หยาดน้ำค้างคือน้ำตาของเวลา ตอน นิมิตในสายรุ้ง รัตติกาลหลับอยู่ในม่านแพรของละอองอากาศสดใส ยวงนิลอมน้ำเงินเป็นละอองยองใย ห้องแก้วนั้นคือเวิ้งพระธรณี มีพื้นราบกระทั่งสุดป่าเขาลำเนาไพรไปลับลิ่ว จนจบปริมณฑลไกลกว้างกว่าขอบฟ้า จวนลุเวลาเช้าตรู่ แสงทองเริ่มวเนจรมาถึงโลก ละอองหมอกอันปกคลุมดอยสูง ทำให้เกิดเป็นสายรุ้งอันรุ่งเรือง ในริ้วรุ้งสีทิพย์นั้นบังเกิดนิมิตน่าอัศจรรย์ซับซ้อนอยู่กว่าร้อยความฝัน เสมอฟ้าเสกสรรค์ เงาฝันนั้นมาซับซ้อนซ่อนเร้นไว้ให้หลงไหลใฝ่ฝันจินตนาการ
ทิวาวารตื่นแล้ว หอยทากคลืบคลานมาบสายรุ้ง ลีลาช้า ๆ มาพร้อมกับแสงตะวันในยามเช้า หอยทากคลานลงจากโค้งรุ้งแล้วเลยหยุดกินน้ำค้างบนใบหญ้าและกลีบดอกไม้ เอ่ยถามหยาดน้ำค้างว่า ใครแต่งแต้มลวดลายไว้บนสไบพระแม่ธรณีในคืนนี้ มีจิตรกรหรือ เขาคงซื่อขีดเขียนอยู่มิรู้หลับนอนกระมัง
หยาดน้ำค้างตอบว่า " เรานี่แหละเป็นจิตรกร "
เมื่อท่ามกลางดึกสงัด เราได้หยดหยาดลงบนใบไม้ ตกต้องเนื้อดินทรายป่าอันละเอียด ตรงใหนมีลายพู่กันของเราลงแรง แผ่นดินก็เว้าลงเป็นรอยลึก ที่ใหนต้องรอยพู่กันน้อย รอยก็ตื้น ตลอดราตรีนี้น้ำค้างมิได้หลับนอนเลย ประจงแต่งแต้ม รอยสับสนวนวง ลงเป็นเส้นสายน้ำไหลอันไพจิตรน่าพิศวง ซื่อตรงเป็นลำนำธรรมชาติบริสุทธิ์ เราจึงสมมติว่าเป็นจิตรกรแก้วแล้วแต่งแต้มลวดลายของหยาดน้ำค้าง ลงบนสไบแพรของพระแม่ธรณี
" เจ้าเห็นสวยงามหรือ "
" จ้ะ สวยงามมาก "
ทำให้เห็นว่า โลกนี้มีแต่แรงเสน่หา น่าอัศจรรย์ ดูเถอะนั่นดอกไม้ป่าก็เบิกบานยิ้มแย้ม เสียดายก็แต่หมู่มนุษย์ โง่เขลาเบาปัญญา คิดแต่จะฆ่าทำลายล้างโลก ดูเถอะนั่นมันกำลังทำอากาศให้เสียหาย เป็นสวะดำมหึมาน่าขยะแขยง ทั้ง ๆ ที่เขาใช้อากาศหายใจ มีชีวิตสดใส เพราะอากาศบริสุทธิ์ แต่ไม่หยุดทำสกปรกสิ่งเลวนรกจกเปรต จนอากาศเน่าเปื่อยสิ้นทุกมุมเมือง
ดูสิเขาฆ่าป่าไม้ ทำลายสายต้นน้ำลำธารลงทุกเวลานาที อย่างไม่มีความหมายสิ่งใด เพียงแต่เหตุโลภหลงเงินทองเป็นกองภูเขาเลากาน่าอนาถ ต้นไม้ช่วยปรับช่วยปรุงให้อากาศบริสุทธิ์ กำนัลมนุษย์ทั้งโลก แต่เขาก็ฆ่าประหารพฤกษาตายคามือ มนุษยชาติอกตัญญู ไม่รู้จักบุญคุณสิ่งใด ดีแต่ทำระเบิดมหาประลัยไว้ล้างโลก แสนทุกข์แสนโศกเสียหนักหนา มิหนำซ้ำบ้าสงคราม กัดกันเหมือนสัตว์ป่าน่าอนาถ ดูสิไม่ทันอรุโณทัยเลย ก็เห่าแตรเครื่องยนต์เสียสนั่นหวั่นไหว แม้สัตว์ป่าโขลงช้างในไพรเถื่อน เพื่อนก็ไม่ตะโกนโพนทนาบ้าคลั่งดังแตรรถยนต์ รกไปด้วยเสียงสวะปฏิกูล แตร้นแตร่นแสนแสบหูดับตับไหม้แรงร้ายชั่วช้าสาหัสนัก
อรุโณทัยพลอยหม่นหมองเสียอารมณ์ รู้สึกโกรธเคืองอุษาโยคนี้ที่มืดมิดไปหน่อย ไม่มีแสงเงินแสงทอง เหมือนอุษาโยค ณ เวลาของทิวาอื่น ๆ ขมขื่นนักหรือ ดึงดื้อเป็นอย่างนั้นกับเขาเหมือนกันรึ อรุโณทัย ทำราวกับจำแบบเอาอย่างมนุษย์ที่มีเงินนับว่าน้อง มีทองนับว่าพี่ อย่างนี้จะดีที่ใหนอุษาโยคใดจะยากจนข้นแค้นไปบ้าง คือหม่นหมองขาดแสงเงินแสงทอง ไม่ควรจะดูหมิ่นถิ่นแคลนถึงกับไล่ไปเสียจากทิวาวาร เป็นการด่วนได้เห็นแก่นนั้นอัปยศนัก ไม่ควรด่วนใจร้อนเลย อย่ารีบร้อนนักความดีงามจะหนีหายหมด ดูเถอะเขาอื่นหมื่นแสนในแดนดินยังหลับสนิท เว้นแต่หมู่มนุษย์บ้าหลัง โลภหลงละเมอในเงิน เพ้อเจ้อในกองทอง
ดูเถอะนั่น นาฬิกายังหลับไหล ละเมอเพ้อฝัน จนมีพันธุ์บุปผชาติบานแย้มขึ้นบนเข็มของนาทีและชั่วโมง เวลานาที อบอวนด้วยกลิ่นหอมจากละอองเรณูดอกไม้ คงจะเป็นความฝัน มิใช่ความจริงสิ่งใดเป็นความจริงแท้ แต่ใคร ๆ ในโลกไม่ตระหนักประจักษ์แจ้ง ยังเคลือบแคลงสงสัยเรียกชื่อใหม่ว่าความฝัน เราจะปลุกเวลาขึ้นดีใหมอรุโณทัยถาม หอยทากตอบ อย่าปลุกเธอขึ้นมาเลย ปล่อยให้ฝีเท้าเราไปล่วงหน้าเวลาสักร้อยปีมิดีกว่าหรือ
เวลาอันแสนบรมสุข มักประมาทหลงเหลิงจนลืมนาทีทอง อันมีค่าควรที่จะตื่นเสาะแสวงหาศึกษารู้แก่นสารของชีวิตแล้วปฏิบัติผลิดอกออกผลงานทิพย์ไว้ในโลก แม่พระธรณีจะไม่โศกเศร้าเสียค่าน้ำนมเปล่า เวลาหลับหรือตื่นอย่าไปสนใจเลย ทำธุระการงานจุดมุ่งหมายในหน้าที่ชีวิตของท่านจงทุกนาทีเถิด เวลานั้นยิ่งใหญ่จนเรานึกไม่ถึงกำหนดไม่ได้คิดไปไม่เห็น เป็นสิ่งลึกซึ้งใหญ่หลวงนัก
ทั้ง ๆ ที่เวลาเป็นสิ่งว่างเปล่า ในตัวของมันเองไม่มีอะไรเลย แต่ในความไม่มีอะไรในสูญตานั้น สรรพสิ่งต่าง ๆ อันคงอยู่ในสกลจักรวาลและสุริยจักรวาลฟากฟ้าอื่น ๆ ล้วนเป้นองค์ประกอบของเวลาทั้งหมด ดูเป็นมิติมหึมา สุดคณานับ ประมาณความหมายถึงลึกซึ้ง จนครอบคลุมสิ่งทั้งปวงไว้เป็นเอกภาพสูงสุด
เหนือมิติความว่างอันหลากหลาย คือ สุญญะนั้น กลับเป็นตัวตนอันใหญ่ยิ่ง จะว่ามีตนก็ได้ จะว่าไม่มีก็ได้ จุดหมายสูงสุด ช่างอิสระเสรี ในความไม่ยึดถือ หรือยึดถือเสมอไม่ยึดถือ พูดอย่างซื่อ ๆ บริสุทธิ์ไว้ให้ปวงมนุษย์ดูหมิ่นเล่น เวลาดูเสมอว่าหลับใหล แต่ในความหลับสนิทนั้น อาจกลับกันเป็นความตื่นอันแท้จริงก็ได้
หอยทากคลานมาช้า ๆ หารู้พิษสงของเวลาไม่ กระทั่งคืบคลานมาถึงความตายผุเปื่อยไป แต่เวลายังหาผุเปื่อยไม่ ไม่มีรอยยิ้ม แต่ดูเสมือนว่าเวลานั้นยิ้มแย้ม ดอกไม้ก็ยังบานสะพรั่ง สายลำธารก็ยังหลากไหล นกก็ยังร่ำร้องเป็นปกติอยู่
มีสิ่งเปลี่ยนแปร ก็แต่หอยทากนั้น อันได้กลับชาติเกิดเป็นมนุษย์และหลงตัวเองว่าศรีวิไลใหญ่ยิ่งลำพองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ โดยไม่หยุดคิดมองไตร่ตรองเห็นตัวเอง แล้วเปรียบเทียบกับสิ่งใดเลย มืดมนอนธการอยู่แต่ในคำสรรเสริญเยินยอ ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐเลิศโลกนั้น นับกาลนาน
อนิจจา
อังคาร กัลยาณพงศ์
ร่างต้นฉบับเมื่อก่อน พ . ศ. ๒๕o๙
