เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3 ... 34
  พิมพ์  
อ่าน: 218865 “พม่ารบฝรั่ง” บทสุดท้ายของ “มาดูรูปพิธีกรรมสำเร็จโทษเจ้านายในพม่ากัน”
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


 เมื่อ 28 ธ.ค. 12, 00:20

เรื่องราวเก็บตกจากประวัติศาสตร์พม่านี้ เป็นภาคผนวกของเรื่อง “มาดูรูปพิธีกรรมสำเร็จโทษเจ้านายในพม่ากัน” ที่ผมเคยเขียนไว้ในห้องสมุดของพันทิป ซึ่งผมกะจะเขียนเรื่องตามที่จั่วหัวไว้นั้นเรื่องเดียว แต่ไม่ทราบท่านผู้อ่านแห่มาจากไหน เข้ามาให้กิ๊ปมากมายเกิดฮิตติดบอร์ดกระทู้แนะนำอยู่เป็นเดือน ผมก็บ้าจี้ตามเขาไปสิครับ ตะบี้ตะบันเขียนไปทั้งหมดถึง๕ตอนด้วยกัน จนมีคนยกให้เป็นกระทู้แห่งปีด้วยนะ แต่ก็นมนานมาแล้ว นี่คุณเพ็ญชมพูไปขุดกรุขึ้นมาลิงค์ไว้ให้ในกระทู้เรื่องพระนางศุภยาลัต ของคุณพระยาสุเรนทร์ ถ้าท่านไม่เข้าไปอ่านก็คงเห็นว่าเรื่องที่ผมจะเอามาผนวกไว้เป็นบทสุดท้ายในซีรีย์นี้ไม่มันสะใจ ยังไงเสียก็โปรดหาเวลาเข้าไปอ่านก่อนนะครับ

ตอนที่ ๑ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/10/K8387677/K8387677.html

ตอนที่ ๒ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/10/K8404784/K8404784.html

ตอนที่ ๓ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/10/K8411452/K8411452.html

ตอนที่ ๔ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/10/K8420681/K8420681.html

ตอนที่ ๕ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/10/K8435679/K8435679.html

ผมตะขิดตะขวงใจอย่างเดียวที่ท่านเรียกกระทู้ซีรี่ย์ของผมว่า “พม่าเสียเมืองของคุณนวรัตน” ผมเห็นที่ไรก็เสียววูบทุกที กลัวอาจารย์คึกฤทธิ์ของผมท่านทราบด้วยญาณวิถีแล้วจะหมั่นไส้เอา ก็ชื่อนั้นท่านตั้งของท่านไว้เป็นอมตะสำหรับสารคดีที่คอประวัติศาสตร์แท้ๆต้องอ่านกันทุกคน ผมมันระดับลูกศิษย์นั่งหลังห้องมิกล้าบังอาจ
 
เอาเป็นชื่อ“พม่ารบฝรั่งของคุณนวรัตน” ก็แล้วกันนะครับ จะได้ไม่ซ้ำกับท่าน
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 28 ธ.ค. 12, 00:21

คงจำกันได้ที่ผมเล่าไว้ว่า เมื่อพระเจ้ามินดงแมงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินพม่าก็มีพระราชดำริที่จะสร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่แทนเมืองอมรบุระ ราชธานีเดิมที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิรวะดีไป  เพราะกลัวว่าอังกฤษที่ยึดเอาพม่าใต้ไปแล้วอาจเอาปืนใหญ่ใส่เรือกำปั่น ขึ้นไปยิงถึงพระราชวังได้ จึงเห็นควรย้ายเมืองไปให้ห่างพ้นระยะปืนศัตรูไว้ก่อน
ครั้นแล้วก็ทรงส่งพวกพราหมณ์ไปหาทำเล ได้แล้วก็เตรียมการสร้างเมือง ให้ชื่อว่ามัณฑะเลย์ อันเป็นชื่อของภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองที่จะสร้าง
การมอบภารกิจนี้ให้พวกพราหมณ์ ก็เพราะจะต้องฝังคนเป็นๆลงไปในหลุมตอนวางฐานรากสำคัญของเมือง เพื่อให้วิญญาณเป็นผีตายโหงอยู่เฝ้าเมือง พอได้ข่าวว่าพระเจ้ามินดงจะสร้างเมืองใหม่  ประชาชนพม่าก็แตกตื่น หวาดผวาว่าจะโดนแจ๊กพ๊อตกับเขาเข้าให้ด้วย พระเจ้ามินดงจึงทำเป็นไก๋โดยการสร้างโอ่งขนาดใหญ่ขึ้นหลายสิบใบ ข้างในบรรจุน้ำมันอย่างดี ผนึกแน่นไม่ให้ระเหย เอาไปตั้งไว้ให้คนเห็น บอกว่าโอ่งน้ำมันนี้เป็นเทคโนโลยี่ด้านป้องกันพระนครอันทันสมัยล่าสุดที่จะใช้แทนการฝังมนุษย์ที่ล้าสมัยแล้ว

แต่ที่ไหนได้ ในทางลับนั้นพวกพราหมณ์ก็เตรียมการเป็นอย่างดี  ครั้นได้ฤกษ์ยามก็ลงมือพร้อมกัน นายพลอังกฤษคนหนึ่งชื่อพลตรีฟลิตชย์(Fytche) ได้เขียนหนังสือเรื่อง Burma, Past and Present โดยบันทึกอย่างละเอียดละออตามที่ได้ค้นคว้ามาว่า มีคนถูกจับมาทำพิธีอุบาทว์นี้ทั้งหมดในวันนั้นถึง๕๒คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ถ้าเป็นหญิงกำลังท้องยิ่งให้ลำดับสำคัญ เพราะลงทุนฆ่าคนๆเดียวแต่ได้ถึง๒วิญญาณ แต่ละคนจะถูกนำไปมัดในก้นหลุมที่เตรียมไว้ พอได้ฤกษ์ก็ทุ่มด้วยหินให้ตาย เอาดินกลบ หลังจากนั้นก็เอาโอ่งที่เตรียมไว้มาวางลงไปอย่างดี พร้อมกับทำพิธีเอาเสาเอกลงหลุม การทำเช่นนี้เพราะเชื่อว่าเมื่อคนเหล่านี้ตาย วิญญาณจะกลายเป็นผีตายโหงที่ถูกสะกดไม่ให้ไปผุดไปเกิด กลายเป็นร.ป.ภ.ชั้นดีตรงจุดนั้น คนพม่าเรียกว่า“นัต”

ในรูปเป็นเสาหลักเมืองของพม่า หนึ่งในยี่สิบห้าจุดที่ฝังคนไว้ทั้งเป็น รูปนี้ถ่ายสมัยหลังสงคราม แต่เมื่อพม่าได้เอกราชแล้ว หลักเมืองอุบาทว์เหล่านี้ถูกถอนไปหมด


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 28 ธ.ค. 12, 00:22

พลตรีฟลิตชย์ไม่ได้ลงภาพประกอบของโอ่ง แต่ผมไปพบรูปนี้ และเคยนำลงไว้ในกระทู้พม่ารบฝรั่ง บรรยายว่าทหารอังกฤษไปเจอภาชนะประหลาดในพระราชวังมัณฑเลย์ ใต้ภาพอ่านได้ว่าเป็นภาชนะใส่อาหารให้พญาช้างเผือก ซึ่งผมวิจารณ์ว่า “ดูแล้วก็หม่างๆนะครับ ช้างคงเอางวงลงไปควักลำบาก มันน่าจะเป็นภาขนะปากบานมากกว่า ผมนึกถึงอะไรเดาออกไหมครับ คำว่าjarที่ผมแปลว่าโอ่ง ที่พม่าเอาน้ำมันหอมใส่ลงหลุมผีนัตไง หรืออย่างน้อย ไอ้jarนั่นคงจะหน้าตาอย่างนี้”


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 28 ธ.ค. 12, 00:24

ภาพเขียนเหมือนจริงนี้ผมไปพบล่าสุด เป็น เป็นภาพช้างเผือกของพระเจ้าสีป่อที่อยู่ในพระราชวังมัณฑเลย์ โปรดสังเกตุภาชนะที่ใส่อาหารช้างสิครับ เหมือนดังที่ผมสันนิฐานไว้คราวนั้นเป๊ะเลย

ดังนั้น เจ้าjarที่ผมแปลว่าโอ่งในภาพแรก ก็น่าจะเป็นภาชนะที่ทำไว้บรรจุอะไรแปลกๆ เช่นน้ำมันบ้าบออะไรนั่น ดังที่ผมเดาไว้นั่นแล


บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 28 ธ.ค. 12, 04:42

มาลงชื่อเข้าเรียนก่อนเลยครับ  เจ๋ง  เจ๋ง  เจ๋ง
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 28 ธ.ค. 12, 08:05

ซากความรุ่งเรืองของพระราชวังมัณฑเลย์ ภายหลังถูกฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งลูกระเบิดทำลายไฟไหม้หมดทั้งวัง สูญสิ้่นปราสาทไม้สักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒


บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 28 ธ.ค. 12, 08:14

ภาพเขียนเหมือนจริงนี้ผมไปพบล่าสุด เป็น เป็นภาพช้างเผือกของพระเจ้าสีป่อที่อยู่ในพระราชวังมัณฑเลย์ โปรดสังเกตุภาชนะที่ใส่อาหารช้างสิครับ เหมือนดังที่ผมสันนิฐานไว้คราวนั้นเป๊ะเลย

ดังนั้น เจ้าjarที่ผมแปลว่าโอ่งในภาพแรก ก็น่าจะเป็นภาชนะที่ทำไว้บรรจุอะไรแปลกๆ เช่นน้ำมันบ้าบออะไรนั่น ดังที่ผมเดาไว้นั่นแล


เอารูปวาดสีมาให้ชมครับ

http://www.bl.uk/onlinegallery/onlineex/apac/other/largeimage66311.html


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 28 ธ.ค. 12, 08:20

ที่ตำบลมัณฑเลนั้นมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง พระเจ้ามินดุงทรงพระสุบินแลเห็นภูเขามัณฑเลอันแปลว่ากองมณีนั้นอยู่บ่อย ๆ เมื่อทรงแก้พระสุบินให้อำมาตย์ราชเสวกและโหรพราหมณ์ได้ฟังต่างก็ทำนายทายทักว่าเป็นศุภนิมิต ควรที่จะได้สร้างราชธานีขึ้นใหม่ในระหว่างภูเขาลูกนั้นกับแม่น้ำอิรวดี แล้วขนานชื่อเมืองเป็นมงคลนามว่าพระนครมัณฑเล แต่พระนครนั้นต้องไม่อยู่ชิดริมน้ำอิรวดี ให้ตั้งให้ห่างพอสมควร ทั้งนี้ก็ต้องกับพระราชประสงค์ของพระเจ้ามินดุง เพราะเมืองอมรปุระนั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำ มีเรือกลไฟจักรข้างของบริษัทฝรั่งที่ย่างกุ้งชื่อบริษัทเดินเรืออิรวดี (The Irrawaddy Flotilla Company) เดินขึ้นล่องอยู่บ่อย ๆ หวูดเรือกลไฟนั้นระคายเคืองพระกรรณนัก ไม่มีทางที่จะสงบได้ทั้งกลางคืนและกลางวัน นอกจากจะหนวกหูแล้วก็ยังคอยเตือนให้ระลึกถึงอำนาจของฝรั่งในพม่าภาคใต้อีกด้วย...

การย้ายราชธานีนั้นมิใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะจะต้องสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่มัณฑเลให้ใหญ่พอที่จะรับเอารั้ววัง วัดวาอารามขุนนาง ทั้งทหารและไพร่พลตลอดจนราษฎรอีก ๑๕๐,๐๐๐ คนจากกรุงอมรปุระเข้าไว้ให้ได้ทั้งหมด เคราะห์ดีที่ที่ตั้งเมืองใหม่นั้นไม่ไกลจากกรุงอมรปุระนัก ห่างกันไม่กี่กิโลเมตร มิฉะนั้นจะต้องหมดเปลืองแรงทรัพย์แรงคนและชึวิตคนอีกมาก

ราชธานีใหม่นั้นสร้างขึ้นตามแผนผังราชธานีซึ่งใช้กันมาแต่ดั้งเดิม ไม่ชั่วแต่ในพม่า แต่ในประเทศอื่น ๆ อีกมาก ตั้งแต่มอสโคว ปักกิ่ง ลงมาจนถึงกรุงเทพฯ ศูนย์แห่งราชธานีคือพระราชวังซึ่งมีกำแพงล้อมให้เป็นเมืองอันมีปราการ ภายในเมืองรอบพระราชวังนั้นก็เป็นวังเจ้า และบ้านขุนนาง ตลอดจนวัดวาอารามต่าง ๆ แล้วจึงถึงกำแพงเมืองซึ่งมีคูล้อมรอบ

เมืองมัณฑเลเป็นรูปสี่เหลี่ยม จึงมีกำแพงสี่ด้าน กำแพงแต่ละด้านมีประตูเมืองสามประตู รวมเป็นสิบสองประตูด้วยกัน ที่เสาประตูเมืองและตามที่สำคัญอื่น ๆ นั้น ต้องฝังอาถรรพ์ และอาถรรพ์นั้นก็คือคนเป็น ๆ

เมื่อพระเจ้ามินดุงสร้างเมืองมัณฑเลนั้น ต้องเอาคนเป็น ๆ มาฝังถืง ๕๒ คน ฝังตามประตูเมืองประตูละ ๓ คน  ๑๒ ประตููู ก็เป็น ๓๖ คน  ตามมุมเมืองอีกมุมละคน  ประตูพระราชวังและสี่มุมกำแพงพระราชวังก็ต้องฝังคนอีก และเฉพาะใต้พระที่นั่งสิงหาสน์อันเป็นพระที่นั่งในท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกขุนนางนั้น ต้องฝังถึง ๔ คน

กรุงมัณฑเลนั้นสร้างทีหลังกรุงเทพฯหลายสิบปี แต่เมื่อสร้างกรุงเทพฯนั้น ประเพณีฝังคนได้เลิกไปแล้ว ในที่ก็เห็นจะต้องจารึกไว้เป็นเกียรติคุณของพระสงฆ์พม่าว่า พอมีข่าวว่าโหรพราหมณ์กราบบัีงคมทูลพระเจ้ามินดุง ให้เอาคนเป็น ๆ มาฝังตามไสยศาสตร์  พระสงฆ์พม่าได้เข้าไปถวายพระพร ขอบิณฑบาตชีวิตมนุษย์เหล่านั้นไว้ แต่พระเจ้ามินดุงก็ไม่อาจขัดโหรพราหมณ์ได้

คนที่ถูกฝังทั้งเป็นเพื่อให้เป็นผีคอยรักษาเมืองและพระราชวังนั้นต้องเลือกให้ได้ลักษณะตามที่โหรพราหมณ์กำหนด  ไม่ใช้คนโทษที่ต้องโทษประหาร แต่เป็นคนที่อยู่ในวัยต่าง ๆ กัน ตั้งแต่ผู้มีอายุไปจนถึงเด็กๆ มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทุกคนต้องมีฐานะดีเป็นที่ยกย่องในกลุ่มชน ต้องเป็นคนที่เกิดตามวันที่โหรกำหนด ถ้าเป็นเด็กผู้ชายต้องเป็นเด็กที่ยังไม่มีรอยสักตามตัว ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องยังไม่เจาะหู ทหารมีหน้าที่จับคนเหล่านี้มาให้ได้จนครบ

พอมีข่าวออกไปว่าจะเอาคนมาฝังทั้งเป็น ผู้คนก็หลบไปจากเมืองมัณฑเลเกือบหมด ทางราชการสั่งให้มีละคร ให้คนดูทั้งกลางวันและกลางคืนหลายวัน  แต่ก็ไม่มีใครมาดู ในที่สุดก็ต้องเที่ยวซอกซอนค้นเอาตัวมาได้จนครบ เมื่อได้ฤกษ์ก็เลี้ยงดูคนเหล่านั้นแล้วสั่งเสียให้คอยเฝ้าเมือง และรักษาพระราชวัง  แล้วก็เอาลงหลุม  เอาเสาประตูใส่หลุมตามลงไป ลูกเมียญาติพี่น้องซึ่งได้รับพระราชทานรางวัลก็คงจะรับไปอย่างไม่สบายใจนัก...

จาก "พม่าเสียเมือง" ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช

 ยิงฟันยิ้ม

บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 28 ธ.ค. 12, 08:23

ขอแนบแผนผังพระราชวังมัณฑเลย์ประกอบให้ ซึ่งวาดไว้เมื่ออังกฤษได้เข้าครองพระราชวังแล้ว


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 28 ธ.ค. 12, 09:02

แหมดีจัง มีคนช่วยให้กระทู้ไม่เหงาแล้ว

ผมขอย้อนกลับไปถึงสงครามครั้งแรกสั้นๆหน่อยนึงนะครับ มีบางอย่างตกค้างอยู่ บางทีลงรูปของผมไปแล้วคุณหนุ่มสยาม(คนเดียวกับหนุ่มรัตนะวิกโน้น)อาจจะหารูปสีมาลงให้ใหม่สวยๆยิ่งขึ้นไปอีก แถมบทความที่ชมพูเนตรจะสอดส่องคัดสรรจากอินทรเนตรมาเพิ่มความรู้ให้อีกที  ขอบคุณคร้าบ

ในปี๑๘๑๙ มหาราชาแห่งมณีปุระ Manipur ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของพม่า ไม่เข้าไปร่วมในพิธีราชาภิเษกพระเจ้าพะยีดอ Bagyidaw กษัตริย์พระองค์ใหม่ไทยเรียกว่าพระเจ้าจักกายแมงที่ขึ้นครองราชย์ นั่นถือว่าเป็นกบฏ กองทัพอันยิ่งใหญ่พม่าจึงต้องเข้าไปกำหราบซะให้เข็ด และก็ถือโอกาสนั้นตีเมืองอื่นที่อ้างว่ามีเอกราชอธิปไตยของตนเองทั้งหลายที่อยู่ใกล้กันหลายเมืองลึกเข้าไปในแคว้นอัสสัม หนึ่งในบรรดานี้ เมืองคาชาร Cachar มหาราชาหนีรอดไปขอความคุ้มครองในเขตแดนอินเดียของอังกฤษได้
อังกฤษ ตอนแรกก็พยายามทำตนเป็นพ่อค้าที่ดี มุ่งหน้าค้าขายกับพม่าจะกอบโกยกำไรกลับลอนดอนอย่างเดียว จึงยืดหยุ่นไม่ยอมหักกับพม่าในเรื่องทางชายแดน แต่ในสมัยพระเจ้าจักกายแมงนี้เองได้ส่งร้อยเอกไมเคิล ซิม มาตั้งกงสุลอยู่ในอมรปุระ เมืองหลวงของพม่า คณะของซิมมีหน่วยสืบราชการลับอยู่หลายคน ลอบเข้ามาหาความรู้เรื่องพม่าที่อังกฤษยังไม่รู้จักมากนัก ตอนนั้นฝรั่งเศสศัตรูตัวยงที่มีกษัตริย์นโปเลียนเป็นจอมทัพกำลังทำสงครามกับอังกฤษอยู่ในยุโรป ได้เข้าไปทำสนธิสัญญาขอใช้เมืองท่าต่างๆของพม่าและกำลังมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆกับราชสำนัก สร้างความวิตกกังวลให้อังกฤษถึงกับตาร้อนผ่าว

แต่อังกฤษก็ต้องใจเย็น ใช้การค้าบังหน้ามุ่งเจรจาเรื่องขอสัมปทานต่างๆ แข่งกับฝรั่งเศสไปเรื่อยๆ พอรู้ตื้นลึกหนาบางดีแล้ว และเห็นทีจะแข่งขันการการค้ากับฝรั่งเศสในพม่าไม่ได้ อังกฤษก็ใช้ข้ออ้างในการที่มหาพันธุละแม่ทัพใหญ่ของพม่าย่ามใจหนัก ยกกองทัพเข้าไปถึงจิตตะกอง เมืองท่าสำคัญของอ่าวเบงกอล (ตอนนี้ก็ยังสำคัญอยู่ ของบังคลาเทศ) เพื่อปราบขุมกำลังใหญ่ของพวกยะไข่รักชาติที่ข้ามชายแดนเข้าไปฆ่าคนพม่าที่มายึดครองบ้านเมืองของตน อ่าวเบงกอลเป็นสิ่งที่อังกฤษจะยอมให้แตะต้องไม่ได้

เมื่อประท้วงไม่ได้ผล ในวันที่๕มีนาคม๑๘๒๔ ลอร์ด แอมเฮอร์ส Lord Amherst ข้าหลวงใหญ่ของรัฐบาลอังกฤษประจำอินเดียจึงได้ประกาศสงครามกับพม่าอย่างเป็นทางการ

มหามหาพันธุละมีทหารม้ามือเก๋าใต้บังคับบัญชาเพียง6000คนเท่านั้น เปิดฉากรุกแคว้นเบงกอลต่อไปทันทีที่รู้ว่าอังกฤษประกาศสงคราม ยึดเมืองรัตนะพลัง Ratnapallang และได้ชัยชนะต่อกองกำลังของอังกฤษในการรบที่รามุ Ramu ทหารอังกฤษต้องสยบต่อแม่ทัพพม่าดังในภาพ (ที่ลงไว้ครั้งแรกนั้น ผมมีแต่ภาพเล็กๆ ตอนนั้นเขียนว่า เสียดายหาที่ชัดกว่านี้ไม่ได้ บัดนี้หาได้แล้ว ขอนำมาลงใหม่ให้สะจาย)


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 28 ธ.ค. 12, 09:03

เป้าหมายต่อไปของปฏิบัติการก็คือจะยึดครองจิตตะกอง และดักกา Dacca (เมืองหลวงของบังคลาเทศในตอนนี้)ให้ได้ แต่พอกองกำลังแห่งกองทัพที่๒ของอังกฤษรีบเดินทางจากอัสสัมมาหนุน แผนการรบของมหามหาพันธุละจึงชะงักงัน

เมื่อมีหมายคำสั่งให้ถอนกำลังกลับไปป้องกันเมืองหลวง เพราะทหารอังกฤษเปิดแนวรบที่๒ที่ปากแม่น้ำอิระวดี มหาบัณฑุละก็ต้องถอยอย่างทุลักทุเล มีหน่วยรบอิสระของชาวยะไข่ไล่ตอดเล็กตอดน้อยตลอด กว่ากองทัพพม่าจะออกไปจนพ้นชายแดนได้
ในช่วงนั้นแม่ทัพใหญ่ของพม่า มหาพันธุละก็เรื่มมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพลุแตก ขึ้นหน้าหนึ่งทุกวันในพม่า และกลายเป็นพระเอกในดวงใจมาจนถึงทุกวันนี้  ในย่างกุ้งจึงมีอนุสาวรีย์ของท่านผู้นี้นั่งบัญชาการรบบนหลังม้าสถิตอยู่


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 28 ธ.ค. 12, 09:06

ที่แต่งเครื่องแบบหล่ออย่างนั้นเห็นจะมีแค่ระดับนายทัพนายกองไม่กี่คน

รูปยูนิฟอร์มของทหารพม่าทั่วไป เทียบกับผ้าห่อกายของทหารอังกฤษ ช่วงที่ทำสงครามครั้งแรกกัน ตอนนั้นลงไว้แบบไม่ค่อยมีสีสัน ผมหาได้ใหม่ก็มาลงใหม่ให้กะจะๆ จะได้เห็นว่าทหารพม่าตรงกับสมัยรัชกาลที่๓ของเราจริงๆแล้วแต่งตัวอย่างไร สมัยอยุธยารบกับสมเด็จพระนเรศวรก็คงแต่งอย่างงี้นั่นแหละ หาได้วิลิศมาหราเหมือนตำนานที่ท่านมุ้ยวาดฝันไว้ในหนังดังของท่านไม่ หาใช่ว่าเวลารบกับไทยแล้วแต่งตัวซะหล่อเฟี๊ยว ทีรบกับฝรั่งละก็ แต่งอย่างกับขอทาน


บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 28 ธ.ค. 12, 10:35

ที่แต่งเครื่องแบบหล่ออย่างนั้นเห็นจะมีแค่ระดับนายทัพนายกองไม่กี่คน

หาได้วิลิศมาหราเหมือนตำนานที่ท่านมุ้ยวาดฝันไว้ในหนังดังของท่านไม่ หาใช่ว่าเวลารบกับไทยแล้วแต่งตัวซะหล่อเฟี๊ยว ทีรบกับฝรั่งละก็ แต่งอย่างกับขอทาน


ก็เป็นการโฆษณาอย่างหนึ่งครับ ให้คนมองว่าบ้านเมืองไม่มีความศิวิไลซ์ สามารถรบได้สบาย ๆ ยึดได้เป็นยึด ครับ
บันทึกการเข้า
Oh
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 28 ธ.ค. 12, 13:30

ปูเสื่อรอค่ะ  ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 28 ธ.ค. 12, 14:24

ที่แต่งเครื่องแบบหล่ออย่างนั้นเห็นจะมีแค่ระดับนายทัพนายกองไม่กี่คน

ภาพนี้ชื่อว่า "A Burmese Minister of State in Military Dress" ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ The Illustrated London News ฉบับวันเสาร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๘๘๕  ปีเดียวกับที่พม่าเสียเมืองโดยสมบูรณ์

 ยิงฟันยิ้ม



คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 ... 34
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.051 วินาที กับ 20 คำสั่ง