SRISOLIAN
อสุรผัด

ตอบ: 36
|
ผมเคยอ่านหนังสือ เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก รู้สึกประทับใจในความเรียบง่ายของชีวิตคนไทยในสมัยอดีตช่วงรัชกาลที่ 6-8 มีท่านใดพอจะทราบประวัติของคุณทิพย์วาณี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ประพันธ์บ้างครับ และปัจจุบันท่านยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าครับ ผมติดตามอ่านเรื่องนี้มาตั้งแต่ครั้งสตรีสารภาคพิเศษ จนรวมเล่มมาเป็นเล่มที่ 1-4 ครับ นับเป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่ามากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 14 ม.ค. 13, 12:49
|
|
คุณทิพย์วาณี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เป็นธิดาของหลวงจรูญสนิทวงศ์(หม่อมหลวงจรูญ สนิทวงศ์) ผู้เป็นบุตรของเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) กับท่านผู้หญิงวงศานุประพัทธ์ (ตาด สิงหเสนี) คุณหลวงจรูญเป็นคนไทยที่สำเร็จวิชาวิศวกรรมการรถไฟจากประเทศอังกฤษ กลับมารับราชการกรมรถไฟหลวง เป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายช่างกลอำนวยการโรงงาน โรงงานมักกะสัน ในปี พ.ศ. 2473 ในรัชกาลที่ 6 ท่านได้รับพระราชทานบรรดาศัราชทินนามเป็น หลวงจรูญสนิทวงศ์
หม่อมหลวงจรูญ สนิทวงศ์ สมรสกับหม่อมหลวงรวง มีธิดาชื่อ อรุณ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (ท่านผู้หญิงอรุณ กิติยากร ณ อยุธยา) ซึ่งสมรสกับหม่อมราชวงศ์กัลยาณกิติ์ กิติยากร พระเชษฐาในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ส่วนคุณทิพย์วาณี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เป็นธิดาเกิดจากหม่อมหลวงฟ่อน(ไม่ทราบนามสกุล)
คุณทิพย์วาณีเกิดเมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2475 เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย แล้วศึกษาภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เป็นการเพิ่มเติม ประกอบอาชีพเป็นเจ้าของร้านผดุงชีพ ขายงานจำพวกศิลปหัตถกรรม ที่ถนนจักรพงษ์ กรุงเทพมหานคร ท่านชอบการเขียนสารคดีเกี่ยวกับศิลปหัตกรรมของไทยมาตั้งแต่เป็นนักเรียน ได้เขียนเรื่อง ตุ๊กตาชาววัง หัวโขน ปลาตะเพียน ฯลฯ พิมพ์อัดสำเนาแจกแก่กลุ่มบุคคลเป็นกลุ่ม ๆ ไป โดยมากเป็นลูกค้าที่ซื้องานศิลปหัตถกรรมจากร้าน
หนังสือ เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก ได้รับรางวัลการประกวดหนังสือระหว่างชาติ ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๑๕ (International Book Year ค.ศ. ๑๙๗๒) ที่คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการจัดขึ้น ในโครงการระหว่างชาติว่าด้วยการพัฒนาหนังสือ ตามมติขององค์การยูเนสโก สหประชาชาติ
คุณทิพย์วาณีถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. 2547 ค่ะ อัฐิบรรจุไว้ที่วัดชนะสงคราม บริเวณด้านหลังพระอุโบสถ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SRISOLIAN
อสุรผัด

ตอบ: 36
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 14 ม.ค. 13, 13:02
|
|
ขอขอบคุณคุณเทาชมพูที่กรุณาหาคำตอบมาให้อย่างรวดเร็ว ขอถามเพิ่มเติมว่ามีหนังสือที่ระลึกอนุสรณ์งานศพของคุณทิพย์วาณี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา หรือเปล่าครับ อยากศึกษาประวัติของท่าน เพราะตั้งแต่ติดตามอ่านมาไม่เคยเห็นภาพของท่านเลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 14 ม.ค. 13, 20:32
|
|
ไม่เคยเห็นหนังสือที่ระลึกงานศพของคุณทิพย์วาณีค่ะ ไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 15 ม.ค. 13, 17:11
|
|
ชอบเรื่องนี้มาก คุณทิพย์วาณีใช้ภาษาง่ายๆ แต่บรรยายภาพได้ละเอียดลออเห็นจริงตามไปด้วย ราวกับเดินตามเธอไปเยี่ยมเยียนสถานที่ต่างๆที่เธอบรรยายไว้ เป็นวิถีชีวิตไทยที่ห่างหายไปจากโลกปัจจุบันแล้ว แต่ก็ยังมีค่าควรแก่การระลึกถึงและดำเนินรอยตาม
สำหรับคนที่ไม่เคยอ่าน ขอยกบางตอนมาให้อ่านกัน ตามที่ไปพบในอินทรเนตรค่ะ
แม่บ้านที่ดี
วันหนึ่งคุณแม่ของคุณยายพาไปเยี่ยมเพื่อน เมื่อคุณยายเข้าไปในบ้านก็กวาดสายตาดูในบ้านแล้วชอบใจมาก เพราะบ้านนี้สะอาดมากจริงๆเครื่องใช้ที่เป็นเงินหรือทองเหลืองขัดเสียขาวและสุกราวกับทอง ทุกอย่างแลดูใหม่เอี่ยมอ่องไปทั้งนั้น เจ้าของบ้านยังไม่ออกมา คุณแม่กระซิบกับคุณยายว่า "บ้านนี้เขาสะอาดมาก ให้ดูเป็นตัวอย่างลูกผู้หญิงต้องละเอียดลออและเอาอย่างนี้จึงจะดี แล้วยังมีอะไรดีๆอีกหลายอย่างทีเดียว" เมื่อเจ้าของบ้านออกมา แต่งตัวสะอาดเอี่ยมออกมาต้อนรับ แล้วแนะนำให้คุณยายเรียกคุณป้า คุณป้าคนนี้มีลูกมากมาย ขนาดเดียวกับคุณยายก็มี แต่งตัวสะอาดทุกคนและเรียบร้อยหมด คุณป้ากำลังระดมลูกๆให้แกะมะขามอยู่ คุณยายจึงเข้าช่วยด้วย ช่วยกันแกะเปลือกมะขาม และแกะเม็ดออกด้วย เม็ดมะขามมากมายใส่อ่างไว้ต่างหาก มะขามนี้แกะแล้วทำเป็นปั้นใหญ่ๆ เก็บตุนไว้ทำกับข้าวตลอดปี เม็ดมะขามก็ไม่ทิ้ง เก็บไว้ ถ้าจะกินใบมะขามอ่อนในหน้าที่ไม่มีใบมะขามอ่อน ก็จะเอาเม็ดมะขามนี้ใส่อ่างดินแล้วรดน้ำ ไม่กี่วันก็จะมีใบมะขามอ่อนมาทำแกงต้มโคล้งกินได้แล้ว
ลูกสาวของคุณป้าคนหนึ่งคุยระหว่างแกะเม็ดมะขามว่า "คุณแม่ฉันทำอะไรเองทุกอย่าง ไม่ค่อยได้ซื้อ หน้าที่มีผลไม้อะไรมากๆก็จะเก็บตุนไว้เผื่อเวลาหมดหน้าเสมอ มะม่วงมีมากก็ทำมะม่วงกวนเก็บไว้ ที่นี่มีของกินมากมายไม่เคยอดอยาก เพราะคุณแม่มีลูกมาก ต้องทำอาหารคราวละมากๆ และไม่ให้มีอะไรเหลือเศษได้เลย หน้าแตงโม ก็ให้ลูกกินแต่เนื้อแตงโม เปลือกก็เก็บไว้ทำแกงเลียงบ้าง แกงส้มบ้าง บางทีก็ดองให้กินมื้อต่อไปอีก ไม่ปล่อยอะไรให้เสียเปล่าได้เลย"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 15 ม.ค. 13, 17:13
|
|
คุณยายคิดในใจว่าคุณป้านี่ช่างเป็นแม่บ้านที่ดีแท้ๆ ก็พอดีพี่อีกคนหนึ่งเล่าว่า "แม้แต่เปลือกมะนาวที่ใช้ทำกับข้าวแล้วก็ยังเก็บไว้ดองให้ลูกกินกับข้าวต้มได้อีก เปลือกมะนาวนี้ใช้ล้างมือได้สะอาดหมดคาวได้ดี ผิวมะกรูดเอาไปตำน้ำพริก แล้วก็เอาเนื้อและน้ำมะกรูดมาสระผมได้อีก สระแล้วสะอาด ผมดำเป้นมันลื่นอีกด้วย"
แกะมะขามเสร็จแล้วคุณป้าก็เรียกลูกๆขึ้นไปข้างบน แล้วส่งกรรไกรกับผ้าขาวมากมายให้แล้วบอกกับลูกสาวว่า "ตัดริมผ้านี้เก็บไว้" แล้วพี่ก็เอากรรไกรมาตัดริมผ้ายาวตลอดผืนทั้งสองข้าง แล้วม้วนๆเอาไว้เป็นกลุ่ม ขณะที่ตัดผ้าก็ชี้แจงให้ฟังว่า "ริมผ้านี้เส้นด้ายเหนียวกว่าเนื้อผ้า เราต้องตัดเก็บไว้ทำด้ายเนา เก็บไว้ใช้ได้นานๆ เลาะออกมาใช้ทีละเส้นๆ ไม่ต้องไปซื้อด้ายเย็บผ้ามาเนา เพราะแพงกว่าริมผ้ามาก เศษผ้าทุกชิ้นคุณแม่เก็บไว้หมด เอาไว้ซ่อมแซมเสื้อผ้า บางทีเราอาจทำขาดหรือมีอุบัติเหตุ เราจะได้มีผ้าที่มีสีดอกเหมือนกันซ่อมได้ แล้วมองไม่เห็นรอยผ้า ก่อนจะเอาเสื้อผ้าที่ขาดไปเป็นผ้าเช็ดชาม ผ้าถูเรือน คุณแม่ก็ต้องให้ลูกตัดเอากิ๊บ กระดุมที่ยังดีๆอยู่เก็บไว้หมดเอาไว้ซ่อมตัวอื่นได้ ทั้งเวลาใช้ถูเรือนก็ไม่ขูดกระดาน" ว่าแล้วก็ไปหยิบกระปุกไม้กลึงที่มีกระดุมสารพัดสีสารพัดขนาดออกมาให้ดู
เมื่อลากลับแล้ว คุณแม่ของคุณยายบอกว่า "เห็นไหมเล่าลูกว่าบ้านนี้ เขาเป็นแม่บ้านที่ดียังไง เขาจึงได้มีกินมีใช้สุขสบาย เงินทองไม่รั่วไหล ทั้งๆที่เดิมก็ไม่ได้เป็นคนมั่งมีมาก่อนเลย ลูกก็มากมาย เอาไว้เป็นตัวอย่างนะ" แล้วคุณยายก็รับคำ และในใจก็คิดว่า อยากมาเที่ยวบ้านนี้อีกจริงๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 15 ม.ค. 13, 17:20
|
|
น้ำฝน
เมื่อสมัยคุณตาคุณยายยังเป็นเด็ก ๆ อยู่นั้น กรุงเทพฯ มีน้ำประปาใช้บ้างแล้ว แต่ยังไม่ทั่วถึงกันนัก ส่วนมากยังอาศัยดื่มน้ำฝน และน้ำตามแม่น้ำและลำคลองกันอยู่ บางบ้านที่อยู่ใกล้ถนน ก็อาศัยน้ำประปาตามก๊อกสาธารณะ ที่รัฐบาลทำไว้ให้ประชาชนใช้กันเปล่า ๆ ก๊อกเหล่านี้มีเป็นระยะ ๆบ้านใครอยู่ใกล้ก็สบายมาตักตวงเอาไปใช้ในบ้านของตนได้ง่าย บ้านที่อยู่ห่างออกไปก็เอาถังเอาปี๊บมารองหิ้วไปหรือหาบเอาไปเอง แต่มีบางบ้านซื้อน้ำมาจากพวกนี้เป็นหาบ ๆ ไว้ใช้กัน
คุณตามีเพื่อนนักเรียนที่อายุมากกว่า ตัวโตกว่าเพราะเข้าโรงเรียนเมื่อโต กลางวันก็มาโรงเรียน กลับไปบ้านก็ช่วยพ่อแม่ทำงานค้าขาย ตอนกลางคืนก็รับจ้างหาบน้ำรองน้ำประปาจากก๊อกสาธารณะใส่โอ่งตามบ้านใกล้ เมื่อยังไม่โตก็หาบน้ำที่ปี๊บยังไม่เต็ม โตขึ้นก็เพิ่มอีกให้เต็มปี๊บได้ พ่อของเขาแข็งแรงหาบคราวละ ๔ ปี๊บ ข้างหน้า ๒ ปี๊บ ข้งหลัง ๒ ปี๊บ หาบเสียไม้คานแอ่นทีเดียว หน้าร้อนคนใช้น้ำกันมากน้ำขายดี รองน้ำหาบไม่ทันคนใช้ ต้องเอาปี๊บไปคอยรองน้ำตลอดคืน หาบกลางคืนดีแดดไม่ร้อน ช่วยไม่ให้เหนื่อยง่าย หน้าฝนคนไปใช้น้ำฝนกันหมด น้ำประปาขายไม่ค่อยดี รายได้ตกต่ำเก็บเงินไม่ได้มากเหมือนหน้าร้อน
ทั้งคุณตาและคุณยายเมื่อเด็ก ๆ ชอบเล่นน้ำฝนจริง พอฝนตกชักอยากจะขยับออกไปเล่นน้ำฝน ผู้ใหญ่รู้ทันมักจะห้ามไว้ว่า "ให้มันตกหนักกว่านี้ค่อยเล่น ตกนิด ๆ หน่อย ๆ จะไปดีอะไร เล่นแล้วก็ต้องล้างบ้านขัดบ้านเสียเลยซี" เพราะฉะนั้นเวลาหน้าฝน คุณยายและคุณตาก็ต้องช่วยกันรองน้ำฝนตักใส่โอ่งให้เต็มทุกโอ่งเสียก่อนจึงจะเล่นน้ำฝนได้ ระหว่างที่เล่นน้ำฝนก็ต้องขัดถูบันได นอกชานพื้นลานบ้านให้สะอาดไปด้วย ใช้กระดวงที่ทำจากมะพร้าวแก่ ๆ กะลาเล็ก ๆ ผ่าซีกขัดจนกระดานและพื้นขาวสะอาดทุก ๆ แห่งทีเดียว มีผ้าผ่อนอะไรที่พอจะซักได้ ก็เอาออกมาซักกันให้เต็มที่ ไม่ต้องเสียดายน้ำ ผู้ใหญ่มักบอกว่า "เทวดาท่านอุตส่าห์ส่งน้ำมาให้เราใช้แล้ว ต้องรีบกักตุนไว้ใช้ฝนตกมาก ๆ พื้นกระดานพื้นหินน่ายดี ขัดล้างตะไคร่และความสกปรกออกได้ง่าย" หน้าฝนบ้านจึงสะอาด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 15 ม.ค. 13, 17:22
|
|
พวกคนแก่ชอบดื่มน้ำฝนกันนัก เพราะสะอาดและหวาน ต้องเก็บน้ำฝนไว้ดื่มในหน้าแล้ง ถ้าหน้าหนาวหรือหน้าแล้งเกิดฝนตก เป็นฝนหลงฤดูมาก็จะดีใจมาก เพราะจะได้มีน้ำฝนมาเพิ่มโอ่งให้เต็ม แต่น้ำฝนตกใหม่ ๆ น้ำยังใช้รองไว้กินยังไม่ได้ เพราะหลังคายังสกปรกอยู่ มีฝุ่นละอองตกค้าง ต้องปล่อยให้ฝนชะล้างความสกปรกออกไปเสียก่อน จึงรองไว้กินได้ ต้นไม้ต้นหญ้าก็พลอยสดชื่นขึ้นเพราะได้ฝน คุณปู่ของคุณยายบอกว่า "ในกระบวนน้ำดื่มทั้งหมด น้ำฝนเป็นยอดน้ำที่เทวดาจัดส่งลงมาให้มนุษย์ทีเดียวละ ทั้งหวานทั้งสะอาด ยิ่งในโอ่งดินเก็บไว้กินหน้าร้อนแล้วยิ่งวิเศษสุด ทั้งเย็นและหอมกลิ่นดินเผาชื่นใจนัก" ตามบ้านจึงมักมีคณโฑดินเผาหรือหม้อดินเผาสำหรับใส่น้ำฝนไว้รับแขกและดื่มเองแทบทุกบ้าน ดินเผานี้ทำให้น้ำเย็นเหมือนแช่น้ำแข็ง หน้าร้อนมาก ๆ คนจึงชอบไปนั่งคุยหรือพักผ่อนข้าง ๆ โอ่งน้ำและถือโอกาสเอาหลังพิงโอ่งไปด้วยเพื่อคลายความร้อน
คนที่มีบ้านอยู่ริมแม่น้ำหรือคลอง หน้าแล้งก็เอาน้ำแม่น้ำหรือคลองใส่โอ่ง แล้วเอาสารส้มมากวน ๆ ให้ตกตะกอน แล้วใช้ซักผ้าหรือหุงข้าวต้มแกงกันจะใช้น้ำก็ต้องประหยัด ๆ กันหน่อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 15 ม.ค. 13, 17:24
|
|
ฝนแรกหลังจากอากาศร้อนและแห้งแล้งมานาน น้ำในโอ่งขอดแห้ง ในคลองก็ขอดเหลือแต่โคลนแล้ว พอฝนแรกตกน่าชื่นใจและน่าดูมาก คุณแม่ของคุณยายจะรีบเกณฑ์เด็ก ๆ ช่วยกันล้างโอ่งเปล่าให้สะอาดทุกใบ แล้วรอให้น้ำสะอาดเสียก่อน ช่วยกันรองน้ำฝนเสียยกใหญ่ มันช่างชื่นใจเสียจริง ๆ ดับร้อนได้ดีมาก ได้ซักผ้ากันเต็มที่ ไม่ต้องประหยัดน้ำกันแล้ว เพราะต้องซักผ้าล้างชามอย่างประหยัดน้ำกันมานาน เรื่องน้ำในหน้าแล้งนี้ก็เหมือนกัน คุณแม่ของคุณยายสั่งนักหนาห้ามไม่ให้เอาน้ำถูเรือนหรือน้ำที่ดื่มเหลือในถ้วยในขันสาดทิ้งไปเสียเปล่า ๆ โดยไม่ได้ประโยชน์อะไร ให้มารดน้ำตามโคนต้นไม้หรือในกระถางต้นไม้ยังได้ประโยชน์ดีกว่า ลูก ๆ จะล้างหน้าบ้วนปากสีฟันก็ให้ไปล้างที่แถวที่มีต้นไม้ จะได้ไม่เสียน้ำไปเปล่า ๆ
คุณตาคนที่เป็นหมอยาก็ต้องการใช้น้ำฝนกลางหาวมาไว้ใช้ทำยาตาเก็บไว้ น้ำฝนกลางหาวคือน้ำฝนที่รองด้วยอ่างที่ล้างสะอาดรองน้ำฝนกลางแจ้งตอนที่ฝนตกหนักในหน้าฝน น้ำนี้เป็นน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุด จึงเหมาะสำหรับทำยาหยอดตานัก จะมีโอกาสเก็บได้ในหน้าฝนเท่านั้น แล้วยังต้องเก็บไว้ผสมยาต่าง ๆ อีกด้วย ตามบ้านทุก ๆ บ้านจึงต้องมีรางน้ำสังกะสีเพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ตลอดปี โดยไม่ต้องพึ่งน้ำประปา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sirinawadee
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 16 ม.ค. 13, 00:00
|
|
อ่านครั้งแรกในสตรีสารภาคพิเศษตอนเรียนประถมค่ะ ดูเหมือนว่าในการรวมเล่ม บางตอนหายไป เท่าที่จำได้ก็มีเรื่องของทาส เรื่องของอีตู้ที่ไล่ฟันคน
ปัจจุบันมีถึงเล่ม 4 เท่านั้นใช่ไหมคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 16 ม.ค. 13, 09:39
|
|
ค่ะ หนังสือมี 4 เล่ม เรื่องของอีตู้ที่ไล่ฟันคนไม่ได้รวมอยู่ในหนังสือฉบับรวมเล่ม วรรณกรรมเยาวชนที่เล่าเรื่องในอดีตได้สนุก มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ถูกต้องแม่นยำอย่างนี้หาได้ยากมากค่ะ ขอนำมาลงให้อ่านกันอีกเรื่อง
ของแสลง
เมื่อสมัยคุณตาคุณยายยังเป็นเด็ก ๆ อยู่ ถ้าเกิดเจ็บป่วยเป็นอะไรไปนิดหน่อยก็ตาม คนนั้นจะต้องถูกจำกัดอาหาร ให้กินแต่อาหารอ่อน ๆ ที่ย่อยง่าย ห้ามกินอาหารที่คิดว่าแสลงต่าง ๆ จนกว่าจะหายเป็นปกติ
ถ้าใครท้องเสีย หรือเป็นบิด จะต้องกินข้าวต้มเปื่อย ๆ หรือข้าวเปียก กับปลาแห้งป่น หมูหยอง กุ้งแห้งป่น หรือปลาดุกย่างจิ้มน้ำปลา จะไปวิ่งเล่นหรือกระโดดโลดเต้นไม่ได้ เดี๋ยวจะหายยาก ถ้าเป็นไข้หวัด แล้วมีอาการไอก็จะห้ามอาหารทอดทุกชนิด ไข่เจียว ไข่ดาวก็ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเป็นไข่ต้ม ไข่ตุ๋นหรือไข่เค็ม อาหารทุกอย่างต้องปิ้งและต้มห้ามทอดเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ไอมากขึ้น เมื่อไข้สร่างก็จะห้ามกินแตงโม แตงไทยหรือผลไม้ที่เย็น
ผู้ที่เป็นไข้หวัดหรือไอ จะดื่มน้ำแข็งไม่ได้ เพราะจะทำให้เป็นมากขึ้น ต้องดื่มแต่น้ำร้อน ๆ ชาร้อน น้ำข้าวร้อน ๆ หรือบางทีก็น้ำมะตูมร้อน ๆ ที่เรียกว่า"น้ำชูบาน" ทำด้วยมะตูมสุก ๆ ต้มใส่น้ำตาลนิดหน่อย บางครั้งก็เอาเนื้อมะตูมไปราดน้ำผึ้งให้กินเป็นของหวาน แล้วเอาที่เหลือคือเปลือกและเม็ดและเนื้อที่ติดมาต้มทำน้ำชูบาน อีกอย่างหนึ่งก็คือนำมะตูมอ่อนที่หั่นเป็นแว่น ๆ ย่างไฟจนหอมแล้วชงน้ำร้อนให้ดื่ม หอม ๆ ดี แต่สู้น้ำชูบานไม่ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 16 ม.ค. 13, 09:41
|
|
ถ้าใครเป็นแผลพุพอง แผลหกล้มถลอก หรืออุบัติเหตุอะไรก็ตาม จะถูกห้ามไม่ให้กินข้าวโพดข้าวเหนียว ขนมทุกชนิดที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว กินได้แต่แป้งข้าวเจ้าและข้าวสาลีเท่านั้น เพราะจะทำให้แผลกลัดหนอง หายยาก แผลที่จวนหายแล้วกลับกลัดหนองขึ้นมาอีก แผลเล็กกลายเป็นแผลใหญ่ขึ้นมา คุณยายรู้สึกว่า ที่ผู้ใหญ่ห้ามนี้เป็นเรื่องจริง ๆ เพราะเคยพิสูจน์มาหลายครั้งแล้ว ครั้งหนึ่งคุณยายหกล้มหัวเข่าแตกเป็นแผลแห้งจวนจะหายดีแล้ว แต่ยังไม่หายสนิท คุณแม่ทำข้าวเหนียวมะม่วง อยากจะกินเหลือเกิน ก็บอกว่าแผลหายดีแล้ว จึงกินข้าวเหนียวมะม่วงมากไป พอรุ่งขึ้นเช้าก็ปวดและกลัดหนองขึ้นมาอีก ต้องกลับไปเดินขาเขยกอีก
อาหารอร่อย ๆ ดี ๆ ที่ชอบต้องอดไปเพราะเจ็บป่วยมีบ่อย ๆ กำลังเป็นแผลพุพอง ต้องอดข้าวต้มกุ้ง กุ้งทอดที่มีมันสีแดงเยิ้มคลุกข้าวอร่อย แม้แต่กุ้งเผาจิ้มน้ำปลาก็ไม่ได้ อาหารทะเล หอยนางรม ปลาทอดอร่อย ๆจิ้มน้ำปลามะนาวต้องอดหมด ต้องภาวนาขอให้หายเร็ว ๆ จะได้กินอาหารอร่อย ๆ อาหารพวกนี้ถูกหาว่าคาวจัด กินแล้วทำให้คันแล้วก็เป็นจริง ๆ ด้วย
หน้าลำไย ลิ้นจี่ หรือขนุน ก็ต้องจำกัดให้กิน เด็ก ๆ กินอะไรไม่รู้จักประมาณ กินจนไม่สบาย ลำไยกินมากไปก็ตาแฉะ เพราะร้อนเกินไป เด็ก ๆ ที่เป็นแผลพุพอง แผลจะเยิ้มมาก ลิ้นจี่ก็ย่อยยากถ้าธาตุไม่แข็งพอ เพราะมักทำให้ปวดท้อง ขนุนก็เหมือนกันย่อยยาก ทุเรียนนั้นร้อนมากห้ามกินตอนกลางคืน เพราะจะทำให้ร้อนจนนอนไม่หลับ คุณตาเคยไม่เชื่อฟัง แอบกินขนุนเสียมากมาย ทั้งที่ท้องไม่ดีกินยาจวนจะหายอยู่แล้ว กลับเป็นมากขึ้นอีก เลยจับได้ว่าแอบไปกินขนุนมา จึงต้องกินยาอีกมากมายกว่าจะหายดี
อาหารต่าง ๆ เหล่านี้แสลงจริง ๆ คุณตาและคุณยายลองมาแล้วแทบทั้งนั้น แต่แรกก็คิดว่าผู้ใหญ่นี้ใจร้ายใจดำ หวงไม่ให้กินอาหารอร่อย ๆ เมื่อเห็นฤทธิ์แล้วจึงรู้ว่าผู้ใหญ่นี้คิดถูก
หมอบอกว่า ถ้าไม่สบายให้กินอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย ๆ ไว้เป็นดีที่สุด จะรักษาโรคให้หายได้เร็วกว่าให้กินอาหารได้ตามใจเด็ก ๆ แต่อันที่จริงคุณยายนั้นชอบข้าวเปียกกับปลาดุกย่าง บางครั้งถึงกับภาวนาไม่อยากให้หาย เพราะจะอดกินข้าวเปียกกับปลาดุกย่างจิ้มน้ำปลาอร่อย ๆ ต่อไป ต้องมากินข้าวสวย เด็ก ๆ และคนแก่ที่ฟันไม่ดีกินอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย ๆ ดีเหมือนกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SRISOLIAN
อสุรผัด

ตอบ: 36
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 16 ม.ค. 13, 10:37
|
|
ถ้าผมจำไม่ผิดฉบับรวมเล่มตั้งแต่เล่ม 1-4 ยังพอหาซื้อได้ที่ศูนย์หนังสือจุฬาครับ ส่วนตอนที่นอกเหนือจากทั้ง 4 เล่มนี้ จะอยู่ในสตรีสารภาคพิเศษเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีภาพประกอบแสนน่ารักของ "ปีนัง" อีกด้วยครับ สำหรับตอนต่างๆ ที่น่าสนใจ เช่น เขามอ หมอยา ล่าจระเข้ เรือไม้ซาง การนอน น้ำปรุง ฯลฯ เป็นต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sirinawadee
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 16 ม.ค. 13, 11:06
|
|
หนังสือชุดนี้คล้ายๆ กับเรื่องบ้านเล็กอยู่อย่างหนึ่งคือ บรรยายอาหารการกินได้ชวนหิวมากค่ะ
เสียดายตอนที่ไม่ได้นำมารวมเล่มจังค่ะ เรื่องดีๆ ที่น่าอ่านทั้งนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Hanako
อสุรผัด

ตอบ: 2
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 16 ม.ค. 13, 18:43
|
|
เปิดเจอกระทู้นี้ทำให้กดสั่งซื้อหนังสือชุดนี้มาอ่านอีกรอบ เพราะนึกได้ค่ะว่า สมัยที่อ่านนั้น ตัวเองยังเด็กมาก แม้จะชื่นชมและประทับใจแต่ก็ยังทำอะไรไม่เป็นมากนัก จะประทับใจอย่างเดียวแต่ไม่ได้เอามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงปัจจุบันบ้างก็เห็นจะเสียดายคุณค่าที่แท้จริงของหนังสือเล่มนี้ไป เลยสั่งซื้อมาอ่านใหม่ รอบนี้จะอ่านแบบเป็นเหมือน...คู่มือสามัญประจำบ้าน เลยค่ะ อิอิ เจอกันแน่กับตำราอาหาร สารพัดประยุกต์และประหยัด รู้คุณค่าทุกๆสิ่งในครัวเรือนตามฉบับของแม่บ้านไทยๆขนานแท้ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|