังวัดแผนที่ชาวอังกฤษร่วมอยู่ด้วย และบันทึกไว้ว่า 'บกพร่อง วางแผนอย่างไม่พอเพียง และไร้ความสำเร็จในท้ายที่สุด' การปฎิบัติการทางทหารปี1884-1885เป็นเอกสารที่ดีที่สุด ต้องขอบคุณแม็กคาร์ธีผู้บันทึกเรื่องนี้ไว้เป็นการส่วนตัว อธิบายความพยายาม ความทุกข์และความไร้สมรรถภาพในสงครามปราบฮ่อ ที่ทำให้เห็นภาพได้มากกว่าบันทึกอย่างเป็นทางการของสยาม

แมคคาร์ธีได้เริ่มงานสำรวจภูเขาตามแนวชายแดนระหว่างลาวและตังเกี๋ยในปี 1884 เมื่อเขานำคณะสำรวจไทยไปยังเมืองพวนและพรมแดนทางตอนใต้ของหัวพานทั้งห้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานทำแผนที่ราชอาณาจักรสยามตามที่เขาได้รับการว่าจ้างจากราชการไทย ระหว่างปฏิบัติงานครั้งนี้เขาต้องเดินทางอย่างกว้างขวางผ่านดินแดนที่มีการโจมตีของพวกฮ่อเป็นประจำ เขาบันทึกไว้ว่า 'ในขณะที่เราเดินทางไปเรื่อยๆนั้น ก็มีคนมาเล่าเรื่อฮ่อให้ฟังอยู่เรื่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องที่มันปล้นฆ่า หรือจับเอาไปเป็นเชลย'

แมคคาร์ธีรู้สึกประทับใจกับความงามของธรรมชาติและความมั่งคั่งของภูมิภาค แต่ก็พบว่าชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ ' มีชีวิตที่น่าอนาถ ... ถูกรุมเร้าด้วยความหวาดกลัวที่จะโดนปล้นฆ่าโดยเหล่าโจร' เช่นในเวียงจันทน์สิบปีก่อน วัดทางพุทธศาสนาถูกปล้นและทำลายเพื่อค้นหาของมีค่า แมคคาร์ธีเขียนว่า 'วัดถูกทำลายอย่างคึกคะนอง และจารึกใบลานถูกนำมากองสุมกันไว้ ซึ่งถ้าไม่มีใครสนใจดูแล จะต้องสูญเสียไปตลอดกาล'

หลังจากนั้น แมคคาร์ธีจึงได้เดินทางไปยังหลวงพระบางที่จะให้คำปรึกษากับผู้บัญชาการทหารไทยและเจ้าอุ่นคำ ที่นั่นเขาได้ทราบว่าพวกฮ่อได้มาถึงเมืองยู่แล้ว และควรจะได้รับการต้านทานจากทหารภายใต้บังคับบัญชาของพระยาสุโขทัย. แต่กลายเป็นว่าแม่ทัพไทยคนนี้กลับป่วยหนักด้วยโรคมาลาเรีย ทัพไทยจึงได้ถอนตัวมาที่หลวงพระบาง เป็นผลให้ฮ่อสามารถที่จะเข้ายึดด่านและการเผาทำลายค่ายที่ทหารสยามทิ้งไว้โดยง่าย ฤดูฝนของเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมทำให้พิสูจน์ได้ว่ามาลาเรียคือศัตรูที่คร่าชีวิตทหารมากกว่าพวกฮ่ออันน่ากลัวนั้นมาก แมคคาร์ธีใช้คำว่า "ฝนเทลงอย่างต่อเนื่อง และความเจ็บป่วยเป็นผู้ชนะ " ดังนั้นทหารสยามที่ไปรบในลาวจึงยังคงปักหลักอยู่ที่หลวงพระบาง หรือไม่ก็ถอนตัวออกข้ามแม่น้ำโขงกลับไปหนองคาย แมคคาร์ธีเองจึงเดินทางไปกรุงเทพฯเพื่อถวายคำแนะนำพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อสถานการณ์และรอฤดูหนาวที่แผ่นดินจะแห้งขึ้น
 
แมคคาร์ธีได้รับคำสั่งให้กลับไปประเทศลาวอีกครั้งในช่วงปลายฤดูฝน. เขาออกจากกรุงเทพฯในเดือนพฤศจิกายน 1884 โดยเดินทางผ่านอุตรดิตถ์และน่าน ไปถึงหลวงพระบางเมื่อ 14 มกราคม 1885 ทันเวลาที่จะเป็นประจักษ์พยานของการประทุครั้งใหม่ ของสงครามที่สั้นแค่สามเดือน ก่อนที่จะจบด้วยความล้มเหลว

พวกฮ่อมีอาวุธปืนไรเฟิลยิงซ้ำที่ทันสมัยและกระสุนที่ผลิตในเบอร์มิงแฮม เชี่ยวชาญในการรบนอกรูปแบบ พวกเขาใช้กลยุทธ์ทำลายขวัญ เช่นสังหารเชลยอย่างทารุณ ใช้หลุมขวาก และการลอบโจมตีไม่ให้รู้ตัวในเวลากลางคืน  มีการใช้ไสยศาสตร์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย โหรที่ติดตามกองทัพสยามระบุว่า ตอนเช้าของ 22 กุมภาพันธ์ 1885 ในเวลา10:00 เป็นเวลาดีที่สุดที่จะเริ่มโจมตีศัตรู พอถึงเวลาดังกล่าวปืนถูกยิงไปนัดหนึ่ง และทหารก็เคลื่อนกำลังเข้าโจมตีฐานที่มั่นของพวกฮ่อ ซึ่งเป็นค่ายอย่างดีสร้างด้วยไม้ไผ่ มีความยาว400 กว้าง200เมตร มีหอสังเกตการณ์สูงประมาณ 12 เมตรอยู่ถึงเจ็ดหอ ทหารไทยและลาวรวมกันทั้งกองร้อยประมาณ 50 คน มีธงช้างเผือกของสยามนำ ก็เคลื่อนตัวเข้าไปหลังรั้วเหล็กชั่วคราวที่ทำไว้ห่างค่ายของฮ่อประมาณ100เมตร มีอาวุธปืนใหญ่อาร์มสตรอง2.5นิ้ว แต่ปืนเหล่านี้เห็นได้ชัดว่ามีกระสุนไปไม่พอเพียง แมคคาร์ธีสังเกตว่า การยิงส่วนใหญ่ดูเหมือนจะมาจากหอสังเกตการณ์ของฮ่อ และแม้ทหารไทยลาวจะแสดงความกล้าหาญที่ไม่ต่างกับความประมาทแบบไม่แยแสการบาดเจ็บ จากกระสุนที่ "มุ่งสังหาร"พวกเขา ในทางกลับกัน พวกฮ่อยังคงค่อนข้างที่จะไม่ระคายสักเท่าไหร่  เวลาสองนาฬิกาในช่วงบ่ายทหารไทยประสบความล้มเหลวยิ่งขึ้นเมื่อพระยาราช ผู้บังคับบัญชา ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากโดนกระสุนปืนใหญ่น้ำหนักประมาณสองปอนด์เข้าที่ขา ขณะที่ยืนกำบังเสาศาลเจ้าแบบจีนเพื่อสังเกตุการณ์ การโจมตีค่ายฮ่อในที่สุดก็ต้องถอยกลับฐาน

บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 21:03

บันทึกฝ่ายไทย

พระวิภาคภูวดลขึ้นไปทำแผนที่

พระวิภาคภูวดล (นาย เยมซ์ แมคคาที) ขึ้นไปทำแผนที่เมืองพวนและทุ่งเชียงคำปลายเขตแดนเมืองหลวงพระบาง ทำแผนที่แล้ว (แต่น่าจะยังทำไปไม่ถึงเมืองพวนและทุ่งเชียงคำตามภารกิจ) กลับลงมาเมืองหลวงพระบางได้พบกับพระยาพิไชยถามถึงการดำเนินการต่อพวกฮ่อที่ตีและยึดเมืองยู พระยาพิไชยแจ้งว่าจะยกไพร่พลเมืองพิไชย ๕๐๐ คน ไปตีพวกฮ่อที่เมืองยูใน วันพฤหัสบดี แรม ๔ ค่ำ เดือน ๗ พระวิภาคภูวดลจึงมอบปืนสนัยเดอร์ให้ ๒๐ กระบอก พร้อมกระสุน ๒,๐๐๐ นัด พระวิภาคภูวดลว่า บัดนี้ ออกไปทำแผนที่เมืองพวนและทุ่งเชียงคำได้แล้ว

ส่วนกองทัพที่เจ้าพระยาภูธราภัย ที่สมุหนายก และเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง เป็นแม่ทัพ ยกขึ้นไปจนยกกลับกรุงเทพฯ ไม่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา แต่การปราบฮ่อนี้ก็ได้ดำเนินต่อไปจน ๑๒ - ๑๓ ปี . . .

ลุ ปีระกา สัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗ พ.ศ.๒๔๒๘
ครั้น แรม ๔ ค่ำ เดือน ๗ ปีระกา จ.ศ.๑๒๔๗ ตรงกับวันจันทร์ วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๒๘ ได้รับใบบอกจาก พระยาศุโขไทย, เจ้าอุปราชเมืองหลวงพระบาง และพระยาราชวรานุกูลกับพวกนายทัพนายกองทางทุ่งเชียงคำว่า ได้สู้รบกับกองทัพพวกฮ่อติดพันกันอยู่ แต่พวกฮ่อหาได้เลิกถอยไปไม่ กองทัพก็ขัดสนด้วยเสบียงอาหาร ไพร่พลก็บอบช้ำป่วยไข้ล้มตายลงมาก พระยาราชวรานุกูล (เวก บุญยรัตพันธุ์ เดิมเป็นที่ พระสุริยภักดี แม่ทัพหน้าของเจ้าพระยาภูธราภัย ครั้ง พ.ศ.๒๔๑๘) ต้องเลิกทัพมาจากทุ่งเชียงคำ
 
ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว จึงมีพระราชดำรัส สรุปความได้ว่า

. . . อ้ายฮ่อคุมกำลังขึ้นเป็นกองโจร ล่วงล้ำเบียดเบียนหัวเมืองลาวในพระราชอาณาเขต คั้งแต่ พ.ศ.๒๔๑๕ ทางกรุงเทพฯ จัดให้หัวเมืองทางเหนือคุมกำลังเข้ากองทัพเป็นหลายหมื่น ขึ้นไปช่วยเมืองลาวปราบปรามพวกโจรฮ่อ รบกันเป็นหลายปี เสียชีวิตพลเมือง และสิ้นพระราชทรัพย์เป็นอันมาก
ครั้น พ.ศ.๒๔๑๖ อ้ายฮ่อกลับตีเข้ามาถึงเมืองเวียงจันทน์ ทางกรุงเทพฯ ก็จัดกองทัพเสนาบดีขึ้นไปปราบ และจัดกิจการบ้านเมือง ก็หาเรียบร้อยไปได้ไม่ มาถึง ๑๒ - ๑๓ ปีแล้ว พระยาพิชัย และพระยาราชวรานุกูล ต่างก็อ้างเหตุขัดข้องลงมาเช่นนี้ ทำอย่างไรจึงจะราบคาบลงได้ ทั้งเวลานี้หัวเมืองญวนซึ่งมีเขตติดต่อกับเมืองลาวฝ่ายเหนือก็กำลังจลาจลปั่นป่วนด้วยฝรั่งเศสมารบกวน การปักปันเขตแดนทำแผนที่ก็ไม่สำเร็จลงได้ ทรงเห็นว่า กองทัพพระยาพิชัย ฝ่ายเหนือ และ กองทัพพระยาราชวรานุกูล ฝ่ายใต้ถ้าจะให้ทำการต่อไปก็คง ติดๆ ขัดๆ เสียเวลาเรื่อยไป ควรจะเรียกตัวมาลงโทษบ้าง ให้ตำรวจคุมเครื่องพันธนาการไปหาตัวให้กลับลงมา . .
.
ก็พอดีมีใบบอกของพระยาราชวรานุกูลลงมาว่า กองทัพพระยาพิชัย และพระยาราชวรานุกูล ตั้งล้อมค่ายพวกฮ่อที่ทุ่งเชียงคำ ได้เข้าตีค่ายฮ่อเป็นหลายครั้ง ก็ตีไม่แตกเสบียงอาหารไม่พอเพียง ทหารได้รับความอดหยาก ขณะที่พระยาราชวรานุกูลอำนวยการรบเข้าตีนั้น พวกฮ่อได้ยิงปืนต้านทาน กระสุนถูกหน้าแข้งพระยาราชวรานุกูลกระดูกแตก ครั้น ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๗ ปีระกา จ.ศ.๑๒๔๗ ตรงกับวันพฤหัสบดี วันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๘ พระยาราชวรานุกูล กับพระยาพิชัย จึงต้องเลิกทัพจากทุ่งเชียงคำ

เมื่อทรงทราบความตามใบบอกแล้ว การที่จะหาตัวพระยาราชวรานุกูลมาลงโทษจึงยุติ เป็นแต่เรียกกองทัพกลับมายังกรุงเทพฯ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 21:09

การรบครั้งนั้นอาจจะถือว่าแพ้ แต่สงครามกับฮ่อยังไม่จบ ยังมีต่ออีก
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 21:31

สงครามครั้งที่ ๒ จ.ศ.๑๒๔๗ พ.ศ.๒๔๒๘

ลุปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗ พ.ศ.๒๔๒๘ เมืองหลวงพระบางมีใบบอกลงมาว่า ได้เกิดมีพวกฮ่อธงเหลืองก่อการกำเริบ คุมสมัตรพรรคพวกเข้ามาตั้งอยู่ปลายเขตต์แดนพระราชอาณาจักร และยกกองทัพเข้ามาตีหัวเมืองต่างๆ ปลายเขตต์แดน เจ้าเมืองหลวงพระบางได้เกณฑ์เพี้ยพระยาลาวให้คุมพลขึ้นไปปราบปราม ๑,๔๐๐ คน ให้แบ่งเป็น ๒ กอง ยกแยกไปทางแม่น้ำอู และทางแม่น้ำเซือง . . . ฯลฯ

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้กองทหารที่ได้รับการฝึกหัดตามแบบยุโรปขึ้นไปปราบฮ่อ โดยจัดเป็นสองกองทัพคือ กองทัพฝ่ายใต้ และกองทัพฝ่ายเหนือ

กองทัพฝ่ายเหนือ (ขวา) กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพ
กองทัพฝ่ายใต้แม่ทัพฝ่ายใต้ เจ้าหมื่นไวยวรนารถ(ซ้าย)                                                         
นายพันตรี พระอมรวิไสยสรเดช (โต บุนนาค) ผู้บังคับกองปืนใหญ่ กับนายทหารปืนใหญ่อีกหลายคนเป็นทัพหน้า ยกไปปราบฮ่อในแคว้นเมืองพวน
ยกกำลังออกจากกรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๔๒๘ ใช้เวลาเดินทางสามเดือนถึงเมืองหนองคาย และได้ตั้งกองบัญชาการกองทัพอยู่ที่เมืองหนองคาย แล้วให้นายพันตรี พระอมรวิไสยสรเดช ยกทัพหน้าไปตีค่ายฮ่อที่ทุ่งเชียงคำ

พวกฮ่อได้หนีไปในเขตญวน กองทัพไทยจึงรื้อค่ายฮ่อที่ทุ่งเชียงคำเสีย


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 21:45

วันเสาร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๔๒๙ กองทัพได้ยกมาถึงเมืองซ่อน

การเดินทางตั้งแต่เมืองงอยถึงเมืองซ่อน ทหารป่วยเป็นไข้มาตามทางกว่าค่อน ทั้งมาเลเรียและโรคระบบทางเดินอาหาร มีนายทหารเสียชีวิต ๒ นาย พลทหารหลายนาย กองร้อยหลวงดัสกรที่ยกไปเมืองสบแอดก็รายงานว่าทหารป่วยมาก ยาที่จัดมาจากเมืองพิชัยก็หมดลงแล้ว

กองร้อยของนายร้อยเอก หลวงดัษกรปลาศ และกำลังเมืองหลวงพระบางของเจ้าราชภาคิไนย ซึ่งยกขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้นวันจันทร์ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ.๒๔๒๙ ทัพไทยได้เข้าโจมตีค่ายฮ่อที่ตำบลบ้านใด แขวงเมืองสบแอดพร้อมกัน พวกฮ่อมีปืนใหญ่ กระสุนโตเท่าผลส้มเกลี้ยง นำออกมาตั้งยิงหน้าค่าย แต่ใส่ดินระเบิดมากเกินไป จนลำกล้องปืนระเบิดแตกทำลายลง พวกฮ่อก็เสียขวัญกลับเข้าค่าย กองทัพไทยจึงตามตีไล่รุกบุกบันกระชั้นชิดชักปีกกาโอบค่ายพวกฮ่อ ดังนี้

๑. นายร้อยโท ดวง ชูโต คุมทหารตอนหนึ่งเข้าตี พังประตูด้านใต้
๒. นายร้อยโท เอื้อน ชูโต คุมทหารตอนหนึ่งเข้าตี พังประตูด้านตะวันตก
๓. นายร้อยเอก หลวงดัษกรปลาศ เจ้าราชภาคิไนย และ นายร้อยโท เจ๊ก คุมกองหนุน
๔. พระพิพิธณรงค์กรมการเมืองลับแล กับพระเจริญจตุรงค์กรมการเมืองพิชัย คุมไพร่พลหัวเมืองเข้าตีด้านใต้ ตีหักพังประตูเข้าไปในค่ายฮ่อได้ พวกฮ่อแตกกระจัดกระจายออกทางหลังค่าย (ด้านทิศตะวันออก)
 
กองทัพก็เข้าค่ายได้ พวกฮ่อต้องรีบทิ้งค่ายหนีไป กองทัพจึงไล่ติดตามรบ และยิงปืนไป การยึดค่ายฮ่อคราวนี้ จับได้ภรรยาหัวหน้าฮ่อ และครอบครัว ๓๓ คน ทั้งยังยึดได้อาวุธต่างๆ เช่น ปืนคาบศิลา ดาบและมีดต่างๆ ดินดำ ตะกั่วที่ใช้ในการทำลูกกระสุนปืน เสบียงอาหาร จำนวนหนึ่ง

วันรุ่งขึ้น นายบ้านและพลเมืองในเมืองสบแอดที่ยอมพวกฮ่อ ประมาณ ๔๐๐ คน ได้นำครอบครัวออกมาหากองทัพ และให้ข่าวสารว่า คืนนี้ผู้ไทยทู้ที่อยู่ในค่ายบ้านนาปา หนีจากพวกฮ่อไปหมดแล้ว เหลือพวกฮ่อประมาณ ๕๐ คนก็เห็นว่าจะต่อสู้รักษาค่ายไม่ไหวแน่ ก็ทิ้งค่ายหนีเข้าป่าไปแล้ว แต่เสบียงยังคงอยู่เต็มฉาง นายร้อยเอก หลวงดัษกรปลาศ เจ้าราชภาคิไนย จึงมำทหารไปค่ายบ้านนาปา ระยะทางจากค่ายบ้านใดประมาณ ๒๐๐ เส้น ขนข้าวจากฉางของพวกฮ่อที่บ้านนาปาทั้งในค่าย และที่ซ่อนไว้ในป่านำไปที่ค่ายบ้านใด ได้ข้าวสารข้าวเปลือกรวม ประมาณ ๖ พันถัง

แม่ทัพจึงออกประกาศให้พลเมืองร่วมมือในการปราบฮ่อ แล้วกำหนดยกกองทัพใหญ่ขึ้นไปจัดราชการ ณ เมืองสบแอดในเดือน ๖ นี้
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 21:48

ทางด้าน กองร้อยนายร้อยเอก หลวงจำนงยุทธกิจ ซึ่งยกไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ไปตีพวกฮ่อที่ เมืองโสย เมืองแวน เมืองพูน นั้น ไปถึงเมืองจาด ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเมืองโสยในวันเสาร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ตรงกับ วันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๙ มีพวกฮ่อและแม้วประมาณ ๔๐ อยู่ในค่าย นายร้อยตรี เพ็ชร์ กับท้าวอ่อน หัวหน้าลื้อ กรมการเมืองไซซึ่งเป็นกองหน้า เข้าตีได้ค่ายฮ่อ พวกฮ่อหนีไปช่องผาแคบ
กองหน้าตั้งพักที่เมืองจาดคืนหนึ่ง พอวันรุ่งขึ้น นายร้อยเอก หลวงจำนงยุทธกิจ และกองทัพเจ้าราชวงศ์มาถึง จึงได้ยกติดตามพวกฮ่อไปพร้อมกัน พวกฮ่อและแม้วแตกหนีไปบ้านหอ แขวงเมืองโสยและเตรียมการตั้งรับ เมื่อกองทัพมาถึงบ้านหอจึงได้สู้รบกัน พวกฮ่อต้องหนีเข้าไปในเมืองโสย กองทหารไทยก็กลับไปตั้งที่เมืองจาด
 
แม่ทัพจึงปรึกษากับคณะนายทหารและพระยาสุโขทัยว่า เป็นเวลาถึงฤดูฝนแล้ว ฝ่ายเราได้ตั้งสกัดทางไว้ถึง ๓ ตำบลแล้ว จึงควรพักไพร่พลไว้ก่อน เมื่อสิ้นฤดูฝนแล้วจึงจัดราชการ และตั้งด่านทางต่อไป และถ้าพวกฮ่อเที่ยวแยกย้ายกันอยู่ตามตำบลต่างๆ ก็จะได้แต่งกองทหารให้ปราบปรามได้ถนัด และให้นายร้อยเอก หลวงจำนงยุทธกิจและเจ้าราชวงศ์ กลับมาตั้งมั่นบำรุงรี้พลอยู่ ณ เมืองแวน โดยไม่ทำลายค่ายพวกฮ่อที่เมืองจาด

บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 21:59

การที่กองทัพกลับมาตั้งอยู่ ณ เมืองแวน โดยไม่ทำลายค่ายพวกฮ่อที่เมืองจาดนั้น เป็นอุบาย โดยนำกระสุนปืนใหญ่มาฝังไว้เป็นกับระเบิด เมื่อพวกฮ่อเข้ามาสะดุดสายชนวนเข้าก็ระเบิดขึ้น ทำให้ตายและบาดเจ็บหลายคนพวกฮ่อที่เก็บกระสุนปืนใหญ่ไปจากเมืองจาด แล้วพยายามใช้ขวานทุบก็ไม่แตก จึงเอาเชือกร้อยห่วงแก๊ปแล้วลองดึง คิดว่าจะเป็นวิธีที่เปิดดูภายในลูกกระสุนได้ กระสุนก็เลยระเบิดขึ้นตายกันหลายคน นายร้อยเอกหลวงจำนงยุทธกิจและเจ้าราชวงศ์ กลับมาตั้งอยู่ ณ เมืองแวนได้ ๗ วัน ก็ได้รับรายงานว่า พวกฮ่อที่กลับเข้าไปในค่ายเมืองจาดโดนระเบิดตาย ๗ คน บาดเจ็บหลายคน และให้ครั่นคร้ามทหารไทยและลูกแตกเป็นอันมาก ถึงกับอพยพกันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ ๓๐ - ๔๐ คนออกจากเมืองจาด ว่าจะไปอยู่ท่าขวา แขวงเมืองสิบสองจุไทย ริมฝั่งแม่ร้ำแท้หรือแม่น้ำดำ ยังคงเหลือพวกฮ่อที่เมืองพูน และเมืองโสย อีกแห่งละประมาณ ๓๐ คน แต่ก็ได้ออกปล้นสดมภ์ชาวบ้านอยู่เนืองๆ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 22:02

ทางด้าน นายร้อยเอกหลวงดัษกรปลาศ เจ้าราชภาคิไนย นายร้อยโทดวง ชูโต และ นายร้อยโทเจ๊ก ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านใด

เมื่อวันอังคาร ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ ตรงกับวันที่ ๑๑ พฤษภาคม นายร้อยโทดวง ชูโต ได้ข่าวว่าพวกฮ่อประมาณ ๗๐ คน ไปรวมกันที่บ้านห้วยสาร แขวงเมืองสบแอด และวันรุ่งขึ้นจะเดินทางไปเมืองฮุง แขวงสิบสองจุไทย ทางเดินต้องผ่านห้วยแหลก จึงพร้อมด้วยนายร้อยตรีหลอย พระเจริญจตุรงค์กรมการเมืองพิชัย และทหาร ๒๔ นาย จะไปคอยสกัดซุ่มโจมตีพวกฮ่อที่ห้วยแหลก พอถึงกลางห้วยพบพวกฮ่อซึ่งเดินสวนทางมาจึงได้ปะทะกัน

ผลการปะทะ พวกฮ่อตาย ๘ คนที่เหลือบาดเจ็บ และแตกหนีไป ฝ่ายเราพลทหารอ่อน บาดเจ็บ ๑ นาย
พอดีเป็นเวลาใกล้ค่ำ กองทหารจึงกลับมาตั้งที่เมืองสบแอด พลเมืองก็สงบเรียบร้อยเป็นปรกติ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 22:05

เมืองโสย เมืองพูน

นายร้อยโทแขก และท้าวอ่อนกรมการเมืองไซ ซึ่งนำทหารกรุงเทพฯ และทหารหัวเมือง ๑๓๐ นาย ไปกวาดล้างพวกฮ่อที่เมืองโสย เมืองพูนตามคำสั่ง นั้นในวันอาทิตย์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๗ ตรงกับ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ได้เข้าตีค่ายพวกฮ่อที่เมืองโสย ซึ่งมีกำลังประมาณ ๑๕๐ ได้รบกันอยู่ ๓ วัน ผลปรากฏว่า พวกฮ่อตาย ๑๕ บาดเจ็บไม่ทราบจำนวน ที่เหลือแตกหนีไปเมืองพูน ฝ่ายเรา ปลอดภัยทั้งหมด
นายร้อยโท แขก และท้าวอ่อนจึงนำกองทหารเข้าพักในเมืองโสยสองวัน

ครั้น วันที่ ๒๒ มิถุนายน จึงออกเดินทางไปเมืองพูน พวกฮ่อได้ทราบข่าว จึงเผาเสบียงแล้วหนีออกทางหลังค่าย และเดินทางออกนอกพระราชอาณาเขตไป

นายร้อยโท แขก และท้าวอ่อนจึงนำกองทหารเข้าพักรักษาค่ายคอยฟังราชการในเมืองพูน

เจ้าหมื่นไวยวรนารถได้จัดท้าวขุนเมืองซำใต้รวมนายไพร่ จำนวน ๑๕๐ คน ไปรักษาเมืองโสย เพราะไพร่พลเมืองโสยแตกฉานเข้าไปอยู่เมืองซ่อนบ้าง เมืองแวนบ้างพวกหัวหน้าที่เข้าด้วยพวกฮ่อ ที่เป็นหัวหน้า มี ๔ คน คือ ท้าวบา ท้าวเมือง ท้าวโดย และเพี้ยบัวเงิน และพรรคพวก ราว ๔๐๐ คนก็ได้เข้าหากองทัพโดยดี นายร้อยโท แขก ได้นำตัวหัวหน้าทั้งสี่ลงมาเมืองแวน แม่ทัพพิจารณาว่า หากให้อยู่ภูมิลำเนาเดิมอาจจะก่อความไม่สงบขึ้นอีก สมควรให้ไปอยู่ในหัวเมืองชั้นใน แต่เนื่องด้วยยังเป็นฤดูฝน จึงให้เจ้าราชวงศ์รับไว้ ณ เมืองแวนก่อน แต่ครอบครัวคงให้อยู่ในถิ่นฐานเดิมของตนต่อไป

แม่ทัพแต่งให้พระยาเชียงเหนือกับขุนท้าวในหัวเมืองนั้นๆ ตั้งรักษาราชการในเมืองหัวพันทั้งห้าทั้งหก คือ เมืองหัวพัน เมืองแวน เมืองโสย เมืองซำใต้ เมืองซำเหนือ และเมืองพูน ซึ่งพวกฮ่อได้แตกพ่ายไปหมดแล้ว แต่ไพร่พลเมืองที่แตกฉานกันไปยังไม่สามารถรวบรวมให้เรียบร้อยได้ ส่วนทางเมืองสบแอดเชียงค้อ ซึ่งเป็นเมืองใกล้ชิดติดกับเมืองสิบสองจุไทยยังไม่สงบราบคาบเรีบยร้อย แต่เนื่องจากเป็นฤดูฝนจึงได้แต่ "จัดการไปให้พอสมควรที่จะทำไปได้ เมื่อสิ้นฤดูฝนแล้วจะได้ยกกองทัพออกเดินต่อไป เมื่อจัดการให้ลงระเบียบได้แล้ว ราชการก็จะเรียบร้อยได้" จึงให้พระยาสุโขทัยข้าหลวงยกขึ้นไปเมืองแวนก่อน เพื่อจัดรวบรวมเสบียงอาหารไว้ และเกลี้ยกล่อมไพร่บ้านพลเมืองให้กลับคืนภูมิลำเนาตามเดิม ส่วนกองทัพใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองซ่อนก่อน
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 22:09

ค่ายเมืองสบแอด

เมื่อพระสวามิภักดิ์สยามเขตต์เดินทางไปพบองบานายฮ่อธงดำใหญ่นั้น ทางกองร้อยของนายร้อยเอกหลวงดัษกรปลาศ เจ้าราชภาคิไนย นายร้อยโทดวง และ นายร้อยโทเจ๊ก ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองสบแอด มีทหารป่วยไม่สามารถปฏิบัติงานได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งนายร้อยเอกหลวงดัษกรปลาศด้วย
 
แม่ทัพจึงสั่งการให้ ส่งทหารป่วย รวมทั้งนายร้อยเอก หลวงดัษกรปลาศไปที่ค่ายเมืองซ่อน และมอบให้นายร้อยโท ดวง ทำการแทนต่อไป และจัดนายร้อยเอก หลวงหัตถสารศุภกิจ (ภู่) และนายร้อยโท แจ นำปืนใหญ่อาร์มสตรอง ๑ กระบอก กับรี้พลอีก ๒๐๐ ไปเพิ่มเติมกำลังที่ค่ายบ้านใด และให้รีบตามตีพวกฮ่อต่อไป และให้กองของนายร้อยเอก หลวงจำนงยุทธกิจ และเจ้าราชวงศ์ ซึ่งตั้งที่เมืองแวนโอบไปทางตะวันออกเฉียงใต้อีกทางหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้ปฏิบัติ พวกฮ่อก็ชิงปฏิบัติเสียก่อน ดังนี้

ฝ่ายพวกฮ่อซึ่งแตกจากบ้านใด บ้านนาปา แขวงเมืองสบแอด ได้ทราบข่าวว่ากองทัพเจ็บไข้ได้ป่วยมาก จึงรวบรวมผู้คนและติดต่อจ้างพวกฮ่อธงดำ รวมได้ไพร่พล ราว ๒๕๐ ยกมาตั้งที่เมืองฮุง ต่อกับแขวงเมืองสบแอด ตั้งแต่วันอังคาร แรม ๖ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๒๙ และต่อมาอีก ๓ วัน คือใน ๒๕ มิถุนายน พวกฮ่อกลุ่มนี้ก็เข้าตีบ้านเล็กเมืองน้อยในเขตเมืองสบแอด พลเมืองต้องหนีเข้าในค่ายที่บ้านใด ซึ่งนายร้อยเอกหลวงดัษกรปลาศ เจ้าราชภาคิไนย นายร้อยโทดวง และ นายร้อยโทเจ๊ก ตั้งอยู่
 
ขณะนั้น ทหารกำลังเป็นไข้ป่าอาการหนักแทบทั้งค่าย มีที่ป่วยน้อยคือ เจ้าราชภาคิไนย และ นายร้อยโทดวง จึงได้เอา"ลูกแตก"ผูกแขวนไว้รอบค่าย ให้ทหารป่วยที่ลุกไม่ขึ้นคอยระวังสายชนวน เพื่อกระตุกให้ลูกแตกนั้นระเบิดขึ้น เมื่อพวกฮ่อที่ล้อมค่ายพยายามจะเข้าปล้นค่าย และได้กระทบลูกแตก ครั้นทหารเห็นได้จังหวะก็กระตุกสายชนวนให้ลูกแตกระเบิด พวกฮ่อเป็นอันตรายหลายคนจนเข็ดขยาดไม่กล้าเข้าปล้นค่าย ได้แต่ล้อมอยู่

บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.108 วินาที กับ 19 คำสั่ง