เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 13
  พิมพ์  
อ่าน: 56518 จริงหรือไฉน: ญี่ปุ่นกับไทยออกเส้นสต๊าร์ทเดียวกันเมื่อถูกฝรั่งดันให้วิ่ง
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 08:21

อ้างถึง
ช่วงแรกของการพัฒนานั้น สยามแทบจะไม่ต่างจากญี่ปุ่นสักเท่าไร
ที่ผมเสนอกระทู้นี้ขึ้นมา ก็เพราะประโยคเช่นนี้แหละครับ

การเดา เป็นแค่สมมติฐานที่เราพึงวิเคราะห์ค้นหาความจริง ว่าสิ่งที่เราเดานั้นถูกหรือผิด มากน้อยแค่ไหน
จะดูว่าต้นไม้ต้นนี้เป็นต้นอะไร จะใช้การเดาก็ได้ แต่ถ้าจะให้จริงแท้แน่นอนต้องวิเคราะห์ พืชบางชนิดอาจต้องรอให้เห็นดอก พืชบางชนิดต้องขุดให้เห็นรากเห็นเหง้า

ผมชวนท่านให้เข้ามาวิเคราะห์รากเหง้าของญี่ปุ่นและไทย ซึ่งผมเชื่อ ไม่ใช่ด้วยการเดาว่าเขากับเราถูกหล่อหลอมมาด้วยสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมประเพณี ทำให้แตกต่างกันทั้งความคิดและการกระทำมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ที่หารูปถ่ายมาให้ดูแบบเปรียบเทียบก็เพื่อยืนยันว่า เมื่อเริ่มการพัฒนาประเทศตามวิถีของชาวตะวันตกซึ่งเป็นยุคที่มีภาพถ่ายแล้ว ก็จะเห็นญี่ปุ่นกับสยามแตกต่างกันมากจนเห็นได้ชัด อาคารบ้านเรือนราษฏรของเขามั่นคงเป็นระเบียบสวยงาม ในขณะที่ของเรายังเป็นฝาขัดแตะหลังคามุงแฝก ที่ผมเอาภาพซ่องโสเภณีมาให้ดูมิได้หมายจะให้คิดฉาบฉวยในเรื่องบัดสีบัดเถลิง สำหรับผมเห็นว่าแม้แต่เรื่องอย่างนี้ ยังได้รับการจัดระเบียบจากสังคมอย่างเป็นเรื่องเป็นราวโดยยอมรับความจริงของธรรมชาติมนุษย์ ในสยามซ่องก็คือสถานที่ซ่อนเร้น แม้สมัยโบราณจะยอมรับให้ตีทะเบียนแขวนโคมเขียว แต่ทุกแห่งอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรมหรือลับๆล่อๆ เพราะภายหลังนี้บอกว่าผิดกฏหมาย จนกระทั่งกลายมาเป็นขึ้นตึกเป็นสถานอาบอบนวดในช่วงสงครามเวียตนามที่จีไอเข้ามาเต็มบ้านเต็มเมืองนี้เอง มิใช่ไว้บริการฝรั่งนะครับ ไว้บริการแฝงให้คนไทยนั่นแหละ ผิดกฎหมายหรือเปล่าก็ยังเล่นลิ้นกันอยู่ แต่ที่อยู่ๆกันได้เพราะจ่ายถูกที่ถูกจำนวน


สภาพบ้านเรือนในช่วงเดียวกันมาเปรียบกัน ก็พอตอบได้ลาง ๆ ว่า อากาศนั้นต่างกัน และการรับเทคนิคการก่อสร้างที่ต่างกัน แม้ว่าบางอาคารจะก่อสร้างด้วยไม้ แต่ญี่ปุ่นก็วางขื่อ เสา ด้วยท่อนซุงกลางหลังคาไปเลย ส่วนไทยต้องปรุงแต่งไม้ ประดิษฐ์ให้งาม ส่วนผนังอาคารก็ต่างกัน เขาไม่มีเรื่องน้ำท่วม ไม่ต้องยกเสาสูง

เชิญ อ. NAVARAT.C เปรียบเทียบกันต่อไป ผมว่าดีนะ จะได้เห็นว่ามันต่างกันเมื่อไร อย่างไร
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 08:36

อ้างถึง
ที่ท่านนวรัตน์.ซี นำเสนอว่าสยามกับญี่ปุ่นออกจากจุดสตาร์ทพร้อมกันนั้น น่าจะเป็นการเริ่มต้นเปิดประเทศเพราะโดนชาติมหาอำนาจข่มขู่มาพร้อมกันมากกว่า

หามิได้  เขามิได้หมายความเช่นนั้น ลองอ่านดูใหม่ครับ

อ้างถึง
ช่วงแรกของการพัฒนานั้น สยามแทบจะไม่ต่างจากญี่ปุ่นสักเท่าไร
อ้างถึง
อ้างถึง

…… สำหรับเรื่องการพัฒนาที่ทำให้เราแตกต่างจากญี่ปุ่น เพราะผมสงสัยว่า เราเปิดประเทศในช่วงใกล้ๆ กัน ความรู้ในวิทยาการตะวันตกตอนเริ่มต้นมีพอๆกัน เราออกจะมีเอกภาพในเรื่องการปกครองมากกว่าญี่ปุ่นที่มีหลายๆแคว้นด้วยซ้ำ ทั้งสองประเทศเริ่มต้นจากการซื้อวิทยาการเหมือนกัน จ้างต่างชาติเหมือนกัน มีการส่งนักเรียนไปเรียนเมืองนอกเหมือนกัน แต่ทำไมปลายทางจึงต่างกัน?

ญี่ปุ่นใช้เวลา 30-40 ปีหลังเปิดประเทศก็สามารถมีกองทัพเรือขนาดใหญ่ สามารถต่อเรือรบเอง ผลิตเครื่องยนต์เอง ฯลฯ ปลายๆ ศตวรรษที่19ก็สามารถรบกับจีน ทำตัวเป็นผู้ล่าอาณานิคมแบบฝรั่งได้


ส่วนเรื่องที่คุณวีมีอธิบายมาว่าเรามีความร่ำรวยทางเศรษฐกิจมาช้านาน ตั้งแต่สมัยอยุธยาโน่น ถามว่า ในตอนที่ถูกบังคับให้เปิดประเทศ เรารุ่มรวยจริงหรือ หมายถึงเงินทองที่มีในกระเป๋านะครับ ไม่ใช่ทรัพยากรใต้ดินบนดิน เมื่อเทียบกับญี่ปุ่น

อ้างถึง
ในขณะที่นักเรียนสยามเมื่อไปเรียนในยุโรป นอกจากความรู้ที่ได้กลับมา ยังพกพาวิชาเสพสุราและความนิยมสตรีกลับมาด้วย เมื่อกลับมาบ้านเกิดเมืองนอนจึงนำวิชาเสเพลกลัยมาเผยแพร่มากเสียกว่าที่วิชาที่ร่ำเรียนมา

ถามว่า ทำไมคนเหล่านั้นจึงถูกคัดเลือกส่งไป ทั้งๆที่ตั้งความหวังว่าจะให้กลับมาเป็นอนาคตของชาติ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 08:52

อ้างถึง
สภาพบ้านเรือนในช่วงเดียวกันมาเปรียบกัน ก็พอตอบได้ลาง ๆ ว่า อากาศนั้นต่างกัน และการรับเทคนิคการก่อสร้างที่ต่างกัน แม้ว่าบางอาคารจะก่อสร้างด้วยไม้ แต่ญี่ปุ่นก็วางขื่อ เสา ด้วยท่อนซุงกลางหลังคาไปเลย ส่วนไทยต้องปรุงแต่งไม้ ประดิษฐ์ให้งาม ส่วนผนังอาคารก็ต่างกัน เขาไม่มีเรื่องน้ำท่วม ไม่ต้องยกเสาสูง


เรื่องสถาปัตยกรรมอันเนื่องมาจากอิทธิพลทางภูมิศาสตร์ไม่ใช่ประเด็นที่ผมต้องการชี้ครับ ผมนำภาพมาให้เปรียบเทียบให้ดูความเป็นอยู่ของราษฎร พูดง่ายๆคนมีเงินย่อมมีความเป็นอยู่ดีกว่าคนไม่ค่อยจะมี บ้านญี่ปุ่นส่วนใหญ่ดังที่เห็นในภาพ พูดง่ายๆอีกเหมือนกันว่ามีราคาแพงกว่าบ้านคนไทยส่วนใหญ่ ดังที่เห็นในภาพของยุคสมัยเดียวกัน

ผังเมืองของเขาดูเป็นระบบระเบียบมากกว่าของเรา

ผมขุดให้ดูรากเหง้าทางเศรษฐกิจว่า ตอนเปิดประเทศ ญี่ปุ่นเป็นเศรษฐีกว่าคนไทยมาก ดังนั้นจะทำอะไรก็ได้อย่างใจกว่าคนไทย เดี๋ยวจะขุดให้ดูอีกในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะการใช้จ่ายเพื่อพัฒนาประเทศ

การพัฒนาอาศัยเงินลงทุน เศรษฐีย่อมลงทุนได้หนักกว่าคนทั่วไป เสี่ยจะขายอาหารก็ลงทุนทำเหลา ตี๋จะขายอาหารก็ลงทุนเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว
ลุกหลานในยุคนี้สบายแล้วยังบ่นก๋งว่า ตอนนั้นถ้าก๋งลงทุนเปิดเหลาซะหน่อย เราคงสบายกว่านี้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 08:55

^
กรุณาขยายความหน่อยได้ไหมคะ  สนใจมาก  
อยากรู้ว่าตรงกับที่ดิฉันคิดหรือเปล่า  

ไม่แน่ใจว่าจะตรงกับที่ อ.เทาชมพู คิดไว้หรือไม่นะครับ ผมขอเดาตามแบบผมนะครับ

คือถ้าดูตามช่วงเวลาของทั้งไทยและญี่ปุ่น ทั้งสองประเทศนี้ ต่างผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองซึ่งมีผลกระทบต่อประเทศชาติมาพอ ๆ กัน ของญี่ปุ่นก็ตามที่ได้นำเรียนไปแล้ว ของไทยหรือสยามเอง ก็มีไม่ต่างกัน ตั้งแต่สมัย ร.๔ , ร.๕  เป็นต้นมา สยามหรือต่อมาก็คือไทย ก็ผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองที่เป็นตัวกระตุ้นให้ต้องมีการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น จึงยังทำให้ช่วงแรกของการพัฒนานั้น สยามแทบจะไม่ต่างจากญี่ปุ่นสักเท่าไร

จุดที่ต่างของไทยกับญี่ปุ่น น่าจะมีผลมาตั้งแต่ช่วงที่ไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาจนถึงช่วงสงครามโลก จะเห็นได้ชัดเจนว่า ผู้บริหารของเรามุ่งเน้นไปที่เรื่องของ "การเมืองในประเทศ" มากกว่า "การพัฒนาประเทศ" ในขณะที่ญี่ปุ่น มุ่งหน้าไปที่เรื่องของ "การพัฒนาประเทศ" มากกว่า

และยิ่งจะชัดเจนมากขึ้น หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ญี่ปุ่นโดนอเมริกาบังคับห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับ "การเมืองระหว่างประเทศ" จนแทบไม่ต้องกังวลกับเรื่องของการพัฒนากองทัพมากนัก ตรงข้ามกับของบ้านเรา เพราะฉะนั้นประเทศหนึ่งที่มุ่งแต่ "การเมือง"  กับอีกประเทศที่มุ่งแต่ "พัฒนาบ้านเมือง"  จึงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของประเทศอย่างชัดเจนครับ


ป.ล. การพัฒนาบ้านเมืองของญี่ปุ่น ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีเรื่องคอรัปชั่นนะครับ การเมืองญี่ปุ่นก็ยังมีเรื่องแบบนี้ แต่ก็น้อย และการเมืองญี่ปุ่นค่อนข้างจะไม่นิ่งมานานมากแล้ว แต่ที่ทำให้ประเทศยังเดินหน้าต่อไปได้ เพราะศักยภาพทางเศรษฐกิจที่มาจากการพัฒนาบ้านเมืองในอดีตนี่ล่ะครับ

ดิฉันคิดไปคนละทางเลยค่ะ    แต่รู้สึกว่าเหตุผลคุณ samun007 น่าจะมีน้ำหนักกว่า
คนรุ่นคุณปู่คุณตาของคุณสมุนจำสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ คนรุ่นพ่อแม่คุณสมุนคงจำสงครามเกาหลีได้  คนรุ่นคุณสมุนคงจำสงครามเวียตนามได้  บ้านเมืองของสามประเทศนี้เมื่อเทียบกับไทยแล้ว เขายับเยินกว่ามาก   สังคมเขาก็ถึงขั้นโคม่ากันมาแล้วในตอนนั้น     แต่พอเขารอดมาได้   เขาก็สามารถบำรุงร่างกายจนฟิตเปรี๊ยะ แค่ยี่สิบสามสิบปีก็ลงวิ่งแข่งในสนามเอเชียคว้าเหรียญกันมาได้ทั้งนั้น   โดยเฉพาะญี่ปุ่นไปวิ่งระดับโลก ได้เหรียญทองเลยทีเดียว    

อาจเป็นเพราะแรงผลักดันจากที่เขาเจอสภาพยับเยินของบ้านเมืองมา   จนรู้ว่าถ้าไม่แกร่งพอเขาจะไม่รอด   เพราะฉะนั้น เขาก็ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ต้องกลับไปสู่สภาพนั้นอีก    ส่วนไทยเรานั้นเทียบกันแล้ว ผ่านเจอแค่ไข้หวัดใหญ่บ้างไข้หวัดเล็กบ้าง   ร่างกายไม่อ่อนเพลียเท่าไร  ก็เลยไม่เห็นความจำเป็นต้องบำรุงร่างกาย  ยังคงกินคงเที่ยวกันตามใจชอบได้อยู่     ผลมันก็เลยวิ่งแข่งกับเขาไม่ทันสักที     ซ้ำร้ายหารู้ไม่ว่า เมื่อแวดล้อมด้วยนักวิ่งที่ฟิตร่างกายจนวิ่งปรู๊ดนำหน้าไปหมดนั้น ถึงเราวิ่งด้วยอัตราเร็วเท่าเดิม  เราก็เท่ากับช้าลงโดยอัตโนมัติ

ถ้าถามว่าประเทศพวกนี้มีคอรัปชั่นไหม ก็มี    มันก็เหมือนเชื้อโรคที่มีอยู่ในร่างกายของคนทุกคนละค่ะ      แต่บางคนเชื้อโรคทำอันตรายไม่ได้เพราะเขากินยาควบคุมไว้ไม่ให้อาการกำเริบ   บางคนก็กินวิตามินเข้าไปเสริมให้ร่างกายแข็งแรงมากกว่าเชื้อโรค    แต่ของเรา กลับถือว่ามีเชื้อโรคก็ไม่เห็นเป็นไร   ยินดีอยู่ร่วมกับเชื้อโรคได้ไม่ว่ากัน   เพราะงั้นหาเงินหาอาหารมาป้อนให้ร่างกายเติบโตมากเท่าไหร่   ก็เลยต้องแบ่งไปเลี้ยงเชื้อโรคมากเท่านั้น      ยังงี้เมื่อไรจะแข็งแรงพอวิ่งเร็วกว่านี้ได้ล่ะคะ  
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 09:14


เกอิชาเด็กๆญี่ปุ่นเรียกไมโกะ เขาไม่เคยสั่งมารับรองผม โดยอ้างว่าพวกนี้มือไม่ถึงสู้รุ่นใหญ่ไม่ได้ แต่ผมว่าพวกเธอค่าตัวแพงเกินงบมากกว่า  
 


ให้ภาพเกอิชารุ่นใหญ่ ที่เป็นระดับสูง ค่าตัวแพงลิบลิ่ว และหากเศรษฐีใดยอมจ่ายเงินปลดหนี้ให้แก่นาง ก็ทำได้และไปอยู่ในฐานะอนุ ซึ่งเอกลักษณ์ของเธอคือ ปิ่นปักผมหลายอันประดับไว้อย่างงดงาม ภาพนี้ถ่ายโดย วิลเลียม เบอร์เกอร์ ช่างภาพสมัยต้นรัชกาลที่ ๕ ที่เข้ามาถ่ายภาพในกรุงสยามด้วย

การแต่งกายแบบนี้เรียกว่า "โออิรัน" เป็นเกอิชาประเภทหนึ่งที่ไม่ขายตัว ถือเป็นอาชีพที่ให้การรับรองแก่แขกที่มาบริการเท่านั้น


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 09:32

อ้างถึง
ยังงี้เมื่อไรจะแข็งแรงพอวิ่งเร็วกว่านี้ได้ล่ะคะ
จริงหรือครับที่ว่า เพราะสงครามที่ทำให้ชาติย่อยยับไปแล้ว กลับฟื้นตัวมาแซงผู้อื่นได้

ถ้าใช่อย่างนั้นอย่างเดียว สยามที่ถูกเผาเมือง พม่าที่เสียเมือง เกาหลีเหนือที่เคยมีชะตากรรมเดียวกับเกาหลีใต้ บัดนี้ทำไมยังกระต้วมกระเตี้ยมอยู่วิ่งตามเขาไม่ทัน
ผมมิได้หมายถึงวิ่งในกีฬาโอลิมปิก เพราะโครงสร้างร่างกายของเรายังไงก็สู้เขาไม่ได้ นอกจากจะปรับปรุงสายพันธุ์ใหม่ เอาวิทยาศาสตร์ทางการกีฬาเข้าไปจัดโภชนาการ สร้างคนรุ่นใหม่ให้สูงใหญ่เหมือนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ทำมาแล้ว แต่ก็คงได้แค่แชมป์ซีเกมส์อีกนั่นแหละ

เรื่องคอรัปชั่นก็เช่นกันครับ ผมเชื่อว่าระบบการเมืองในญี่ปุ่นและเกาหลีได้บังคับให้รัฐบาลออกกฏเกณฑ์และกฏหมายเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่บ้าง จะเรียกว่าคอรัปชั่นเชิงนโยบายก็ได้ แต่นักการเมืองของเขาไม่ได้กระทำไปเพราะตนเองและครอบครัว อาจจะทำเพื่อพรรค แต่ตนเองไม่รวยขึ้นมา นี่คือข้อแตกต่าง และที่ชัดๆคือไม่กืนจุกกินจิก กินทุกระดับชั้นเช่นชาติด้อยพัฒนาทางจริยธรรมทั้งหลาย

ในเมืองจีน ซึ่งเป็นต้นตอใหญ่ของเงินเก๋าเจี๊ยะ ทุกวันนี้ก็มีการทุจริตติดสินบาทคาดสินบนทุกระดับ แม้แต่ในองค์กรเอกชนพนักงานก็โกงบริษัทเป็นว่าเล่น มันจะเจริญจริงได้แค่ไหนก็คอยดูกัน
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 09:34

ชาติจะเจริญรุ่งเรืองได้ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ "ประชาชนในชาติ"

คนญี่ปุ่นมีอะไรดีกว่าคนชาติอื่น เมื่อเกิดมหันตภัยสึนามิเมื่อ ๒ ปีก่อน คนทั่วโลกต่างประทับใจความมีระเบียบวินัยของคุณญี่ปุ่น ผู้ประสบภัยต่างเข้าแถวกันยาวเป็นงูเลื้อยเพื่อรับอาหาร ไม่มีการแซงคิว ไม่มีการทะเลาะวิวาทแย่งอาหารกัน ไม่มีการปล้นร้านค้า บ้านเรือนเหมือนบางประเทศ  ยิ้มเท่ห์

อะไรหนอที่สร้างสรรค์ให้คนญี่ปุ่นมีคุณภาพถึงเพียงนี้



ลัทธิบูชิโดน่าจะมีส่วนสำคัญยิ่ง  ลัทธิบูชิโดคืออะไร คุณ Skyforce แห่ง พันทิป ได้อธิบายไว้อย่างละเอียดแล้ว ต่อไปนี้เป็นบางส่วนที่ขอนำมาเสนอ

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ กองทัพญี่ปุ่นล่มสลาย เกิดนักรบบูชิโดรุ่นใหม่คือ นักรบธุรกิจ ที่ยึดถือบูชิโดและทำงานให้บริษัทอย่างจงรักภักดี ซามูไรพันธุ์ใหม่จะอุทิศตนและเวลาให้แก่องค์กรเสียยิ่งกว่าครอบครัวของตน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไม่เคยเห็นคนญี่ปุ่นเอาเวลางานไปรับลูกส่งเมีย แต่กลับทำงานหามรุ่งหามค่ำถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนเป็นปกติ ทำทุกอย่างเพื่อองค์กรของตนเอง และยึดถือในศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์อย่างที่สุด สิ่งนี้เองทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรือง ส่งผลให้ญี่ปุ่นกลับมาผงาดอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีอีกครั้ง

ไม่ใช่เฉพาะธุรกิจเท่านั้นลัทธิบูชิโดยังปลูกฝังเข้าไปในระบบการศึกษาของญี่ปุ่น อันจะเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต เด็กชาวญี่ปุ่นจะถูกฝึกให้มีวินัยตั้งแต่เล็ก วัฒนธรรมญี่ปุ่นจะสอนให้เคารพต่อสังคมและมีการสร้างแรงจูงใจให้อยู่รวมเป็น กลุ่มโดยให้รางวัลเป็นกลุ่มมากกว่าจะให้รางวัลเป็นบุคคล ซึ่งเป็นการปลูกฝังความสามัคคีและความเสียสละให้กับเด็ก การศึกษาของญี่ปุ่นเน้นหนักในเรื่องความขยัน การตำหนิตนเองหากกระทำผิด ตลอดจนการสร้างอุปนิสัยการเรียนรู้ที่ดี ชาวญี่ปุ่นถูกปลูกฝังว่าการทำงานหนักและความขยันหมั่นเพียรจะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต โรงเรียนจึงอุทิศให้กับการสอนทัศนคติ คุณธรรม จริยธรรมให้กับนักเรียนทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อที่จะพัฒนาอุปนิสัยและมีเป้าหมายในการสร้างประชากรที่สามารถอ่านออก เขียนได้ และปรับตัวให้เข้ากับค่านิยมและวัฒนธรรมของสังคมได้  ความสำเร็จทางการศึกษาของญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล มีอัตราการสมัครเข้าเรียนสูง  ระบบการสอบเข้าโดยเฉพาะในระดับมหาวิทยาลัยมีอิทธิพลต่อการศึกษาทั้งระบบเป็นอย่างมาก รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนทางการศึกษาแต่เพียงผู้เดียว โรงเรียนเอกชนก็มีบทบาทสำคัญในด้านการศึกษา รวมถึงโรงเรียนที่อยู่นอกระบบเช่นวิทยาลัยของเอกชน ก็มีบทบาทสำคัญในการศึกษา

แม้ปัจจุบันญี่ปุ่นจะเปลี่ยนไปจากอดีตมาก แต่ลัทธิบูชิโดนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เป็นประเพณี และธรรมเนียมปฏิบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของคนญี่ปุ่น เช่น การตรงต่อเวลา การรักษาความเป็นชาติญี่ปุ่น ไม่ทิ้งวัฒนธรรมดั้งเดิม มีความนับถือซึ่งกันและกัน ให้เกียรติตนเองและผู้อื่น ดูแลรักษาร่างกาย เป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ และเมื่อคิดจะทำอะไรแล้วต้องลงมือทำอย่างจริงจัง ทุ่มเทให้กับหน้าที่ หรือสิ่งที่รับผิดชอบเพื่อความสมบูรณ์แห่งผลในการกระทำ



บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 09:44

^
ถูกที่สุด ในฐานะที่ผมคุ้นกับคนญี่ปุ่นในประเทศของเขามานับสิบๆปี ใช่เลยครับ ซามูไรในเครื่องแบบของบริษัท

แต่ไม่ใช่อยู่ๆปรากฏการณ์นี้จะอุบัติขึ้นโดยฉับพลัน มันมีรากมีเหง้าของมันที่ผมอยากจะพาย้อนกลับไปดู หากมีโอกาส
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 09:54

^
เชิญท่านวิสัชนา


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 11:08

ขอบคุณครับ

เอ้า เรามาต่อประวัติศาสตร์กัน
โปรดมารับแจกอุปกรณ์ในการเรียนด้วย


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 11:16

ในปี1853 ชาติที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมแล้วในยุโรปต่างก็หาตลาดใหม่ที่จะระบายสินค้า ถ้าประเทศไหนไม่ยอมก็ยึดเป็นเมืองขึ้นเสียเลย ทุกประเทศในเอเซียโดนกันเกือบหมดแล้วยกเว้นไทย จีน และญี่ปุ่น จีนถึงจะถูกกลืนไม่หมดประเทศแต่ก็ถูกแทะเหวอะหวะ มีญี่ปุ่นนี่แหละที่ยังทำไม่รู้ไม่ชี้

ในบรรดาชาติที่กระหายเมืองขึ้นเหล่านั้น อเมริกันต้องการญี่ปุ่นเพียงเป็นท่าเติมเชื้อเพลิง คือถ่านหิน สำหรับเรือที่จะเดินทางไกลมาขยายอิทธิพลในภูมิภาคแถบนี้กับเขาบ้าง และต้องการให้ญี่ปุ่นปฏิบัติต่อฝรั่งที่เข้ามาให้มีมนุษยธรรมหน่อย ไม่ใช่แม้แต่กลาสีเรือแตกก็จับไปต้มหาว่าเป็นพวกคนเถื่อนสกปรก กลิ่นตัวเหม็นเหมือนสัตว์เพราะไม่ชอบแช่น้ำร้อนชนิดหนังแทบหลุดเหมือนคนญี่ปุ่น จึงส่งนายพลเรือเพอร์รี่ให้เอาเรือดำมาขู่ญี่ปุ่นดังที่กล่าวไปแล้ว

พอ1854เปิดเมืองท่าให้อเมริกันไปสองแห่ง ไม่ได้เปิดหมดนะครับ ระหว่างนั้นโชกุนได้สั่งให้โรงงานของทหารหล่อปืนใหญ่เป็นการใหญ่ แต่เอาเข้าจริงในปี1856 อังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์และรัสเซียเอาเรือรบมาร่วมกันบังคับให้เปิดเมืองให้ตนบ้าง โดยการมายิงถล่มเกาะแห่งหนึ่งในแคว้นโชชูเพื่อโชว์พาว ญี่ปุ่นประเมินแล้วไม่กล้ายิงปืนใหญ่ของตนตอบโต้ ต้องกัดฟันยอม พอปี1858 อเมริกันขอให้เปิดเมืองท่าเพิ่มให้อีก แล้วทุกประเทศบังคับให้ญี่ปุ่นทำสนธิสัญญาทางการค้ากับตนคล้ายกับสยามนั่นแหละ ผิดกันที่อัตราค่าภาษีที่ระบุให้เก็บได้เท่ากับจีนคือร้อยชักห้า ของไทยอยู่ที่ร้อยชักสาม ตรงนี้บรรพบุรุษของเราถูกวิพากษ์ไม่น้อยโดยคนอย่างว่า หาว่าโง่กว่าเขาบ้างละ เก่งไม่เท่าเขาบ้างละ ปัดโถ! เก่งไม่เก่งไม่ได้อยู่ที่พูดภาษาเขาได้เท่านั้นนะขอรับ แต่อยู่ที่อำนาจต่อรองทางทหารด้วย จีนกับญี่ปุ่นถึงแม้อาวุธล้าสมัยกว่าแต่กำลังพลเขามีเป็นล้นพ้น  ของไทยมีกระหยิบมือเดียว ฝรั่งเห็นสภาพทหารรักษาพระองค์ของไทยแล้วก็ยิ้มมุมปาก รองเท้าน้าท่านยังไม่มีจะใส่เลย ทั้งกองทัพจะมีซักกี่คนละเนี่ย


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 11:27

การที่โชกุนยอมเปิดประเทศให้ฝรั่งอย่างง่ายดายเช่นนี้  พวกซามูไรถือว่าไร้เกียรติภูมิยิ่งนัก ในที่สุดก็เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองของกลุ่มชนชั้นปกครองที่เบื่อโชกุนสายตระกูลโตคุกาวะที่สืบเนื่องมากว่าสองร้อยปีแล้วเต็มทีก็ก่อหวอดขึ้น โดยอิงแอบพระราชอำนาจขององค์จักรพรรดิที่โชกุนริดรอนไปจนเหลือแต่พระบารมี ช่วยกันกดดันจนในปี1867 โชกุนโตคุกาวะ โยะชิโนะบุ ยอมสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระจักรพรรดิ และลงจากตำแหน่งในอีก 10 วันต่อมา  ถือเป็นวันที่สิ้นสุดการปกครองระบอบโชกุนอย่างเป็นทางการ และเป็นการฟื้นฟูพระราชอำนาจของสถาบันกษัตริย์ขึ้นมาใหม่

ปี1867 สมเด็จพระจักรพรรดิโคเมเสด็จสวรรคต สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิขึ้นสืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา ทรงได้รับพระราชสมัญญาว่าเป็นมหาราช เนื่องจากรัชกาลนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น

สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิทรงมีพระนามเดิมว่าเจ้าชายมัตสุหิโต ประสูติในวันที่3 พฤศจิกายน 1852 ก่อนสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯซึ่งประสูติในวันที่ 20 กันยายน 1853 ไม่ถึงปี

ปี1868 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯเสด็จสวรรคต สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯขึ้นสืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา ทรงได้รับพระราชสมัญญาว่าเป็นมหาราช เนื่องจากรัชกาลนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของสยาม


บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 11:34

^
ระหว่างเหตุการณ์นี้ อำนาจทั้งหลายตกอยู่ในอิทธิพลของโชกุน ไม่ใช่หรือครับ โชกุนเป็นผู้กุมอำนาจทางฝ่ายทหาร อ.NAVARAT.C ต้องหาภาพโชกุนมาแปะด้วยนะ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 11:49

^
เดี๋ยวท่าน อีกแปร๊บเดียว กำลังจัดคิวให้

หลังเสด็จขึ้นครองราชย์ไม่นานในเดือนมกราคมของปี1868 ก็เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างพันธมิตรซัทโชซึ่งสนับสนุนสมเด็จพระจักรพรรดิ กับกองทัพของอดีตโชกุนที่ยังเสียดายอำนาจซึ่งหลุดมือไปแล้ว เรียกว่าสงครามโบะชิน มีการรบกันจริงๆจังๆทั้งทางบกและทางเรือ ดังในรูปซึ่งถือว่าเป็นการรบทางเรือในรูปแบบสงครามสมัยใหม่เป็นครั้งแรก  สุดท้ายกองทัพของโชกุนก็พ่ายแพ้ ส่งผลให้สมเด็จพระจักรพรรดิทรงมีพระราชอำนาจเต็มเหนืออดีตโชกุนโยะชิโนะบุอย่างสมบูรณ์ ปี1869 สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิทรงมีพระบรมราชโองการประกาศฟื้นฟูพระราชอำนาจอย่างเป็นทางการ


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 44  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 11:55

กองกำลังของโชกุนส่วนหนึ่งได้หลบหนีไปยังเกาะฮอกไกโด และพยายามแบ่งแยกดินแดนตั้งเป็นรัฐอิสระ จึงถูกกองกำลังฝ่ายสมเด็จพระจักรพรรดิเข้าปราบ โดยในศึกครั้งนี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของรัฐบาลโชกุนโตคุกาวะ และเป็นการฟื้นฟูพระราชอำนาจในสมเด็จพระจักรพรรดิอย่างสมบูรณ์

เอ้า ท่านโตคุกาวะ โยะชิโนะบุ ถึงคิวท่านมาเข้าฉากได้แล้ว ผู้กำกับสั่งมา จบฉากนี้ก็ไปอยู่เงียบๆไกลๆได้เลย ไม่มีบทโชกุนให้อีกแล้วนะ


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 13
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.071 วินาที กับ 20 คำสั่ง