เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 285 เมื่อ 16 ม.ค. 13, 21:08
|
|
เมื่ออังกฤษเคี้ยวกองทัพประชาชนของพม่าในครั้งนี้ไม่ลง ทัพของพระอาจารย์โอตตะมาก็ทวีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว กำนันผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านต่างๆละแวกนั้นซึ่งไม่มีใครอยากเป็นขี้ข้าอังกฤษอยู่แล้ว ก็พาลูกบ้านชายฉกรรจ์มาสมทบ ท่านอาจารย์โอตตะมะเก่งพอจะวางแผนการบริหารอย่างรัดกุม กระจายกำลังคนให้เป็นหูเป็นตาสอดส่องกัน จนอังกฤษไม่มีทางส่งกองทหารเล็ดลอดเข้ามาถึงถิ่นนี้โดยท่านไม่รู้ตัวล่วงหน้าได้ เรียกได้ว่าท่านอาจารย์โอตตะมะบัญชาการรบแบบนักรบเต็มตัว
ฝีมือบัญชาการของท่านอาจารย์โอตตะมะ ส่งให้ท่านกลายเป็นปรปักษ์ตัวฉกาจที่อังกฤษเดือดร้อนหนัก จึงมีการตั้งค่าหัวท่านถึง 2000 รูปี ใครจับท่านได้ก็กลายเป็นเศรษฐีไป แต่ก็ไม่มีใครจับท่านส่งให้อังกฤษอยู่ดี อังกฤษก็แหวกชาวบ้านเข้ามาไม่ถึงตัวท่านจนแล้วจนรอด ทางการอังกฤษจึงวางแผนใหม่ คือการยัดข้อหา "กบฎ"ให้ท่านอาจารย์โอตตะมะเต็มรูปแบบ พร้อมกับประกาศนิรโทษกรรมให้ชาวบ้านที่เข้าร่วมในกองทัพ ถ้าหากว่าใครกลับตัวกลับใจวางอาวุธก็จะไม่เอาโทษ ปล่อยไปทำมาหากินตามปกติ อังกฤษยังใช้วิธีกดดันอีกว่า ถ้าชาวบ้านคนไหนยังร่วมมือช่วยเหลือท่านอาจารย์โอตตะมะอยู่ จะเจอโทษทัณฑ์รุนแรง ไม่ใช่เฉพาะกับตัวผู้นั้น แต่กับญาติพ่อแม่พี่น้องลูกเมียที่ทำมาหากินอยู่ในหมู่บ้านด้วย มีสิทธิ์ถูกจับตัวไปยิงทิ้งเอาง่ายๆ ในเมื่อใช้วิธีปิดประตูตีแมวแบบนี้ ชาวบ้านทั้งหลายก็ไม่มีทางรอด ไม่ห่วงตัวเองก็ต้องห่วงพ่อแม่ลูกเมีย จึงจำต้องวางอาวุธมอบตัวกับทางการเป็นจำนวนมาก ด้วยวิธีนี้ ทัพของท่านอาจารย์โอตตะมะก็ร่อยหรอกำลังคนลง จนท่านเองก็ถูกจับกุมเป็นนักโทษของอังกฤษ หลังจากยืนหยัดต่อสู้มาได้ 3 ปี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 286 เมื่อ 16 ม.ค. 13, 21:11
|
|
ผมมีภาพนักโทษการเมืองของอังกฤษในเรือนจำ ประหลาดกว่าหมู่เพราะสวมหมวก และถูกแยกไว้ต่างหาก เดาว่าน่าจะเป็นกลุ่มที่มีฐานะทางสังคมสูงกว่ากัน ในรูปขวานั้น ฝรั่งบรรยายภาพว่าเป็นโรงเรียนภาคค่ำในคุก
อาจเป็นไปได้สูงที่นักโทษเหล่านี้คืออดีตพระสงฆ์ของพม่า
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 287 เมื่อ 16 ม.ค. 13, 21:17
|
|
ผมไม่ทราบว่าในสมัยราชาธิปไตยนั้นสถาบันสงฆ์ของพม่าถูกจำกัดบทบาทในการเคลื่อนไหวทางการเมืองแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าในยุคปัจจุบัน สงฆ์พม่าก็ยังเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองอยู่บ่อยๆ ครั้งสุดท้ายที่ออกมาเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย แม้ว่าเป็นแนวอหิงษา ก็ถูกทหารของรัฐบาลยิงกราดไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหม ตายทั้งจีวรไปไม่น้อย
ไม่ว่าอย่างไร สงฆ์ควรจะมีศีลข้อหนึ่ง คือถือปาณาติบาตอย่างเคร่งครัด ถ้ามาเป็นผู้นำกองกำลังเข้าเข่นฆ่าศัตรู แม้จะมิได้ลงมือเองก็ถือว่าต้องปาราชิกแล้ว เช่นเจ้าพระฝางในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อแพ้ ท่านก็ไม่เอาไว้ เพราะถือว่าไม่ใช่พระ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 ม.ค. 13, 11:42 โดย เทาชมพู »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 288 เมื่อ 16 ม.ค. 13, 21:32
|
|
ความจริงมีเจ้าชายอีกหลายองค์ที่เป็นผู้นำขบวนการต่อต้านอังกฤษ ถูกยัดข้อหาว่าเป็นดาค้อยท์เสมอหน้ากันหมด เช่นเจ้าชายบายินกัน เจ้าชายจีมยินดายง์ และเจ้าชายเซะต์จา
ชะตากรรมของเจ้าชายดาค้อยท์พวกนี้คล้ายๆกันจนกล่าวรวมกันได้ คือทรงรวบรวมชาวบ้านพม่าเข้าสู้กับอังกฤษอย่างทรหด รุกบ้างหนีบ้างอยู่หลายครั้ง เป็นสงครามกองโจรที่ก่อกวนอังกฤษอย่างได้ผลอยู่นานเป็นปี แต่เมื่อปะทะกันหลายครั้งเข้า น้ำน้อยก็แพ้ไฟเป็นธรรมดา เจ้าชายพวกนี้ยอมสละชีพในสมรภูมิทั้งหมด โดยเฉพาะเจ้าชายเซะต์จาและไพร่พลนั้นสู้อังกฤษจนคนสุดท้าย
แต่ก็มีเหมือนกัน ที่บางคนยอมวางอาวุธ กลับใจเข้าสวามิภักดิ์กับพม่า เช่นเจ้าชายหม่องหม่องทิน อังกฤษก็ไม่ได้ทำอะไร ก็ปูนบำเหน็จให้รับราชการเป็นอันดี เห็นได้ว่าเป้าหมายของอังกฤษคือให้พวกนี้เลิกรังควานอังกฤษเสียเท่านั้น เหตุผลก็เห็นๆกันคืออังกฤษยึดมัณฑะเลย์ได้ง่ายดายก็จริง แต่ก็ต้องมาทำสงครามกองโจรกับประชาชน ยืดเยื้อเปลืองอาวุธและชีวิตทหารฝ่ายตนอยู่ยาวนานหลายปี ยิ่งสงครามถูกทอดไปเนิ่นช้าเท่าใด อังกฤษก็เปลืองงบประมาณมากขึ้นเท่านั้น อะไรจะประหยัดได้ก็อยากประหยัดเอาไว้
ผลพลอยเสียของอังกฤษอีกอย่างหนึ่งในการทำสงครามกองโจรกับดาค้อยท์ คืออังกฤษมีนโยบายระบายคนในอาณานิคมอื่นเข้ามาทำมาหากินในพม่า อาณานิคมที่ว่านี้คืออินเดีย เมื่ออังกฤษผนวกพม่าเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย พื้นที่พม่ายังมีที่ว่างเหลืออยู่มากในชนบท อังกฤษก็เห็นเป็นโอกาสดีจะเอาชาวอินเดียมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ นอกจากระบายความแออัดในอินเดียแล้ว ยังเป็นการผสมปนเปชาติพันธุ์อย่างฉลาด บั่นทอนความรู้สึกชาตินิยมของพม่าให้จางลง ช่วยให้รวมตัวกันไม่ถนัดอีกด้วยในระยะยาว แต่พวกดาค้อยท์นี่แหละที่กลายเป็นกระดูกชิ้นใหญ่มิให้นโยบายนี้ทำให้สะดวกง่ายดาย เพราะชาวอินเดียทั้งหลายที่อพยพย้ายถิ่่นเข้ามาถูกดาค้อยท์รังควานจนอยู่ไม่เป็นปกติสุข เนื่องจากพม่าเองก็รังเกียจคนต่างถิ่นที่เข้ามาแย่งที่ทำมาหากินของตน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 289 เมื่อ 16 ม.ค. 13, 21:52
|
|
เคยแปลกใจว่าทำไมภาพการโจมตีพวกดาค้อยท์ของอังกฤษจึงมีเป้าหมายเป็นวัดเสียหลายแห่ง มาถึงตอนนี้ก็ถึงบางอ้อ สงฆ์ของพม่าส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งทีเดียวที่สนับสนุนการสู้รบต่อต้านเจ้าอาณานิคมอย่างเปิดเผยเช่นเดียวกับฆราวาสนั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 290 เมื่อ 16 ม.ค. 13, 22:04
|
|
การรบที่มินลา พม่าดาค้อยท์ใช้วัดเป็นฐานซ่องสุมกำลังเช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 291 เมื่อ 16 ม.ค. 13, 22:08
|
|
เท่าที่ขอให้อินทรเนตรส่องหาพระสงฆ์ในพม่า ว่าท่านคิดอย่างไรเรื่องการเมือง เผื่อจะเข้าใจขึ้นมาบ้างว่าเหตุใดพระสงฆ์ในกระทู้นี้ถึงลุกขึ้นจับอาวุธสู้อังกฤษได้อย่างเปิดเผย ในสายตาประชาชนก็ยังเลื่อมใสศรัทธาท่านเหล่านี้เหมือนเดิม ก็ไปเจอคำให้สัมภาษณ์ของท่านAshin Sopaka พระสงฆ์พม่า ซึ่งเป็นแอคทิวิสท์รูปหนึ่งในยุคปัจจุบัน ได้ความมาอย่างนี้ค่ะ
He said, lies in Buddhist doctrine that explicitly calls for the alleviation of human suffering: "If the people are suffering, then we have a responsibility - of course it [the suffering] is because of the political situation… [and] the political situation is connected to everything.
ท่านกล่าวว่า หลักคำสอนทางพุทธศาสนาคือกำหนดอย่างชัดแจ้งให้ลดละเลิกทุกข์องมนุษย์ " ถ้าประชาชนเป็นทุกข์ พวกอาตมาก็ถือเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องลดละเลิกทุกข์ให้พวกเขา แน่ละว่าทุกข์ในที่นี้เกิดจากสถานการณ์ทางการเมือง และสถานการณ์การเมืองก็มีผลโยงไปถึงทุกเรื่อง"
ขอตีความอีกที เป็นส่วนตัวว่า หลักการของพุทธศาสนาที่ว่านี้เห็นจะไม่ใช่ลดละเลิกกิเลสของมนุษย์แต่ละคน แต่เป็นการลดละเลิกทุกข์ที่เกิดขึ้นในสังคม ถ้าพบว่าทุกข์ที่ว่านั้นเกิดจากใครเป็นคนก่อ ก็ไปแก้ตรงใครคนนั้น ถ้าทุกข์ของชาวพม่าเกิดจากอังกฤษเข้ามาในพม่า ก็ไปแก้ที่ชาวอังกฤษในพม่า ให้ออกไปเสีย ถ้าคำตอบนี้ถูกต้อง ชาวบ้านพม่าก็มองว่าพระสงฆ์อย่างท่านโอตตะมะมาปัดเป่าบรรเทาทุกข์ให้พวกเขา เท่ากับท่านทำตามหน้าที่หลักของท่าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 292 เมื่อ 17 ม.ค. 13, 06:23
|
|
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนทางแก้ทุกข์ให้สังฆสาวกแบบนี้
ถ้าพระคิดว่ามีหน้าที่แก้ปัญหาทางการเมืองโดยลงไปเล่นกับการเมืองเสียเอง นอกจากจะแก้ทุกข์ให้ใครไม่ได้แล้ว ตัวเองก็จะยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีก ลงนรกตั้งแต่ยังไม่มรณภาพ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 293 เมื่อ 17 ม.ค. 13, 12:42
|
|
เรื่องขบวนการสงฆ์กู้ชาติมีอะไรมันๆให้บรรยายได้อีกมาก จึงขอยกตัวอย่างพระสงฆ์ในขบวนการกู้ชาติพม่าอีกสัก 2-3 รูปนะคะ เพื่อให้เห็นภาพรวมว่ามิได้มีแต่พระอาจารย์โอตตะมะเท่านั้นที่ลงจากธรรมาสน์ เข้าสู่สนามรบอย่างเปิดเผย แต่ยังมีพระอาจารย์รูปอื่นๆอีกหลายรูป ที่ลงลุยในสมรภูมิอย่างอาจหาญไม่น้อยไปกว่ากัน จนเรียกได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาในยุคนั้น พระสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่เป็นหัวหน้าขบวนการกู้ชาติ เป็นหลวงพ่อระดับเจ้าอาวาส ประวัติศาสตร์พม่าเรียกว่าหลวงพ่อมยันซอง(Mayanchaung) ไม่ใช่ชื่อแต่เป็นตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมยันซอง ตัวท่านเป็นพระพม่าเชื้อสายไทยใหญ่ คงเป็นพระสงฆ์ดังที่ชาวไทยใหญ่และพม่านับถือกันมาก จึงมีคอนเนคชั่นที่ใกล้ชิดกับราชบัลลังก์ ถึงขั้นก่อนสงคราม ท่านได้รับพระราชโองการจากพระเจ้าสีป่อให้ซ่องสุมผู้คนไว้สู้กับอังกฤษที่จะยกทัพมารุกราน บารมีท่านก็กว้างขวางเสียด้วย เห็นได้จากสามารถขอความร่วมมือจากหลวงพ่อดังๆอีก 3 วัดคือเจ้าอาวาสวัดจอกกาลัต เจ้าอาวาสวัดเปกการเลต และเจ้าอาวาสวัดชเวเล รวบรวมชาวบ้านพม่าเชื้อสายไทยใหญ่ขึ้นมาเป็นกองกำลังใหญ่ในพม่าตอนใต้ได้สำเร็จ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 294 เมื่อ 17 ม.ค. 13, 12:48
|
|
อ่านมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าในสังคมพม่า สัมพันธภาพระหว่าง "วัด" กับ "วัง" น่าจะมากกว่าสังคมไทย คือช่วยเหลือเกื้อกูลกันหลายด้าน ยามศึกก็รบ ยามสงบก็ทะนุบำรุงศาสนา วัดจึงกลายเป็นกำลังเสริมความมั่นคงของราชอาณาจักรด้วย ไม่ใช่พาคนไปสู่สวรรค์นิพพานกันด้านเดียว ถ้าเป็นอย่างนี้ พระสงฆ์ก็คือผู้ที่ชุมชนพึ่งพาได้ทุกด้านไม่เฉพาะทางใจ ดังนั้น พระสงฆ์พม่าลุกขึ้นมาบัญชาการรบในยามบ้านเมืองคับขันก็เลยเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีชาวบ้านคนไหนไปตั้งปุจฉาว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ เผลอๆอาจเป็นได้ว่าพระพม่าที่ไม่ยุ่งกับทางโลก อาจจะไม่ได้รับศรัทธาเท่าพระพม่าที่พาชาวบ้านไปรบเสียด้วยซ้ำ กลับมาเรื่องรบอีกครั้งค่ะ ยังไม่ทันที่หลวงพ่อมยันซองจะทันยกทัพชาวบ้านที่เตรียมไว้เข้ามาช่วยพระเจ้าสีป่อ มัณฑะเลย์ก็แตกเสียก่อน แต่กองทัพที่หลวงพ่อตั้งเอาไว้ไม่ได้สลายตัวไปอยู่ดี ตรงกันข้าม หลวงพ่อกลับลงมือเล่นงานพม่าอย่างไม่รั้งรอให้เสียเวลา เริ่มต้นด้วยแค่เวลาสองสัปดาห์หลังอังกฤษยึดมัณฑะเลย์ สงครามสงฆ์ที่นำโดยหลวงพ่อเปกกาเลตก็บุกเข้ายึดเมือง 3 เมืองพร้อมกันคือเมืองวินบาดอว์ สิตตังและการาเว แบบสายฟ้าแลบ
การรบครั้งนี้ดุเดือดเอาการ ทหารอังกฤษที่ไม่ทันตั้งตัว แทบจะหนีญะญ่ายพ่ายจะแจ เห็นได้จากหนังสือที่ส่งไปขอระดมพลจากส่วนกลางให้มาช่วย เนื้อความในนั้นอาจทำให้คนไทยอ่านแล้วกลืนน้ำลายดังเอื๊อกว่าขนาดนั้นเชียวหรือ คือ
" หลวงพ่อเปกกาเลตเป็นผู้นำชาวไทยใหญ่ประมาณ 300 คนบุกเข้ายึดเมือง เผาและปล้นสะดม 3 เมือง คือวินบาดอว์ สิตตัง การาเว ลำดับต่อไปน่าจะเป็นเมืองชเวจิน ขอให้ส่งกำลังมาช่วยด่วน"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 295 เมื่อ 17 ม.ค. 13, 13:27
|
|
หลวงพ่อเปกกาเลตเป็นแม่ทัพคนหนึ่งของหลวงพ่อมยันชอง เมื่อมาถึงยุทธวิธีรบของหลวงพ่อมยันชองเอง ก็ต้องถือว่ารบแบบมีชั้นมีเชิง คือแยกย้ายกำลังกันออกเป็นหลายสาย สายหนึ่งเข้าตัดสายโทรเลขเพื่อจตัดกำลังกองทหารอังกฤษมิให้ส่งข่าวไปขอความช่วยเหลือจากเมืองหลวงได้ สายที่เหลือก็แยกย้ายกันเข้าตีหลายเมืองพร้อมกัน
วิธีตี ก็คือยกทัพแห่กันเข้าไปทั้งผ้าเหลืองให้ชาวเมืองเห็น เกณฑ์เสบียงอาหารและเงินทองจากชาวบ้าน เวลาเข้าก็เคลื่อนขบวนราวกับขบวนแห่งานวัด ตีฆ้องกลองดังสนั่น ดิฉันเข้าใจว่าน่าจะเป็นวิธีแสดงอย่างเปิดเผยให้ทหารพม่าและชาวบ้านในเมืองรู้ว่านี่คือพระนำทัพเข้ามา ใครจะยิงท่านได้ลงคอก็ให้รู้ไป
กำลังของหลวงพ่อมยันชองไม่มากพอจะยึดเมืองไว้ได้ จึงใช้วิธีโจมตีแล้วถอยหนีออกไปก่อนทหารอังกฤษจะตีแตกพ่าย จากนั้นก็กลับเข้ามาอีก พร้อมด้วยสมัครพรรคพวกที่เพิ่มเข้ามาสมทบ โจมตีแล้วถอย โจมตีแล้วถอยอยู่อย่างนี้ สามวันสามคืน ล่อให้กระสุนฝ่ายอังกฤษหมด นายชอว์ข้าหลวงเมืองจายก์โตที่เจอไม้นี้เข้าต้องเผ่นหนีออกจากเมืองเอาชีวิตรอดไป ทางการตั้งค่าหัวหลวงพ่อมยันชองถึง 2000 รูปี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 296 เมื่อ 17 ม.ค. 13, 13:43
|
|
หลวงพ่อมยันซองทำศึกแบบใช้ทั้งไม้นวมและไม้แข็ง ไม้นวมคือท่านมีพระราชโองการพระเจ้าสีป่อติดตัวไปด้วย ไปถึงเมืองไหนก็ประกาศให้ชาวบ้านเข้าร่วมมือกับทัพของท่าน ไม้แข็งคือสำทับต่อว่าถ้าหมู่บ้านไหนไม่ร่วมมือก็จะเผาและปล้นทรัพย์สินไป ถ้าเจอคลังอาวุธในเมืองก็เข้าปล้นแล้วยึดอาวุธไปเพิ่มพูนเขี้ยวเล็บให้กองกำลังของท่าน นอกจากนี้หลวงพ่อยังตัดสายโทรเลขและทำลายประตูน้ำ บั่นทอนกำลังของอังกฤษ และตัดหนทางไม่ให้ขอกำลังมาสมทบจากย่างกุ้งได้ด้วย
อังกฤษทุ่มกำลังจากพม่าเหนือ ทั้งคนทั้งอาวุธเข้าปราบปรามขบวนการกู้ชาติของหลวงพ่อมยินชอง ในฐานะที่เป็นเสี้ยนหนามชิ้นใหญ่ ในตอนแรกก็ไม่ได้ผล เพราะเมื่ออังกฤษบุกมาถึงเมืองมยินชองแหล่งเดิมของหลวงพ่อ พบว่ากลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว ชาวบ้านอพยพไปหมด พร้อมกับทำลายสิ่งก่อสร้างเสียไม่มีเหลือ มิให้อังกฤษใช้ประโยชน์ได้ อีกด้านหนึ่ง หลวงพ่อก็ดำเนินการจิตวิทยาต่อต้านควบคู่ไปกับการรบ คือปล่อยข่าวว่าอังกฤษแพ้แล้วที่มัณฑะเลย์ ส่วนพระเจ้าสีป่อก็ไม่ได้ถูกเนรเทศ แต่ถูกทหารอังกฤษจับตัวไปแค่เมืองย่างกุ้ง จนชาวบ้านแถวนั้นพากันเชื่อ พากันเข้ามาสมทบกับหลวงพ่อ เข้าร่วมรบเพื่อกษัตริย์พม่าอันเป็นสถาบันที่พวกเขาจงรักภักดีมาก่อน
อย่างไรก็ตาม อังกฤษก็กวาดล้างอย่างหนัก ถึงกับขอกำลังพลเพิ่มจากอินเดียมาสมทบ กำลังฝ่ายหลวงพ่อซึ่งขาดแคลนทั้งอาวุธและกำลังคนที่ตายลงไปเรื่อยๆจากการปะทะแต่ละครั้งก็เริ่มอ่อนแอลง หลวงพ่อต้องหลบอยู่ตามเทือกเขาเมืองตองอู จนถูกจับได้ในที่สุด วาระสุดท้ายของหลวงพ่อมยันชอง ก็คือถูกตัดสินอย่างอาชญากร คือประหารชีวิตด้วยการแขวนคอประจานหน้าสถานีตำรวจเมืองจายก์โต ที่หลวงพ่อเคยได้รับชัยชนะจนข้าหลวงฝรั่งต้องหนีแจ้นเอาชีวิตรอดมาแล้ว หลวงพ่อต้องพลีชีวิตเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 1886 ในฐานะดาค้อยท์ในสายตาอังกฤษ และวีรบุรุษในสายตาประชาชนพม่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 297 เมื่อ 17 ม.ค. 13, 14:47
|
|
กืนเนื้อที่ฝ่าย"ภาพ" ด้วยการเอาภาพประกอบมาดูกันบ้าง
รูปนี้คืออาวุธของดาค้อยท์พม่าที่อังกฤษยึดได้ เห็นแล้ว อยากจะถามว่าเป็นอาวุธร่วมสมัยกับอยุธยาตอนปลาย สมัยอลองพญารึเปล่าเนี่ย หรือว่าจะถอยหลังไปถึงสมัยบุเรงนอง
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 298 เมื่อ 17 ม.ค. 13, 14:50
|
|
ทหารอังกฤษกับซีปอยปราบดาค้อยท์ รูปล่าง ทหารฝรั่งสะพายกระสุนกันเป็นตับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 299 เมื่อ 17 ม.ค. 13, 15:31
|
|
ยังสงสัยอยู่อีกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยฝีมือการรบของขบวนการสงฆ์พม่า
ถ้าพูดเรื่องการศึกษา พระพม่าก็คงเช่นเดียวกับพระไทยคือได้เล่าเรียนเขียนอ่าน เพราะต้องศึกษาพระไตรปิฎก ดังนั้นหลวงพ่อมยันชองมีพระราชโองการพระเจ้าสีป่ออยู่ในมือก็ไม่แปลก จะอ่านเองลอกเองก็สะดวกง่ายดายอยู่แล้ว แต่ด้านการรบล่ะ?
กองทัพของพระอาจารย์/หลวงพ่อเหล่านี้มีพระสงฆ์ลูกวัดเป็นทหารในกองทัพด้วยอย่างไม่มีข้อสงสัย เป็นไปไม่ได้ที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสแต่ละวัดจะทิ้งวัดออกรบอยู่รูปเดียว ส่วนพระลูกวัดอื่นๆก็ทำวัตรเช้าวัตรเย็นกันในวัดไปตามปกติ ในยามศึก หลวงพ่อวัดไหนลงมือรวบรวมไพร่พล พระลูกวัดทั้งวัดก็ต้องเข้าไปสมทบเป็นพลทหารหรือนายสิบอยู่ด้วย คำถามคือพวกนี้เรียนการต่อสู้มาจากไหน ยังไงก็ต้องมีพื้นฐานบ้างไม่มากก็น้อย เพราะจะให้เรียนพระปริยัติอย่างเดียว ไม่เคยแตะอะไรอีก เห็นทีว่าใจคงไม่ถึง จนกล้าออกสนามรบ
ดิฉันก็เลยคิดว่าในวัด น่าจะมีวิชาต่างๆที่สอนรวมทั้งศิลปะการป้องกันตัวด้วย หรืออย่างน้อย..เอ้า....ศิลปะมวย หรือกระบี่กระบอง ให้เณรออกกำลังกายกัน อาจจะเพิ่มเติมถึงขั้นเพลงอาวุธ ทำนองเดียวกับมหาเถรกุโสดอที่เป็นอาจารย์ของจะเด็ด และมังตรา ถ่ายทอดศิลปวิทยาการให้ลูกศิษย์ นึกเลยไปถึงหลวงจีนวัดเส้าหลินเสียแล้ว เลยขอหยุดตรงนี้ดีกว่าค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|