ที่ตำบลมัณฑเลนั้นมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง พระเจ้ามินดุงทรงพระสุบินแลเห็นภูเขามัณฑเลอันแปลว่ากองมณีนั้นอยู่บ่อย ๆ เมื่อทรงแก้พระสุบินให้อำมาตย์ราชเสวกและโหรพราหมณ์ได้ฟังต่างก็ทำนายทายทักว่าเป็นศุภนิมิต ควรที่จะได้สร้างราชธานีขึ้นใหม่ในระหว่างภูเขาลูกนั้นกับแม่น้ำอิรวดี แล้วขนานชื่อเมืองเป็นมงคลนามว่าพระนครมัณฑเล แต่พระนครนั้นต้องไม่อยู่ชิดริมน้ำอิรวดี ให้ตั้งให้ห่างพอสมควร ทั้งนี้ก็ต้องกับพระราชประสงค์ของพระเจ้ามินดุง เพราะเมืองอมรปุระนั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำ มีเรือกลไฟจักรข้างของบริษัทฝรั่งที่ย่างกุ้งชื่อบริษัทเดินเรืออิรวดี (The Irrawaddy Flotilla Company) เดินขึ้นล่องอยู่บ่อย ๆ หวูดเรือกลไฟนั้นระคายเคืองพระกรรณนัก ไม่มีทางที่จะสงบได้ทั้งกลางคืนและกลางวัน นอกจากจะหนวกหูแล้วก็ยังคอยเตือนให้ระลึกถึงอำนาจของฝรั่งในพม่าภาคใต้อีกด้วย...
การย้ายราชธานีนั้นมิใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะจะต้องสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่มัณฑเลให้ใหญ่พอที่จะรับเอารั้ววัง วัดวาอารามขุนนาง ทั้งทหารและไพร่พลตลอดจนราษฎรอีก ๑๕๐,๐๐๐ คนจากกรุงอมรปุระเข้าไว้ให้ได้ทั้งหมด เคราะห์ดีที่ที่ตั้งเมืองใหม่นั้นไม่ไกลจากกรุงอมรปุระนัก ห่างกันไม่กี่กิโลเมตร มิฉะนั้นจะต้องหมดเปลืองแรงทรัพย์แรงคนและชึวิตคนอีกมาก
ราชธานีใหม่นั้นสร้างขึ้นตามแผนผังราชธานีซึ่งใช้กันมาแต่ดั้งเดิม ไม่ชั่วแต่ในพม่า แต่ในประเทศอื่น ๆ อีกมาก ตั้งแต่มอสโคว ปักกิ่ง ลงมาจนถึงกรุงเทพฯ ศูนย์แห่งราชธานีคือพระราชวังซึ่งมีกำแพงล้อมให้เป็นเมืองอันมีปราการ ภายในเมืองรอบพระราชวังนั้นก็เป็นวังเจ้า และบ้านขุนนาง ตลอดจนวัดวาอารามต่าง ๆ แล้วจึงถึงกำแพงเมืองซึ่งมีคูล้อมรอบ
เมืองมัณฑเลเป็นรูปสี่เหลี่ยม จึงมีกำแพงสี่ด้าน กำแพงแต่ละด้านมีประตูเมืองสามประตู รวมเป็นสิบสองประตูด้วยกัน ที่เสาประตูเมืองและตามที่สำคัญอื่น ๆ นั้น ต้องฝังอาถรรพ์ และอาถรรพ์นั้นก็คือคนเป็น ๆ
เมื่อพระเจ้ามินดุงสร้างเมืองมัณฑเลนั้น ต้องเอาคนเป็น ๆ มาฝังถืง ๕๒ คน ฝังตามประตูเมืองประตูละ ๓ คน ๑๒ ประตููู ก็เป็น ๓๖ คน ตามมุมเมืองอีกมุมละคน ประตูพระราชวังและสี่มุมกำแพงพระราชวังก็ต้องฝังคนอีก และเฉพาะใต้พระที่นั่งสิงหาสน์อันเป็นพระที่นั่งในท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกขุนนางนั้น ต้องฝังถึง ๔ คน
กรุงมัณฑเลนั้นสร้างทีหลังกรุงเทพฯหลายสิบปี แต่เมื่อสร้างกรุงเทพฯนั้น ประเพณีฝังคนได้เลิกไปแล้ว ในที่ก็เห็นจะต้องจารึกไว้เป็นเกียรติคุณของพระสงฆ์พม่าว่า พอมีข่าวว่าโหรพราหมณ์กราบบัีงคมทูลพระเจ้ามินดุง ให้เอาคนเป็น ๆ มาฝังตามไสยศาสตร์ พระสงฆ์พม่าได้เข้าไปถวายพระพร ขอบิณฑบาตชีวิตมนุษย์เหล่านั้นไว้ แต่พระเจ้ามินดุงก็ไม่อาจขัดโหรพราหมณ์ได้
คนที่ถูกฝังทั้งเป็นเพื่อให้เป็นผีคอยรักษาเมืองและพระราชวังนั้นต้องเลือกให้ได้ลักษณะตามที่โหรพราหมณ์กำหนด ไม่ใช้คนโทษที่ต้องโทษประหาร แต่เป็นคนที่อยู่ในวัยต่าง ๆ กัน ตั้งแต่ผู้มีอายุไปจนถึงเด็กๆ มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทุกคนต้องมีฐานะดีเป็นที่ยกย่องในกลุ่มชน ต้องเป็นคนที่เกิดตามวันที่โหรกำหนด ถ้าเป็นเด็กผู้ชายต้องเป็นเด็กที่ยังไม่มีรอยสักตามตัว ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องยังไม่เจาะหู ทหารมีหน้าที่จับคนเหล่านี้มาให้ได้จนครบ
พอมีข่าวออกไปว่าจะเอาคนมาฝังทั้งเป็น ผู้คนก็หลบไปจากเมืองมัณฑเลเกือบหมด ทางราชการสั่งให้มีละคร ให้คนดูทั้งกลางวันและกลางคืนหลายวัน แต่ก็ไม่มีใครมาดู ในที่สุดก็ต้องเที่ยวซอกซอนค้นเอาตัวมาได้จนครบ เมื่อได้ฤกษ์ก็เลี้ยงดูคนเหล่านั้นแล้วสั่งเสียให้คอยเฝ้าเมือง และรักษาพระราชวัง แล้วก็เอาลงหลุม เอาเสาประตูใส่หลุมตามลงไป ลูกเมียญาติพี่น้องซึ่งได้รับพระราชทานรางวัลก็คงจะรับไปอย่างไม่สบายใจนัก...
จาก "พม่าเสียเมือง" ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
