เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 13
  พิมพ์  
อ่าน: 56517 จริงหรือไฉน: ญี่ปุ่นกับไทยออกเส้นสต๊าร์ทเดียวกันเมื่อถูกฝรั่งดันให้วิ่ง
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 29 ม.ค. 13, 20:56

ก่อนที่อเมริกันจะมาเปิดประตูญี่ปุ่นนั้น ญี่ปุนปิดประเทศไปแล้วร่วมสองร้อยปี รัฐบาลที่ปกครองระหว่างนั้นมีโชกุนสายสกุลโตคุกาวาเป็นประธานสืบทอดอำนาจกันมา สังคมญี่ปุ่นแบ่งแยกเป็นชนชั้น เริ่มจาก ไดเมียวหรือเจ้าของที่ดินอยู่บนสุด รองลงมาคือพวกซามูไรหรือขุนศึก รองลงมาอีกคือชาวไร่ชาวนา ซึ่งอยู่เหนือพวกช่างฝีมือ โดยมีพ่อค้าอยู่อันดับต่ำสุด เขาว่าที่จัดให้พ่อค้ามีฐานะทางสังคมต่ำต้อยที่สุดก็เพราะไม่ได้สร้างผลผลิตอะไรให้แก่ส่วนรวมเลย แต่โดยความเป็นจริงแล้ว พวกที่อันดับต่ำต้อยสุด ขายไปคำนับไป โค้งจนหัวติดดินนี่แหละที่รวยที่สุดในญี่ปุ่น


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
ichibang
อสุรผัด
*
ตอบ: 5


ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 29 ม.ค. 13, 21:01

ตามรอดูครับ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 29 ม.ค. 13, 21:10

ระบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องพึ่งปัจจัยภายนอกประเทศเพราะความที่มีประชากรหนาแน่น ผลิตอะไรขึ้นมาก็ขายได้ขายดิบ ปิดประเทศคราวนี้มีข้อดีคือเมื่อปราศจากตัวแปรจากภายนอก รัฐบาลก็มีความมั่นคง เก็บภาษีได้เป็นกอบเป็นกำจากชาวนาชาวไร่ ศิลปะวิทยาถูกส่งเสริมพร้อมๆกับความบันเทิงในทางโลกียะ ละครคาบูกิก็เกิดในยุคนี้และเป็นที่นิยมไปทั่วเหมือนละครนอกในกรุงเทพหรือยี่เกตามบ้านนอก

แต่ญี่ปุ่นเขายิ่งใหญ่กว่าจริงๆ ขอบอก


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 29 ม.ค. 13, 21:22

นี่คือซ่องหญิงนครโสเภณีในเมืองใหญ่ๆของญี่ปุ่นสมัยนั้นครับ ท่านผู้ชม
กล่าวกันว่า เรื่องพรรค์นี้ ญี่ปุ่นเป็นครูของสถานอาบอบนวดเมืองไทยทีเดียวนะ

แต่ไม่แน่ พ.ศ.นี้ศิษย์อาจจะล้างครูสำเร็จแล้วก็ได้ ใครรู้ช่วยบอกด้วย


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ

คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 29 ม.ค. 13, 21:44

นี่คือซ่องหญิงนครโสเภณีในเมืองใหญ่ๆของญี่ปุ่นสมัยนั้นครับ ท่านผู้ชม
กล่าวกันว่า เรื่องพรรค์นี้ ญี่ปุ่นเป็นครูของสถานอาบอบนวดเมืองไทยทีเดียวนะ

แต่ไม่แน่ พ.ศ.นี้ศิษย์อาจจะล้างครูสำเร็จแล้วก็ได้ ใครรู้ช่วยบอกด้วย

ในฐานะนักทฤษฏีที่ผ่านหูผ่านตาเรื่องนี้มามาก แต่ไม่เคยได้ลองลงสนามจริงแม้แต่ครั้งเดียว  อาจจะต้องให้ผู้รู้มาชี้แนะ   ยิงฟันยิ้ม  แต่โดยความเห็นส่วนตัว ใน พ.ศ. นี้  ในแง่ของบริการแบบถึงเนื้อถึงตัว ถึงพริกถึงขิง ไทยเราน่าจะโด่งดังกว่า ถ้าถ้าในแง่ประเภทดูด้วยตาฟังด้วยหู อุตสาหกรรมนี้ของญี่ปุ่นจะรุดหน้ากว่าเราค่อนข้างมาก มีให้ดูกันไม่หวาดไม่ไหว


เกอิชานี่ผมก็สงสัยว่าไม่รู้ว่าบริการกันถึงระดับไหน เป็นระดับโสเภณีเลยหรือแค่เน้นเอ็นเตอร์เทนอย่างเดียว หลังเสร็จการกินเหล้าเมายาแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ ละครญี่ปุ่นไม่เคยฉายฉากต่อเนื่อง ได้แต่ต้องจินตนาการต่อว่าตกลงจบแค่นั้น หรือมีบทพิศวาสต่อ   จนทำให้ผมสงสัยมาจนบัดนี้  ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบเด็กนั่งดริงค์บ้านเราที่ซื้อชั่วโมงมานั่งคุยแต่อาจจะ off ไม่ได้  หรือบริการถึงขนาดอย่างว่าด้วย  แต่เท่าที่รู้มาผู้หญิงที่เป็นเกอิชาต้องมีการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงทั้งศิลปะการร้องรำทำเพลง เป็นเพื่อนคุย เรียกว่าต้องเอนเตอร์เทนกันแบบครบเครื่อง
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 29 ม.ค. 13, 22:00

ขอเดาแล้วกันนะครับ น่าจะมาจากพื้นฐานการศึกษาครับ เด็ก ๆ ญี่ปุ่นได้รับการสอนเรื่องระเบียบวินัยมาตั้งแต่เด็ก พร้อมกันนั้นสังคมก็เป็นกึ่ง ๆ ระบบทหาร ซึ่งมีความเข้มงวด ต่างจากของไทยที่อะไร ๆ ก็ "หยวน ๆ" ยิ่งมองดูคุณภาพครูผู้สอน ยิ่งน่าตกใจ ครูบ้านเราสมัยนี้ก็เป็นอย่างกระทู้ใน Pantip เพราะฉะนั้นไม่น่าแปลกใจที่คุณภาพของเด็กจึงออกมาเป็นแบบนี้ครับ และเด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในอนาคต บ่งบอกอนาคตของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 29 ม.ค. 13, 22:06

^
ใช่ครับ แต่ทำไมระบบของเขาจึงเป็นมาอย่างนั้น ของเราเป็นมาอย่างนี้

อ้างถึง
แต่เท่าที่รู้มาผู้หญิงที่เป็นเกอิชาต้องมีการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงทั้งศิลปะการร้องรำทำเพลง เป็นเพื่อนคุย เรียกว่าต้องเอนเตอร์เทนกันแบบครบเครื่อง

เท่าที่ผมเคยถูกจัดให้เป็นฝ่ายถูกรับรอง ทุกครั้งจะเป็นเช่นที่ว่า เท่านั้น
เหตุที่เท่านั้นอีกอย่างหนึ่งก็คือ ภายใต้แป้งขาวว่อกเป็นใบหน้าย่นๆของหญิงคราวคุณน้า จะให้ยิ่งกว่านั้นก็ม่ายหวาย

เกอิชาเด็กๆญี่ปุ่นเรียกไมโกะ เขาไม่เคยสั่งมารับรองผม โดยอ้างว่าพวกนี้มือไม่ถึงสู้รุ่นใหญ่ไม่ได้ แต่ผมว่าพวกเธอค่าตัวแพงเกินงบมากกว่า  
 


บันทึกการเข้า
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 29 ม.ค. 13, 22:08

นี่คือซ่องหญิงนครโสเภณีในเมืองใหญ่ๆของญี่ปุ่นสมัยนั้นครับ ท่านผู้ชม
กล่าวกันว่า เรื่องพรรค์นี้ ญี่ปุ่นเป็นครูของสถานอาบอบนวดเมืองไทยทีเดียวนะ

แต่ไม่แน่ พ.ศ.นี้ศิษย์อาจจะล้างครูสำเร็จแล้วก็ได้ ใครรู้ช่วยบอกด้วย

ในฐานะนักทฤษฏีที่ผ่านหูผ่านตาเรื่องนี้มามาก แต่ไม่เคยได้ลองลงสนามจริงแม้แต่ครั้งเดียว  อาจจะต้องให้ผู้รู้มาชี้แนะ   ยิงฟันยิ้ม  แต่โดยความเห็นส่วนตัว ใน พ.ศ. นี้  ในแง่ของบริการแบบถึงเนื้อถึงตัว ถึงพริกถึงขิง ไทยเราน่าจะโด่งดังกว่า ถ้าถ้าในแง่ประเภทดูด้วยตาฟังด้วยหู อุตสาหกรรมนี้ของญี่ปุ่นจะรุดหน้ากว่าเราค่อนข้างมาก มีให้ดูกันไม่หวาดไม่ไหว


ที่โน่น ถ้าว่ากันด้วยเรื่องสื่อลามก ของเขาจัดให้ถูกกฎหมายนะครับ แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าถึงกันได้ง่าย ๆ ถึงแม้จะมีให้เช่า/จำหน่ายแบบเปิดเผย แต่ก็จำกัดสิทธิเฉพาะคนที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ที่ญี่ปุ่นดาราหนังผู้ใหญ่ มีแฟนคลับทั้งหญิงและชายอย่างชัดเจน ได้รับเกียรติเสมือนเป็นดาราคนหนึ่งไม่ต้องแอบหลบซ่อนแต่อย่างใด บางคนเมื่อเลิกอาชีพนี้แล้ว ก็ยังสามารถผันตัวเองมาเป็นพิธีกรได้ก็มีมาแล้ว หรือจะเล่นภาพยนต์ หรือ MV ในต่างประเทศ(ประเทศไทย) ก็เคยมีมาแล้วครับ

การจะไปเป็นดาราหนังผู้ใหญ่ได้ ไม่ใช่ว่าใครใคร่จะเป็นก็เป็นได้นะครับ ต้องผ่านการประเมินผลทางจิตวิทยาก่อนว่า "พร้อม" จริง ๆ ถึงจะได้รับคัดเลือกครับ
บันทึกการเข้า
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 29 ม.ค. 13, 22:13

^
ใช่ครับ แต่ทำไมระบบของเขาจึงเป็นมาอย่างนั้น ขอเราเป็นมาอย่างนี้


ถ้าให้เดานะครับ ผมว่าญี่ปุ่นผูกพันกับระบบ "ทหาร" ในสังคมรูปแบบศักดินามาแทบไม่ต่างจากไทยเลย จุดเปลี่ยนจริง ๆ คงจะมาจากเรื่องของ "การแพ้สงคราม" ทั้งสงครามเปิดประเทศ ที่โดนนายพลเปอร์รี่เอาเรือดำมายึด  มาแพ้ครั้งที่สองแบบเจ็บแสบสุด ๆ ก็คราวสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อเจอผลของความพ่ายแพ้ อันนำมาซึ่งความน่าอัปยศ ก็เป็นธรรมดาที่คนที่รักศักดิ์ศรีอย่างญี่ปุ่น จะยอมไม่ได้ครับ

แนวคิดนี้ ก็ไม่ต่างจากที่เกาหลีใต้ และจีน กำลังลอกเลียนแบบญี่ปุ่นอยู่อย่างทุกวันนี้ จนตอนนี้เกาหลีใต้และจีน ไล่บี้ญี่ปุ่นขึ้นมาชนิดหายใจรดต้นคอแล้วล่ะครับ

ซึ่งตรงกันข้ามกับของบ้านเราครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 29 ม.ค. 13, 22:21

^
กรุณาขยายความหน่อยได้ไหมคะ  สนใจมาก 
อยากรู้ว่าตรงกับที่ดิฉันคิดหรือเปล่า 
บันทึกการเข้า
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 29 ม.ค. 13, 22:37

^
กรุณาขยายความหน่อยได้ไหมคะ  สนใจมาก  
อยากรู้ว่าตรงกับที่ดิฉันคิดหรือเปล่า  

ไม่แน่ใจว่าจะตรงกับที่ อ.เทาชมพู คิดไว้หรือไม่นะครับ ผมขอเดาตามแบบผมนะครับ

คือถ้าดูตามช่วงเวลาของทั้งไทยและญี่ปุ่น ทั้งสองประเทศนี้ ต่างผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองซึ่งมีผลกระทบต่อประเทศชาติมาพอ ๆ กัน ของญี่ปุ่นก็ตามที่ได้นำเรียนไปแล้ว ของไทยหรือสยามเอง ก็มีไม่ต่างกัน ตั้งแต่สมัย ร.๔ , ร.๕  เป็นต้นมา สยามหรือต่อมาก็คือไทย ก็ผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองที่เป็นตัวกระตุ้นให้ต้องมีการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น จึงยังทำให้ช่วงแรกของการพัฒนานั้น สยามแทบจะไม่ต่างจากญี่ปุ่นสักเท่าไร

จุดที่ต่างของไทยกับญี่ปุ่น น่าจะมีผลมาตั้งแต่ช่วงที่ไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาจนถึงช่วงสงครามโลก จะเห็นได้ชัดเจนว่า ผู้บริหารของเรามุ่งเน้นไปที่เรื่องของ "การเมืองในประเทศ" มากกว่า "การพัฒนาประเทศ" ในขณะที่ญี่ปุ่น มุ่งหน้าไปที่เรื่องของ "การพัฒนาประเทศ" มากกว่า

และยิ่งจะชัดเจนมากขึ้น หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ญี่ปุ่นโดนอเมริกาบังคับห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับ "การเมืองระหว่างประเทศ" จนแทบไม่ต้องกังวลกับเรื่องของการพัฒนากองทัพมากนัก ตรงข้ามกับของบ้านเรา เพราะฉะนั้นประเทศหนึ่งที่มุ่งแต่ "การเมือง"  กับอีกประเทศที่มุ่งแต่ "พัฒนาบ้านเมือง"  จึงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของประเทศอย่างชัดเจนครับ


ป.ล. การพัฒนาบ้านเมืองของญี่ปุ่น ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีเรื่องคอรัปชั่นนะครับ การเมืองญี่ปุ่นก็ยังมีเรื่องแบบนี้ แต่ก็น้อย และการเมืองญี่ปุ่นค่อนข้างจะไม่นิ่งมานานมากแล้ว แต่ที่ทำให้ประเทศยังเดินหน้าต่อไปได้ เพราะศักยภาพทางเศรษฐกิจที่มาจากการพัฒนาบ้านเมืองในอดีตนี่ล่ะครับ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 06:01

อ้างถึง
ช่วงแรกของการพัฒนานั้น สยามแทบจะไม่ต่างจากญี่ปุ่นสักเท่าไร
ที่ผมเสนอกระทู้นี้ขึ้นมา ก็เพราะประโยคเช่นนี้แหละครับ

การเดา เป็นแค่สมมติฐานที่เราพึงวิเคราะห์ค้นหาความจริง ว่าสิ่งที่เราเดานั้นถูกหรือผิด มากน้อยแค่ไหน
จะดูว่าต้นไม้ต้นนี้เป็นต้นอะไร จะใช้การเดาก็ได้ แต่ถ้าจะให้จริงแท้แน่นอนต้องวิเคราะห์ พืชบางชนิดอาจต้องรอให้เห็นดอก พืชบางชนิดต้องขุดให้เห็นรากเห็นเหง้า

ผมชวนท่านให้เข้ามาวิเคราะห์รากเหง้าของญี่ปุ่นและไทย ซึ่งผมเชื่อ ไม่ใช่ด้วยการเดาว่าเขากับเราถูกหล่อหลอมมาด้วยสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมประเพณี ทำให้แตกต่างกันทั้งความคิดและการกระทำมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ที่หารูปถ่ายมาให้ดูแบบเปรียบเทียบก็เพื่อยืนยันว่า เมื่อเริ่มการพัฒนาประเทศตามวิถีของชาวตะวันตกซึ่งเป็นยุคที่มีภาพถ่ายแล้ว ก็จะเห็นญี่ปุ่นกับสยามแตกต่างกันมากจนเห็นได้ชัด อาคารบ้านเรือนราษฏรของเขามั่นคงเป็นระเบียบสวยงาม ในขณะที่ของเรายังเป็นฝาขัดแตะหลังคามุงแฝก ที่ผมเอาภาพซ่องโสเภณีมาให้ดูมิได้หมายจะให้คิดฉาบฉวยในเรื่องบัดสีบัดเถลิง สำหรับผมเห็นว่าแม้แต่เรื่องอย่างนี้ ยังได้รับการจัดระเบียบจากสังคมอย่างเป็นเรื่องเป็นราวโดยยอมรับความจริงของธรรมชาติมนุษย์ ในสยามซ่องก็คือสถานที่ซ่อนเร้น แม้สมัยโบราณจะยอมรับให้ตีทะเบียนแขวนโคมเขียว แต่ทุกแห่งอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรมหรือลับๆล่อๆ เพราะภายหลังนี้บอกว่าผิดกฏหมาย จนกระทั่งกลายมาเป็นขึ้นตึกเป็นสถานอาบอบนวดในช่วงสงครามเวียตนามที่จีไอเข้ามาเต็มบ้านเต็มเมืองนี้เอง มิใช่ไว้บริการฝรั่งนะครับ ไว้บริการแฝงให้คนไทยนั่นแหละ ผิดกฎหมายหรือเปล่าก็ยังเล่นลิ้นกันอยู่ แต่ที่อยู่ๆกันได้เพราะจ่ายถูกที่ถูกจำนวน


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 06:03

ผมขอเสนอศัพท์คำหนึ่งไว้ให้พิจารณา มิได้คิดขึ้นเองแต่มีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนไว้ในสมัยที่ผมทำงานในวงการอุตสาหกรรมแล้ว

ท่านอาจรู้จักคำว่า man-hour หรือ man-day สำหรับคิดว่างานชิ้นหนึ่งๆหรือโครงการหนึ่งๆ ถ้าทำขึ้นแต่ต้นจนจบ จะให้แรงงานกี่คน-กี่ชั่วโมง หรือกี่คน-กี่วัน เพื่อคำนวณหาต้นทุนค่าจ้างคนทำเป็นต้น
หลักการเดียวกันได้ถูกนำมาใช้เป็นman-yearสำหรับองค์กรใหญ่ๆในการหาค่า“ความเชียวชาญชำนิชำนาญ”ในการทำธุรกิจแต่ละเรื่อง โดยนับจำนวนคนที่ทำงานในเรื่องนั้นคูณกับจำนวนปีที่แต่ละคนดังกล่าวได้ทำมา เอามารวมกัน จะได้ตัวเลขหนึ่งในการนำไปพิจารณาว่า เราควรจะเชื่อถือบริษัทไหน หากเราจะต้องเลือกบริษัทใดบริษัทหนึ่งให้มาทำงานที่เราต้องการความมั่นใจในระดับสูงเป็นพิเศษ

ในอเมริกาเขาใช้หลักการนี้เป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณา สมมุติว่าจะเลือกบริษัททำโรงไฟฟ้าปรมาณูขึ้นสักโรงหนึ่ง ก็คงต้องการเลือกบริษัทที่มีความรู้ความชำนาญ บวกกับประสพการณ์ที่เคยทำมาแล้วจริงๆ ในเมืองไทยแม้จะไม่ได้คิดด้วยหลักการนี้ แต่ท่านจะเห็นได้ว่าการก่อสร้างบางอย่างเช่น รางรถไฟฟ้า จะมีอยู่สักสามบริษัทที่ได้รับงาน บริษัทอื่นๆหลายบริษัทอาจอยากเข้าไปทำบ้างแต่ก็ไม่ได้ เหตุที่ไม่ได้เพราะสามบริษัทนั้น เขามีman-yearในเรื่องการทำธุรกิจกับหน่วยงานรัฐบาลไทยในเรื่องการก่อสร้างรางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมากกว่า เป็นคุณสมบัติติดตัวของเขาอยู่ มิได้เป็นค่าที่นายจ้างประเมินขึ้นมาเองด้วยซ้ำ ประมูลทีใดเขาก็ได้

หน่วยman-yearนี้ถูกนำมาคิดหาค่านิยมบางอย่างของชาติต่างๆในเชิงเปรียบเทียบได้เหมือนกัน

ญี่ปุ่น มีความเป็นชาติมาประมาณ๒๐๐๐ปีแล้ว อินเดียแม้จะนานกว่านั้น แต่คนในชาติมีหลายเผ่าพันธุ์มิได้เป็นน้ำหนึ่งเดียวกันเช่นญี่ปุ่น เมื่อสะกัดหาตัวคูณออกมาเป็นค่าman-year ณ ปัจจุบันจึงยังน้อยกว่าญี่ปุ่น ไทยเป็นชาติมาประมาณ๘๐๐ปีแค่นั้น และคล้ายกับอินเดีย คือมีทั้งลาวมอญเขมรจีนจนคนไทยแท้ๆเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบ นับเข้าจริงๆ พวกเราที่เรียกตนเองว่าคนไทยโดยมีบรรพบุรุษเป็นคนต่างชาตินี้ อาจจะไม่เกินร้อยสองร้อยปีมานี่เอง คูณกับจำนวนประชากรแล้ว ค่าman-yearตรงนี้จึงไม่ต้องไปเทียบกับญี่ปุ่น แต่ผมเสนอมาให้คิดเฉยๆ เพราะทฤษฎีค่าman-yearนี้หาใช่เรื่องไร้สาระไม่ โดยเฉพาะการนำมาวัดค่าที่เป็นนามธรรม

ผมสัมผัสคนเกาหลีและจีนบนแผ่นดินใหญ่ไม่มากนักก็จริง แต่ทุกครั้งที่ไปประเทศทั้งสอง ผมอาจประทับใจในวัตถุธรรม แต่ไม่ประทับใจคน ที่เกาหลี ผมออกไปเดินเล่นบนถนน เห็นพ่อค้าออกจากแผงมาถีบคนซื้อหลายครั้ง ตีกอล์ฟในเมืองไทยนี่ หากมีก้วนเกาหลีอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังเป็นได้หงุดหงิดกันตลอด ที่เมืองจีน ไม่มีครั้งไหนที่ไม่โดนคนจีนโกงหรือพยายามโกง แต่ไปญี่ปุ่นจะสบายใจในเรื่องเหล่านี้ที่สุดในโลก ทุกครั้งที่ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบถูกปรุงขึ้นมากระทบจิต ผมจะนึกถึงค่าman-yearของชาติที่อาจารย์ท่านนั้นเคยlectureเสมอ และผมอาจจะเอ่ยถึงคำว่าman-yearนี้อีกเวลาหาเหตุผลอื่นมาอธิบายไม่ได้
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 06:10

การเสนอข้อมูลในภาคประวัติศาสตร์เปรียบเทียบตามหัวข้อกระทู้ของผมอาจชะงักหรือกระโดดเป็นช่วงๆได้เช่นนี้ หากท่านผู้อ่านชูประเด็นอื่นเข้ามาแทรก ที่ว่าอย่างนี้ไม่ได้ห้ามนะครับ จะหยุดอภิปรายเรื่องญี่ปุ่นหลังสงครามหรือเรื่องเกาหลีก็เอา ถ้าอารมณ์มันนำมาอย่างนั้น
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 30 ม.ค. 13, 08:17

ที่ท่านนวรัตน์.ซี นำเสนอว่าสยามกับญี่ปุ่นออกจากจุสตาร์ทพร้อมกันนั้น  น่าจะเป็นการเริ่มต้นเปิดประเทศเพราะโดนชาติมหาอำนาจข่มขู่มาพร้อมกันมากกว่า
แต่ปัจจับพื้นฐานระหว่างสยามกับญี่ปุ่นั้นต่างกัน  สยามเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายมีความร่ำรวยทางเศรษฐกิจมาช้านาน  ชนชาวสยามในสมัยอยุธยาจึงเคยชินกับความสะดวกสบาย  แต่ในความสะดวกสบายนั้นสยามเป็นฝ่ายตั้งรับ  แทบจะไม่เคยเสนอตัวเดินเรือออกไปค้าขายต่างประเทศ  ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างประเทศจะนำสินค้าเข้ามาขายในบ้านเรา

ในขณะที่ปุ่นมีภูมิประเทศเป็นหมู่เกาะ  ทั้งยังมีภัยธรรมชาติรบกวนอยู่เสมอ  ประกอบกับสังคมศักดินาของญี่ปุ่นมีการรบราฆ่าฟันกันเองอยู่ตลอดเวลา  ชาวญี่ปุ่นจึงมีสำนึกความเป็นนักรบที่จะต้องต่อสู้แย่งชิงซึ่งอำนาจอยู่ตลอดเวลา

ด้วยปัจจับพื้นฐานที่แตกต่างกันทำให้ทั้งสยามและญี่ปุ่นต่างก็แตกต่างกัน  ยิ่งสยามถูกพม่ามาเผาบ้านเผาเมือง  เผาตำหรับตำราทิ้งไปเสียมาก  ทั้งยังกวาดต้อนผู้คนชาวสยามกลับไปเมืองพม่าเป็นจำนวนมากเมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ ๒ ทำให้สยามต้องเริ่มฟื้นฟูบ้านเมืองกันครั้งใหญ่  ศิลปวิทยาการขาดการถ่ายทอด  ซึ่งต่างกับญี่ปุ่นที่มีการถ่ายทอดวิทยาการต่างๆ ต่อเนื่องกันมา 
ข้อที่สำคัญคือ คนญี่ปุ่นมีวินัยในตนเองสูง  เมื่อถูกส่งไปศึกาาวิทยาการที่ยุโรปจึงไปถ่ายทอดความรู้จนถึงกล่าวกันว่า ไปคัดลอกตำหรับตำราต่างๆ จากยุโรปมาสอนกันเอง  ยิ่งญี่ปุ่นเป็นเกาะอยู่กลางทะเลจึงมีความสามารถในต่อเรือเดินทะเล้ป็นทุน เมื่อได้รับความรูจากตะวันตกมาเสริมจึงสามารถพัฒนาการต่อเรือรบได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ในขณะที่นักเรียนสยามเมื่อไปเรียนในยุโรป  นอกจากความรู้ที่ได้กลับมา  ยังพกพาวิชาเสพสุราและความนิยมสตรีกลับมาด้วย  เมื่อกลับมาบ้านเกิดเมืองนอนจึงนำวิชาเสเพลกลัยมาเผยแพร่มากเสียกว่าที่วิชาที่ร่ำเรียนมา

เพราะเหตุดังว่ามา สยามจึงพัฒนาไปได้ช้ากว่าญี่ปุ่น
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 13
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.084 วินาที กับ 20 คำสั่ง