เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 15
  พิมพ์  
อ่าน: 102606 เมื่อคุณตา คุณยายยังเด็ก
visitna
นิลพัท
*******
ตอบ: 1724


ความคิดเห็นที่ 105  เมื่อ 18 ก.พ. 13, 16:11

ชอบเรื่องเล่าเก่าอย่างที่เราเรียกว่า"สมัยบ้านเมืองยังดี"

เหมือนอย่างที่นักเรียนแพทย์สมัยก่อนได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากบรรดาครูทั้งหลายอย่างดี

ขอบคุณครับสำหรับเรื่องราวดีๆและภาพที่ประทับใจหาดูยาก
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 106  เมื่อ 18 ก.พ. 13, 21:23

สนใจชีวิตของคุณแม่ในประเทศไทยค่ะ      อาจารย์พอจะจำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยได้ไหม เกี่ยวกับการปรับตัวของท่าน เช่นการกินอาหารไทย และทำอาหารให้ลูกๆ     เสื้อผ้าท่านตัดเย็บเองหรือเปล่า     
นอกจากนั้น แหม่มในประเทศไทยสมัยนั้นทำงานนอกบ้าน หรือว่าอยู่เป็นแม่บ้านอย่างเดียว 
ท่านพูดภาษาไทยได้คล่องหรือยัง  เมื่อลูกๆโตพอจะสื่อสารกับท่านได้
บันทึกการเข้า
ศานติ
ชมพูพาน
***
ตอบ: 190

อดีตศัลยแพทย์ช่องอกเส้นเลือด (เกษียณ) ปัจจุบันเป็นช่างไม้


ความคิดเห็นที่ 107  เมื่อ 19 ก.พ. 13, 12:09

อดที่คุณเทาชมพูชวนให้เล่าต่อไม่ได้ พอดีกับที่ผมขนเอารูปถ่ายเก่าๆกลับมาจากเมืองไทยเพื่อรวบรวมให้หลานๆ ดูรูปพวกนี้แล้วคิดถึงสมัยเด็ก

แม่ผมเก่งตรงที่ปรับตัวได้ แต่ในขณะดียวกันก็เอาวิธีการแบบฝรั่งที่ไม่ขัดกับธรรมเนียมไทยมาใช้ ผมคิดว่าพ่อย้ายมาอยู่ในกรมช่างอากาศหลังจากแม่มาอยู่ด้วยสักปีได้ ดูจากรูปท่าทีเขาเพิ่งสร้างบ้านพักนายทหารเสร็จ มีบ้านสัก ๑๕ หลังได้ นายทหารที่ยศสูงที่สุดคือ หลวงอทึกเทวเดช ผบ. กองทัพอากาศ  รองลงมาเป็นบ้านอาว์เพิ่ม ลิมปิสวัสดิ์ เจ้ากรมช่างอากาศ แม่ผมโชคดีที่คนไทยชอบฝรั่ง ไม่เหมือนบางชาติ ภริยานายทหารนับถือกับเอื้อเฟื้อ อาจเพราะเป็นฝรั่ง อาจเป็นเพราะเห็นเป็นพยาบาลด้วยก็ได้ ผมจำได้ว่าเพื่อนข้างบ้านภริยานายทหารคนหนึ่งไอเป็นเลือดออกมาบ่อยๆ พอแม่รู้ก็จะไปเยี่ยมเพราะเคยทำงานในโรงพยาบาลวัณโรค รู้วิธีพยาบาล ไม่กลัวติดเชื้อ บางทีอยู่หลายชม. แต่กำชับพวกผมหนักหนาว่าห้ามไปบ้านนั้น

น้องสาวแฝดสองคนเกิดตอนอยู่ในกรมช่างอากาศแล้ว  หมอบุญเจือ ปุญโสนี เป็นคนทำคลอดผมที่ศิริราช แล้วท่านย้ายมา รพ.พระมงกุฎฯ แม่ก็ตามไปคลอดที่นั่น เพราะนับถือท่าน พอดีมีสิทธิ์ใช้ รพ.ด้วย ตอนนั้นมีพี่เลี้ยงเป็นคนราชบุรีมาอยู่กับแม่เกือบ ๑๒ ปี ช่วยแบ่งเบาภาระเลี้ยงลูกสามคน จ่ายตลาด ทำกับข้าว ทำสวน  แม่พูดไทยได้แต่ไม่ถึงขนาดคุยเรื่องการเมืองได้ ถ้ามีฝรั่งถามว่าพูดไทยได้ไหม มักจะตอบว่า ได้ แต่เป็น kitchen Thai  รู้พอสั่งงานในบ้านในครัวได้ พ่อแม่พูดอังกฤษกัน แรกๆผมคนเดียวที่พูดอังกฤษกับแม่ น่้องสองคนไม่ยอมพูด วันหนึ่งแม่จะไปเยี่ยมเพื่อนที่พวกผมเรียก Aunt Mary  คุณแม่ของ เทียน กรรณสูตร์  จะพาผมไปคนเดียว น้องๆจะไปด้วย แม่บอกว่า “You can’t go.  You don’t speak English.” ตั้งแต่นั้นมาเลยยอมพูด ตอนเริ่มวัยรุ่นเวลานั่งกินข้าวด้วยกัน ก็ยังพูดอังกฤษกับแม่ พูดไทยกับพ่อ เพราะเขินเวลาพูดอังกฤษกับพ่อ วันหนึ่งแม่ทนไม่ได้อาจเป็นเพราะเข้าใจเรื่องที่คุยกันอยู่ได้ไม่เต็มที่ ทุบโต๊ะปังระหว่างกินข้าวเย็น “From now on, everyone speaks English in my presence.” เลยปรับนิสัยกันทั้งบ้าน

สมัยนั้นเรียน รร.เซ็นต์คาเบรียล ตอนเข้าเรียน ป.๑ ผมพอรู้ ABC พอสะกดได้บางคำ เรียนได้ไม่กี่วันก็กลับมาบ้านอวดความรู้ใหม่ให้แม่ อ่าน ABC ให้แม่ฟัง แต่ออกเสียง อา เบ เซ แทนที่จเะออกเสียง เอ บี ซี   แม่ร้องลั่นว่า That’s not English. That’s French.  รุ่งเช้าลากผมไปหาบาดหลวงอธิการ รร. ชื่ออะไรจำไม่ได้ จำได้แต่ว่า ใส่ชุดสีขาวยาวคลุมข้อเท้า กระดุมตั้งแต่คอถึงเท้าหลายสิบเม็ด หนวดยาวถึงหน้าอก มีเม็ดข้าวสุกประปรายในหนวด ผมทึ่งเม็ดข้าวสุกมากแทบจะไม่ได้ยินว่าแม่พูดอะไร จับได้ใจความว่า อา เบ เซ ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาฝรั่งเศส ไม่ต้องการให้สอนเด็กผิดๆแบบนั้น

ตอนอยู่ ป.๒ หรือ ป. ๓  เป็นหัวหน้าชั้น การบ้านภาษาอังกฤษมีการผัน verb แบบ I have, we have, you/thou have, he/she/it has  ไม่เข้าใจว่าผันไปทำไม ไม่รู้ว่ามีความสำคัญเพราะพูดเป็นอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเขาท่องกันทำไม นอกจากนั้นแล้ว ไม่เข้าใจ he/she/it หรือ you/thou ว่ามันเรื่องอะไรต้องมี / ด้วย คำว่า thou ก็ไม่เคยเห็นใครใช้ อะไรก็ไม่รู้ การบ้านเลยไม่ค่อยได้ทำ ทุกเช้ามาสเตอร์ถามว่าใครไม่ได้ทำการบ้านบ้าง ต้องสารภาพตอนนั้น เพราะถ้าจับได้ตอนหลังโทษจะหนักกว่า แล้วให้ผมพาเข้าแถวไปหาบระเดิ้อเทฟัน อธิการสมัยนั้น ถามว่ามาทำไม? ไม่ทำการบ้านครับ อธิการก็ล้วงหลังตู้สูงๆ มีไม้เรียวทำด้วยไม้ไผ่สองสามอันซ่อนไว้ เลือกเอามาอันหนึ่ง จับไม้เรียวดัดไปดัดมาต่อหน้านักเรียนเพื่อดูว่าเหมาะที่จะใช้หรือเปล่า แล้วเฆี่ยนก้นคนละที เสร็จแล้วหันมาถามผมว่าทำการบ้านหรือเปล่า บางวันทำบางวันไม่ทำ ถ้าไม่ทำก็ได้รับคำสอนว่า หัวหน้าชั้นต้องเป็นตัวอย่างให้นักเรียนในชั้น ดังนั้นต้องเฆี่ยนสองที ตอนโตแล้วอดคิดไม่ได้ว่าคนลงอาญานั้นเพลิดเพลินกับการลงอาญามากไปหรือเปล่า

สมัยนั้นห้องเรียน ป.๑ ถึง ป.๓ อยู่ข้างป่าช้าถนนบ้านญวน บางทีมีงานศพก็อดดูไม่ได้ แล้วมักจะมีเด็กทึ่อยู่ถนนนั้นรู้ว่าใครตาย จำได้ว่าเป็นเด็กตายใกล้หรือก่อนคลอดหลายราย เลิกเรียนแล้วไม่อยากเดินไกลเพื่อไปรับน้องที่เซ็นต์ฟรัง ปลายถนนบ้านญวน ก็เดินออกทางป่าช้า แต่ต้องรีบเพราะกลัวผี ผมอยู่ ป.๓ น้องสองคนอยู่ ป.๑ เดินไปขึ้นรถราง คนละ ๒ สตางค์ไปลงหน้า รร.ราชินีบน แล้วต่อรถรางที่ไปบางซื่อ ไปลงหน้ากรมช่างอากาศ คนละ ๓ สตางค์ ชั้นสอง  จะนั่งชั้นหนึ่งก็ต่อเมื่อไปไหนกับแม่ (ชั้นหนึ่งอยู่หน้ารถราง สั้นกว่าชั้นสองครึ่งหนึ่ง มีผนังโหว่ๆกั้นระหว่างชั้นหนึ่งกับสอง เวลาถึงปลายทางพนักงานจะยกผนังไปกั้นอีกที่ แล้วย้ายเบาสีขาวขอบน้ำเงินของชั้นหนึ่งไปไว้หน้ารถรางด้วย)

โดยเหตุที่แม่เป็นพยาบาลเลยกังวลเรื่องการกินอาหารที่ไม่สะอาด ไม่ต้องการให้ซื้อของกินที่โรงเรียน (น้องกินอาหาร รร. ที่เด็กประจำกิน ส่วนผมพี่เลี้ยงเอาปิ่นโตไปส่งทุกเที่ยง) ที่แม่กลัวมากคือกลัวพวกผมกินไอติมแท่งชนิดที่พ่อค้าทำเอง เป็นห่วงมากกลัวน้ำที่เอามาทำไม่สะอาด ว่าที่จริงก็น่ากลัวเหมือนกัน จำได้ว่าบางทีไม้ไผ่ที่เอามาใช้กับไอติมแท่งบางทีมีกลิ่นเน่าแบบไม้ที่ลอยคลองมานาน  แม่กันไม่ให้ซื้อของกินโดยจำกัดเงิน วันหนึ่งให้แค่ ๑๐ สตางค์ (ไป ๕ สตางค์ กลับ ๕ สตางค)์ พอดีกับค่ารถราง ไม่มีเหลือเลย ผมกับน้องสองคนแก้ปัญหาเรื่องเงินขาดแคลนโดยการเดินตามทางรถรางจากหน้าเซ็นต์คาเบรียลไปถึงหน้า รร.ราชินีบน แล้วเดินต่อไปสี่แยกเกียกกาย ระหว่างทางก็ชื้อของกินเล่นแบบแม่ไม่ยอมให้กินไปเรื่อย เหลือไว้คนละสองสตางค์เผื่อต้องขึ้นรถรางช่วงปลาย (สี่แยกเกียกกายไปถึงหน้ากรมช่างอากาศ) เพราะเดินไม่ไหว ผมว่าทำอยู่หลายเดือน ไม่เป็นไทฟอยด์หรืออหิวาห์อย่างที่แม่กลัวไว้  โดนจับได้เพราะวันหนึ่งฝนตกต้องไปหลบฝนใกล้ รพ.วชิระ ระหว่างนั่งกินข้าวเย็น ปากโพล่งไปเล่าว่าติดฝนแถว รพ.วชิระ พ่อถามว่าทำไมถึงต้องไปติดฝนที่นั่น ความเลยแตก ต้องสารภาพ จำไม่ได้ว่าเลิกเดินกลับบ้านกันหรือเปล่า

แม่ผมทานอาหารไทยได้ ชอบด้วย พี่เลี้ยงชื่อลำเจียก มาทะ ทำทุกอย่าง ตั้งแต่เอาผมขึ้นเอวเดินจากข้างในสุดของบริเวณที่พักนายทหารจนถึงถนนเตชะวนิช ไปตลาดบางซื่อวันจ่ายกับข้าว จนถึงซักผ้า หุงข้าว สมัยนั้นบ้านเราจ่ายกับข้าวทุกวัน แต่แม่ซื้อตู้เย็น GE เงินผ่อนจากการไฟฟ้า ทุกเดือนจะมีพนักงานแต่งเครื่องแบบสีน้ำตาล คอตั้ง ปลายแขนยาวมีขีดสีดำสามสี่ขีด คล้ายนายตรวจรถราง (คิดว่าคงการไฟฟ้าด้วยกัน) มาเก็บเงินผ่อนส่งสำหรับตู้เย็น จำได้ว่าคนเดียวตลอด เขาจะถามถึงเรื่องตู้เย็นว่าเรียบร้อยหรือเปล่า พูดคุยกันเรื่องครอบครัวหน่อยแล้วก็กลับ รู้สึกว่าเป็นการแก้เหงาดี แม่รู้ว่าวันไหนเขาจะมาก็ทำความสะอาดตู้เย็นไว้ก่อนหน้าวันสองวัน ปล่อยให้น้ำแข็งรอบช่องน้ำแข็งละลายหมด สมัยนี้ตู้เย็นมักไม่ต้อง defrost แบบนั้น  โดยเหตุที่มีตู้เย็นเลยไม่ต้องจ่ายกับข้าวทุกวัน คิดว่าแม่คงเป็นคนประหยัดมาก จำได้ว่าลำเจียกกลับจากจ่ายตลาดทุกทีก็มานั่งคิดบัญชีกับแม่ ว่าอะไรราคาเท่าไหร่ เหลือเงินเท่าไหร่ นับว่าลำเจียกเองก็พิเศษมาก อยู่ได้สิบกว่าปี ผมว่าจะหาได้น้อยคนที่ทำได้ถึงขนาดนั้นเป็นเวลานานเท่านั้น  

วันไหนที่พ่อไม่ทานข้าวเย็นที่บ้าน แม่ก็มักจะทำอาหารฝรั่งให้ลูกๆกับตัวเอง เพราะพ่อไม่ชอบเท่าไหร่ จำได้ว่าแม่เคยปลูกต้นกระเจี๋ยบ แล้วเก็บลูก(หรือดอก?)เอามาทำ jam กินกับขนมปังตอนเช้า สมัยนั้นถั่วลิสงบดละเอีียด (peanut butter) หาไม่ได้ แม่ก็ทำเองโดยไปซื้อเครื่องบดมือหมุน แล้วยังใช้ทำไส้กรอกได้อีก  กรุงเทพมีร้านเยอรมันขายไส้กรอก แต่เงินเดือนนายร้อยของพ่อเป็นอุปสรรคใหญ่ ต้องกินไส้กรอกทำเองแทน เนยแบบ cottage cheese ก็ทำเองเป็นครั้งเป็นคราว

แม่เย็บผ้าได้ นิตติ้งได้ เลยมี sweater ใส่หน้าหนาว แต่ทำจากเส้นฝ้ายไม่ใช่ขนสัตว์ ชาวบ้านเห็นแม่ถักเสื้อหนาวก็คิดว่าแปลก เพราะไม่รู้ว่าใช้ cotton yarn ไม่ใช่ wool  ข้อเสียของการที่แม่เย็บผ้าได้ ก็คือผมต้องนุ่งชุดแบบเด็กๆจนเข้า ป.๑ เพื่อนๆเขานุ่งกางเกงขาสั้นแล้ว แต่ผมยังใส่ sun suit ที่แม่เย็บเอง (คล้ายชุดว่ายน้ำแบบ  one-piece มีกระดุมแป๋บระหว่างขา ไม่มีขา) แม่คงไม่รู้ว่าพออายุ ๖ ขวบก็ชักอายเพื่อนๆที่เขามีกางเกงขาสั้นใส่ อ้ายเราใส่ชุดแบบเด็กแดง

พอญี่ปุ่นขึ้นบก กรมช่างอากาศก็โดนทิ้งระเบิด ครั้งแรกที่โดนระเบิด พ่อแม่เลี้ยงอาหารเย็นขอบคุณหมอสงวน โรจน์วงศ์ ที่ตัดต่อมทอนซิลให้ทั้งสามคน ทานข้าวยังไม่ทันเสร็จก็มียามวิ่งตะโกนว่า เครื่องบินมาๆ ให้ลงหลุมหลบภัย ความจริงไม่เป็นหลุมแต่เป็นคล้ายอุโมงค์ทำด้วยซุงเสริมดิน (ที่บางซื่อขุดลงไปไม่ถึงเมตรก็เจอน้ำแล้ว)  พวกนายทหารปรึกษากันว่า ไม่น่าจะมีการทิ้งระเบิดจริงเพราะเดือนมืด นักบินจะมองอะไรเห็น  ที่ไหนได้ ปรากฎว่าเขาทิ้งพลุ (flare) ติดร่ม สว่างยังกับกลางวัน กว่าร่มจะถึงพื้นก็กินเวลามากพอดู โชคดีที่คนทิ้งลูกระเบิดไม่แม่น ลูกสุดท้ายตกในคลองข้างทางรถไฟนอกกรมช่างอากาศ ถ้ามีอีกลูกผมว่าคงแย่เพราะหลุมหลบภัยอยู่ในแนวลูกระเบิดพอดี  เมื่อกลับไปในบ้านไปพบว่ามีก้อนโคลนขนาดหัวคนผ่านหลังคาครัวลงไปเต็มหม้อแกงเผ็ดพอดี หลังจากนั้นกรมช่างอากาศก็ย้ายไปโคราชทั้งกรม

สมัยพวกผมเล็กๆแม่ไม่ได้ทำงานนอกบ้าน ยกเว้นอาสาสมัครโรงเรียนสอนคนตาบอด ดูเหมือนจะไปช่วยทุกอาทิตย์ ไปสนิทสนมกับ Genevieve Caulfield ชาวอเมริกันตาบอดมาแต่อายุสองขวบ ที่มาตั้งโรงเรียนสอนคนตาบอดในเมืองไทย แม่เล่าว่าแรกๆไม่มีคนสนใจ อ้างว่าเมืองไทยไม่ค่อยมีคนตาบอด ที่แท้แล้วมีเหมือนประเทศอื่น แต่ครอบครัวมักจะปิดบังเพราะกลัวขายหน้า ต่อมามีเชื้อพระวงศ์คนหนึ่งที่พระบิดามีความคิดทันสมัย ส่งให้เข้าเรียนที่รร.นี้  แหม่ม Caulfield มีความเห็นว่าอันนี้แหละที่เป็น turning point ของ รร. ชาวบ้านเริ่มเห็นประโยชน์ของโรงเรียน มีความเห็นว่าถ้าคนใหญ่คนโตไม่อาย เรื่องอะไรตัวจะอาย จำนวนนักเรียนจึงเพิ่มขึ้น

แถมรูปเก่าๆสักสามรูป  รูปแรกตลกดี ไม่มี bath tub แบบฝรั่งไว้นอนแช่ ก็นั่ง tub ไทยก็ได้ สองคนยังได้

รูปที่สองเป็นรูปของคุณป้าของพ่อผม ซึ่งเป็นคุณแม่ของหลวงปฏิบัติอากร คนที่บอกย่าผมให้ส่งลูกไปเรียนบางกอก contrast ระหว่างพี่สาวย่ากับแม่มากเหลือเกิน

รูปที่สามเป็นรูปบ้านที่กรมช่างอากาศ ตอนน้ำเริ่มท่วม พ.ศ. ๒๔๘๕ ?? จำได้ว่าขึ้นสูงกว่านั้นมาก พ่อเล่าให้ฟังว่ายอมให้คนใต้บังคับเอาเครื่องมือของกรมช่างอากาศกลับไปใช้ที่บ้านได้ ม่ายงั้นไม่มีทางมีเรือใช้มาทำงาน




คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 108  เมื่อ 19 ก.พ. 13, 13:24

สมัยนั้นเรียน รร.เซ็นต์คาเบรียล ตอนเข้าเรียน ป.๑ ผมพอรู้ ABC พอสะกดได้บางคำ เรียนได้ไม่กี่วันก็กลับมาบ้านอวดความรู้ใหม่ให้แม่ อ่าน ABC ให้แม่ฟัง แต่ออกเสียง อา เบ เซ แทนที่จเะออกเสียง เอ บี ซี   แม่ร้องลั่นว่า That’s not English. That’s French.  รุ่งเช้าลากผมไปหาบาดหลวงอธิการ รร. ชื่ออะไรจำไม่ได้ จำได้แต่ว่า ใส่ชุดสีขาวยาวคลุมข้อเท้า กระดุมตั้งแต่คอถึงเท้าหลายสิบเม็ด หนวดยาวถึงหน้าอก มีเม็ดข้าวสุกประปรายในหนวด ผมทึ่งเม็ดข้าวสุกมากแทบจะไม่ได้ยินว่าแม่พูดอะไร จับได้ใจความว่า อา เบ เซ ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาฝรั่งเศส ไม่ต้องการให้สอนเด็กผิดๆแบบนั้น
ถ้าเป็นร.ร.เซนต์คาเบรียล  ก็น่าจะเป็นคุณพ่อฮีแลร์ละกระมัง       ท่านเป็นอาจารย์ของคุณพ่อดิฉัน   และเป็นอาจารย์ของคุณ Navarat.C เมื่อเข้าชั้นประถมต้นด้วย


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 109  เมื่อ 19 ก.พ. 13, 13:27

ดูจากรูปที่หนึ่ง คุณพ่อคุณแม่ของอาจารย์คงอยู่ในประเทศไทยกันอย่างมีความสุขมาก     รูปที่สอง ไม่รู้ว่าเด็กที่คุณป้าอุ้มอยู่คืออาจารย์ศานติเองหรือเปล่า
ส่วนรูปที่สาม ชอบบ้านไม้แบบนี้จริงๆ    บ้านของราชการสมัยโน้นกว้างขวางไม่ใช่เล่น   เนื้อที่ก็กว้าง โปร่งน่าสบาย  แค่ดูรูปในอดีตก็แทบจะสัมผัสสายลมที่พัดผ่านบ้านทั้งวันได้ทีเดียว

เชิญเล่าต่อค่ะ
อาจารย์บอกว่าคุณแม่อยู่เมืองไทยถึง 18 ปี  จึงไปอเมริกาอีกครั้ง   ไปเยี่ยมญาติพี่น้องหรือคะ   เอาลูกๆไปด้วยหรือเปล่า
บันทึกการเข้า
sirinawadee
ชมพูพาน
***
ตอบ: 101


ความคิดเห็นที่ 110  เมื่อ 19 ก.พ. 13, 14:21

คุณศานติเล่าได้สนุกมากค่ะ เรียนว่าตามอ่านอยู่นะคะ
บันทึกการเข้า
ศานติ
ชมพูพาน
***
ตอบ: 190

อดีตศัลยแพทย์ช่องอกเส้นเลือด (เกษียณ) ปัจจุบันเป็นช่างไม้


ความคิดเห็นที่ 111  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 00:38

แนบรูปเครื่องแบบเซ็นต์คาเบรียลมาให้ดู  เสิ้อคอตั้ง ผ้าแบบเสื้อนอก หนา สีขาว ลงแป้ง ปัก ซคบ ที่กระเป๋า พร้อมเลยประจำตัว (เด็ก รร.อื่นล้อว่า ซคบ หมายความว่า ซังคะบ้วย สมัยนั้นแปลว่า ไม่ได้ความ) หมวกกะโล่ต้องเอาแปรงสีฟันเก่าๆชุบน้ำแต้มสีแท่งกลมๆทาให้ขาวสะอาดทุกอาทิตย์  ถุงเท้ายาวถึงใต้เข่า แต่ไม่เท่าไหร่ก็กองอยู่ที่ข้อเท้าแล้ว กางเกงสีน้ำเงินเขัม เด็กเซ็นต์คาเบรียลทุกคนไม่ใช้วิธียัดเสื้อชั้นในเข้าในกางเกงจากเอวลงไป แต่ใช้ล้วงจากขาขึ้นไปดึงชายเสื้อลง ถ้าเด็กเล็กพี่เลี้ยงจะล้วงจากใต้ขากางเกงขึ้นไปดึงชายเสื้อ เวลาพัก ๑๐ โมงเช้าหรือเที่ยงก่อนเข้าห้องจะเห็นเด็กยืนกันหน้าห้องเป็นแถว ก้มลงล้วงดึงชายเสื้อจากข้างล่าง ไม่แน่ใจว่าเพราะเสื้อนอกขัดขวางการยัดเสื้อในลงกางเกง หรือเพราะพี่เลี้ยงทำให้เลยเป็นนิสัย บางคนนิสัยติดตัวไปจนนุ่งกางเกงขายาว เวลาเลิกเรียนอธิการจะยืนที่ประตูรั้วที่ถนนสามเสน นักเรียนต้องเปิดหมวกลาตอนเดินออก รร.

เห็นรูปบาดหลวงที่คุณเทาชมพูแนบมาชวนให้นึกถึงสมัยอยู่ ป.๒ หรือ ป.๓ แม่ไปรู้มาจากไหนไม่ทราบว่า รร.อัสสัมชันกับเซ็นต์คาเบรียล มีค่ายที่ศรีราชาตอนปิดเทอมหน้าร้อน เลยได้ความคิดว่าส่งผมไปค่ายสักสองอาทิตย์จะทำให้อดทนขึ้น ในขณะเดียวกันก็หมดห่วงไปชั่วคราว ว่าที่จริงก็สนุกดี ลืมคิดถึงบ้าน เพราะมีเด็กหลายรุ่นตั้งแต่ไม่ถึง ๑๐ ขวบจนถึง ม.ปลาย  คิดว่ามีเด็กเกือบ ๓๐ คน จำไม่ได้ว่าวันหนึ่งๆทำอะไรบ้างแต่ไม่เบื่อ เดินตามทางรถไฟบันทุกซุงไปเกาะลอยหลายหน

ตอนกลางคืนพวกบาดหลวงมักออกไปล่าสัตว์กัน โดยคนเฝ้าไร่เป็นคนนำทาง ใช้ตะเกียงแกสติดที่หน้าผากไว้ส่องสัตว์ จำได้ว่าเคยยิงเม่นหนหนึ่ง เอามาย่างกินกัน อีกคราวได้เก้ง ตอนโตแล้วมานึกว่าไม่ใช่ฝรั่งทุกคนที่ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้เหมือนแม่ โดยไม่ทำอะไรที่ขัดกับวัฒนธรรมหรือขนบธรรมเนียมพื้นบ้าน ทำให้เป็นที่ตำหนิได้

ผมอดคิดไม่ได้ว่าคนไทยเราที่ถือศาสนาพุทธจะมีความเห็นยังไงกับการที่พระทำการล่าสัตว์ ไม่ใช่เพราะจำเป็นต้องหาอาหาร แต่เพื่อความเพลิดเพลิน นอกจากนั้นแล้วรู้ว่ามีการล้างบาปได้ ถ้าคิดต่อไปอย่างชาวบ้านจะคิด ก็อดสรุปไม่ได้ว่า เออ ฆ่าสัตว์นะผิด แต่ล้างบาปแล้วก็หายผิด คืนพรุ่งนี้ออกไปล่าใหม่ก็ได้  

ตัวอย่างของการไม่ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมอีกอย่าง ก็การเอาเก้งที่ยิงได้เชือดคอ ผูกเท้าแขวนไว้หลายๆวัน บราเด่ิอฝรั่งเศสทำตามธรรมเนียมยุโรป ยิงสัตว์ได้ก็เชือดคอผูกเท้าแขวนให้เลือดไหลออก โดยมากเขาล่าสัตว์กันตอนฤดูใบไม่ร่วง อากาศหนาวแล้ว เอาสัตว์ห้อยไว้สามสี่วันก็ไม่เป็นไร เริ่มมีการสลายตัวของเนื้อ (auto-digestion) ทำให้เนื้อเปื่อยขึ้นมาก เช้าวันที่ยิงได้พวกเราดีใจกันใหญ่ ‘เมื่อคืนบราเดิ่อยิงเก้งมาได้ คืนนี้ได้กินแกงเก้ง’  แต่ไม่มีวี่แววเลย ‘คืนนี้ได้กินแน่’  แต่เก้งยังแขวนอยู่ใต้ต้นไม้ รออยู่สามหรือสี่วันจนมีเด็กไปเห็นว่าเก้งมีหนอนแมลงวันบนตัวเก้งมากมาย คืนนั้นมีแกงเก้ง หาเด็กกินแกงยาก

หวังว่าสมัยนี้หน่วยงานต่างประเทศคงคำนึงถึงขนบธรรมเนียมคนในประเทศเจ้าของบ้านมากขึ้น จำได้ว่าสมัยเรียน ม.๖ (ม.๔ สมัยนี้) มีมิชชันนารี่อเมริกันมาสอนศาสนาชั่วโมงศีลธรรมตอนที่เรียน รร.กรุงเทพคริสเตียน แต่ไม่มีเด็กสนใจเท่าไหร่ คุยกันไม่ฟังครู เขาเลยบอกว่าไปนั่งห้องสมุดกันดีกว่า ใครไม่สนใจฟังก็หาหนังสืออ่าน ใครสนใจก็จะพูดให้ฟัง ที่จริงผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่ลูกชายเขามาเรียนอนุบาลที่ รร.ของแม่ผม ผมเลยไปร่วมด้วยเพื่อเหตุผลทางการเมือง (๕๕๕) พร้อมกับเพื่อนๆสามสี่คน  นั่งเก้าอี้รอบวง ครูอเมริกันเอาแผนที่ปาเลสไตน์วางที่พื้น แล้วเริ่มอธิบายว่าพระเยซูเกิดที่ไหน ทำอะไรที่ไหน โดยใช้เท้าชี้ไปบนแผนที่ประกอบคำอธิบาย ผมว่าทั้งสี่ห้าคนไม่มีใครได้ยินหรือจำคำพูดได้เพราะมัวแต่ตะลึงนึกอยู่ว่า ‘ครูเอาตีนชี้การเดินทางของพระเยซู’  ก่อนคณะมิชชันนารี่จะส่งคนไปต่างประเทศเขาน่าจะอบรมเรื่องขนบธรรมเนียมของประเทศที่จะไป  หวังว่าสมัยนี้คงทำแล้ว  ทหารจะส่งไปอิรัค แอฟริกานิสถานฯลฯ ก็อบรมกันแล้ว


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 112  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 08:57

เด็กน้อยในชุดนักเรียน น่ารักมากค่ะ
สมัยนั้นอากาศในกรุงเทพคงเย็นสบาย  นักเรียนถึงสวมทั้งเสื้อนอก หมวกกะโล่ ถุงเท้ายาว ไปโรงเรียนได้ทุกวัน

อ่านเรื่องเก้งแล้วขอเว้นคอมเม้นท์เรื่องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพราะพุทธศาสนากับคริสตศาสนามีข้อห้ามไม่เหมือนกัน   แต่พบว่าในช่วงอาจารย์ศานติยังเล็กๆ  ศรีราชายังมีสัตว์ป่าอย่างเก้งชุกชุมอยู่ พอจะตามล่ากันได้ 
บันทึกการเข้า
ศานติ
ชมพูพาน
***
ตอบ: 190

อดีตศัลยแพทย์ช่องอกเส้นเลือด (เกษียณ) ปัจจุบันเป็นช่างไม้


ความคิดเห็นที่ 113  เมื่อ 21 ก.พ. 13, 09:24

คุณเทาชมพูครับ ผมไม่ได้ขัดข้องในเรื่องศาสนายอมหรือไม่ยอมให้ฆ่าสัตว์ อันนี้เรื่องเล็กเพราะแล้วแต่ความเชื่อ แต่ข้องใจในเรื่องที่ทางสำนักงานใหญ่ของสถาบันที่ส่งคนมาเผยแพร่ศาสนาหรือมาทำการกุศลอื่นๆ ทำไมไม่อบรมให้คนที่จะไปต่างประเทศรู้ขนบธรรมเนียมพื้นบ้านของประเทศที่จะไป ทำให้แคลงใจกันเปล่าๆ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 114  เมื่อ 22 ก.พ. 13, 08:13

ดิฉันยังหาข้อมูลไม่ได้ว่าในสมัยนั้น  ทางวาติกันมีการอบรมพระบาทหลวงที่ไปสอนศาสนาในประเทศต่างๆให้เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนความเชื่อต่างๆในประเทศนั้นหรือเปล่า    เพื่อจะให้บาทหลวงปรับตัวได้ง่ายขึ้น และเผยแผ่ศาสนาได้สะดวกขึ้น      คิดว่าน่าจะมีการอบรมกันมาบ้าง   เพราะว่าพระบาทหลวงคาธอลิคเข้ามาในสยามตั้งแต่สมัยอยุธยา     บันทึกเก่าๆที่บาทหลวงรายงานส่งไปวาติกันก็เป็นแนวทางให้บาทหลวงรุ่นหลังได้ศึกษาได้

ส่วนการล่าเก้งกวางที่ว่ามานั้น อาจมาจากความเคยชินเดิมๆของบาทหลวงท่าน  ที่เคยล่าสัตว์มาเป็นอาหารสมัยอยู่ในยุโรป      บวกกับรู้ว่าคนไทยก็ไม่ได้เก็บสัตว์ป่าเอาไว้เฉยๆ แต่ล่ามากินเหมือนกัน      ท่านก็เลยทำของท่านบ้าง     

ฟังจากอาจารย์เล่า ก็เห็นได้ว่าท่านยิงเก้งเอามากิน  ไม่ได้ยิงทิ้งเฉยๆเพื่อสนุก      แต่ท่านไม่รู้ว่าประเทศในเขตร้อนอย่างไทยเนื้อเน่าเร็วกว่าในยุโรป   ต้องแล่เนื้อมากินสดๆ ถึงจะอร่อย    เลยใช้เวลาแขวนทิ้งเอาไว้นานวันเท่ากัน ทำให้แกงเนื้อเก้งกลายเป็นแกงเนื้อเน่าไป
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 115  เมื่อ 22 ก.พ. 13, 08:25

จำไม่ได้ว่ากระทู้ไหนอาจารย์พูดถึง การเขียนแบบ cursive   เด็กรุ่นนี้ไม่เคยคัดลายมือ คงนึกไม่ออก   ก็เลยไปหาตัวอย่างมาให้ดูกันค่ะ


บันทึกการเข้า
ศานติ
ชมพูพาน
***
ตอบ: 190

อดีตศัลยแพทย์ช่องอกเส้นเลือด (เกษียณ) ปัจจุบันเป็นช่างไม้


ความคิดเห็นที่ 116  เมื่อ 22 ก.พ. 13, 10:47

เรื่อง cursive style ผมเขียนไว้ใน คุณครูคับ ข้อนี้ตอบอะไรคับ?ฮืม

ของไทยตอนนี้ไม่สอนการคัดลายมือแล้วเหรอครับ ถ้าจริงก็น่าเสียดาย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 117  เมื่อ 22 ก.พ. 13, 10:53

คิดว่าชั้นอนุบาลยังมีฝึกคัดลายมืออยู่ แต่ฝึกเพื่อเขียน ก ไก่ ข ไข่ ได้ถูกต้อง  แต่เขียนแบบ cursive คงไม่มีแล้วค่ะ   
บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 118  เมื่อ 22 ก.พ. 13, 14:16

ที่อังกฤษนี่โรงเรียนยังสอนให้นักเรียนเขียนแบบ cursive  อยู่ครับ   เรียกได้ว่าบังคับกันเลย  อีตาเด็ก 7 ขวบที่อยู่กับผม เรียนโรงเรียนที่นี่ชั้น ป.3 เขียนแต่แบบ cursive อย่างเดียวครับ เพราะไม่ว่าการบ้าน หรืองานอะไร ครูจะให้เขียนแต่แบบนี้  เลยลำบากนิดหน่อยสำหรับผมเพราะอ่านยาก ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
:D :D
นิลพัท
*******
ตอบ: 2333


ความคิดเห็นที่ 119  เมื่อ 23 ก.พ. 13, 13:39

เคยงงกับหลายๆ ตัวค่ะ เช่น C Q S ......... ยิงฟันยิ้ม

ขอบคุณ อาจารย์ศานติ และอาจารย์เทาชมพู ค่ะ
ตามอ่านอย่างสนุกสนาน........ชอบรูปประกอบมากค่ะ
อยากให้บรรยากาศในอดีต กลับคืนมา..........


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 15
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.046 วินาที กับ 20 คำสั่ง