เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 13
  พิมพ์  
อ่าน: 83472 เก็บตกจากโต๊ะอาหาร
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 45  เมื่อ 04 ม.ค. 13, 19:28

บรรยากาศเหงาดีนะครับ   

แต่ผมกลับชอบ โดยเฉพาะการขับรถหรือเดินเดินย่ำไปในหิมะที่ตกใหม่ๆ ขาวโพลนไปหมด มันเหมือนกับเรากำลังเหยียบย่ำเข้าไปในพื้นที่ที่บริสุทธิ์ ที่ยังไม่มีผู้ใดเหยียบย่ำมาก่อน (จนเป็นสภาพเหมือนผ้าที่ยับยู่ยี่และมีสีดำสกปรก)    อาจจะเป็นความรู้สึกของผมเพียงคนเดียว และอาจจะติดมาจนเป็นความรู้สึกที่ฝังใจจากเมื่อครั้งยังทำงานในป่าดงพงไพร ซึ่งผมชอบที่จะเดินสำรวจไปในที่ๆไม่มีทางคนเดิน มีแต่จะเลือกเดินตามด่านสัตว์เข้าไปในป่าลึกๆ เย็นๆ เงียบสงบ ได้เห็นธรรมชาติที่ยังเป็นธรรมชาติของตัวมันเองจริงๆ  มันงามตามากกว่าแบบที่ถูกปรุงแต่งมากมายทีเดียวครับ

แปลกอยู่อีกอย่างหนึ่ง คือ ในหมู่คนที่นับถือศาสนาคริสเอง ในวันก่อนและหลังคริสมาสกลับเข้าไปเก็บตัวอยู่ในอาคารที่พัก พูดคุยสนทนาอยู่กับครอบครัว ญาติหรือเพื่อนสนิทอย่างมีความสุข  กลับตาลปัตรกันกับคนอื่นๆที่มิได้นับถือศาสนาคริส กลับมีการจัดงานนอกบ้าน มีการแต่งกายแบบซานตาครอส มีการออกไปกินตามร้านอาหารภัตตาคาร คือไม่อยู่บ้านนั่นเอง  จะเรียกว่า เห่อฝรั่ง ก็คงพอจะได้ 

ยังไม่เห็นอยู่ภาพหนึ่ง คือ วันคริสมาสในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอื่นๆ ซึ่งอยู่ทางซีกโลกด้านใต้  ซึ่งจะมีอากาศออกไปทางร้อน กลับทางกับในซีกโลกด้านเหนือที่ไปทางหนาวเย็น   ไม่เคยได้ไปอยู่คร่อมช่วงเวลาดังกล่าวสักครั้งเลยครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 46  เมื่อ 04 ม.ค. 13, 19:47

คนไทยฉลองคริสต์มาสกับปีใหม่ได้ครึกครื้นกว่าฝรั่งมากทีเดียวค่ะ   โดยเฉพาะฝรั่งในเมืองเล็ก เขาก็เก็บตัวกันเงียบๆอยู่ในบ้าน พร้อมหน้าลูกหลานที่ปีหนึ่งจะกลับมาเจอพ่อแม่แก่ๆกันสักครั้ง      ส่วนเรามักจะออกไปเค้าท์ดาวน์กันนอกบ้าน   เฮฮากว่ากันมาก 

นึกถึงอาหารปีใหม่   ก็ยังนึกไม่ออกว่ามีอะไรพิเศษ  ถ้าเป็นคริสต์มาสก็ต้องมีไก่งวงเป็นจานหลัก    ปีใหม่นี่นึกไม่ออก อาจจะแตกต่างกันไปบ้านใครบ้านมัน   เพราะคนอเมริกันมีเชื้อสายหลากหลาย ทั้งจากยุโรป อเมริกากลางและใต้ ตลอดจนเอเชีย    อาหารที่ทำกันกินก็ทำจากความเคยชินในประเพณีของบ้าน     

ถ้าเป็นบ้านนักเรียนไทย แน่นอนว่าทำอาหารไทยกินกันเป็นโอกาสพิเศษ    ขาดไม่ได้คือแกงเขียวหวาน  อย่างอื่นก็อาจจะเป็นต้มยำ   ผัดผัก  น้ำพริก
ผิดกับเวลาอยู่ในประเทศไทย  ก็จะจูงลูกหลานไปอุดหนุนแม็คบ้างเคเอฟซีบ้าง นี่ก็ถือเป็นโอกาสพิเศษเช่นกัน
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 47  เมื่อ 04 ม.ค. 13, 20:48

ผมคิดว่า อาหารปีใหม่ของฝรั่งจริงๆ คือ brunch ซึ่งเป็นเมนูเฉพาะตนตามความสามารถของแม่บ้านที่จะผันแปลงอาหารจาก left over  พวกอาหารหรือของที่เหลืออยู่ในตู้เย็นของงานเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา  ซึ่งเท่าที่สัมผัสมา ดูจะเป็นเมนูทำเป็น sandwich เป็นหลัก  กินกับโค๊ก กับน้ำส้ม หรือน้ำอัดลมอื่นๆ หรือกับน้ำโซดา 
 
อาการเมาค้างนี้ ฝรั่งมักจะแก้ด้วยการกินน้ำส้มหรือเครื่องดื่มที่อัดแกส แล้วตามด้วยกาแฟแก่ๆ   คนไทยเป็นจำนวนมากมักจะแก้ด้วยการถอนด้วยเหล้าหรือเบียร์ (คงจะเพื่อทำให้ติดลมต่อไปได้อีกวันหนึ่ง) หรือไม่ก็ขอกินน้ำมากๆแล้วนอนซมไปอีกค่อนวัน   และคนออสเตรเลียดูจะชอบแก้ด้วยการกินอาหารหนักๆในมื้อเช้า (ได้เห็นมาตลอดช่วงหลายเดือนที่ไปอบรมดูงาน)     
บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 48  เมื่อ 05 ม.ค. 13, 03:15

เข้ามาเล่าเรื่องคริสต์มาสแถวเมืองชนบทในอังกฤษครับ ทั้งคริสต์มาสคือวันที่ 25 และวันปีใหม่คือวันที่ 1 ก็ป็นวันหยุดทั้งคู่ แต่วันที่ 31 ทำงานกันปกติ
ปีนี้ทั่วประเทศอังกฤษยกเว้นแถวๆ ที่เป็นเทือกเขาสูงไม่มี White Christmas มีแต่ Wet Christmas แทนเพราะฝนตกทั่วประเทศ บางย่านน้ำท่วมสูงเลย อุณหภูมิก็ร้อนผิดปกติจากที่ช่วงนี้อยู่ที่แถว 0 องศา ปีนี้อยู่ที่ราว 7-10 องศา เป็นคริสต์มาสที่น่าเบื่อมากครับ


ที่อังกฤษนี่เค้าจะให้ความสำคัญกับคริสต์มาสมากกว่าวันปีใหม่ แทบทุกบ้านจะประดับบ้านมีต้นคริสต์มาสกันใหญ่บ้างเล็กบ้าง บ้างก็ประดับไฟกันสวยงาม  ใครมีการ์ดอวยพรที่ได้รับก็มักจะมาตั้งไว้ที่ขอบหน้าต่างโชว์ให้ผู้ผ่านไปผ่านมาเห็น  บรรยาการดูอบอุ่นดีมาก  วันที่ 25 นี่เป็นวันรวมญาติของฝรั่งจริงๆ เค้าจะไปรวมญาติกันอยู่ในบ้านไม่ไปไหน เพราะร้านรวงต่างๆ ก็ปิดหมดรวมถึงร้านอาหารด้วย  ถนนหนทางโล่งมาก ผมไปเดินออกกำลังกายแทบจะไม่เห็นรถวิ่งผ่านไปมาเลยแต่เห็นรถจอดตามหน้าบ้านต่างๆ แน่นไปหมด เพียงแต่ไม่เห็นผู้คนเลยตามถนนหนทาง


อาหารหลักๆ ที่เห็นเค้าเตรียมกันจะเป็นพวกไก่อบ เป็นไก่ตัวใหญ่ๆ เรียกว่าเตอร์กีย์กัน ดูน่ากินแต่รสชาติงั้นๆ ฝรั่งเค้ากินกันแบบมีแค่น้ำเกรวี่ราดมันก็เลยจืดๆ ซอสมะเขือเทศเค้าก็ไม่ใช้กัน ไม่มีน้ำจิ้มไก่เด็ดๆ แบบบ้านเรา  เหมือนในรูปดูดีแต่กินไม่หรอย  ผมไม่ชอบกินไก่ปีนี้ที่บ้านเลยอบเนื้อแทน



บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 49  เมื่อ 05 ม.ค. 13, 10:09

Turkey = ไก่งวง 
อ่านวรรณกรรมเยาวชนไปจากเมืองไทย   เรื่องไหนเรื่องนั้นพอมีฉากคริสต์มาส ต้องบรรยายถึงไก่งวงเป็นอาหารพิเศษประจำโต๊ะ   ไม่ว่าจะเป็นนิยายชุดบ้านเล็กหรือเรื่องอื่นๆ    ผู้เขียนบรรยายถึงความวิเศษเลิศเลอของไก่งวงเสียจนคนอ่านเคลิบเคลิ้ม อยากจะกินกะเขาบ้าง

วันหนึ่งเกิดมีโอกาสได้ไปฉลองคริสต์มาสจริงๆ  สมัยเป็นนักเรียน มหาวิทยาลัยจัดให้นักเรียนต่างชาติแต่ละคนมี host family ชาวอเมริกัน พาไปนั่นไปนี่รวมทั้งเชิญไปร่วมฉลองคริสต์มาสด้วย    ก็ตื่นเต้นดีใจ     ยิ่งได้ความมาว่าไก่งวงต้องอบตั้ง 4 ชั่วโมงกว่าจะเอาออกมากินได้   ก็ยิ่งระทึก ว่ามันทำลำบากลำบนขนาดนี้    ต้องเนื้ออร่อยสุดๆ
ที่ไหนได้  พอหั่นเอาเข้าปากจริงๆ...ว้า! สู้ไก่อบไม่ได้เลย  เนื้อหยาบกว่า  รสจืดๆด้วย อาจเป็นเพราะไก่งวงบ้านเขาไม่หมักกระเทียมพริกไทยผสมซอสแม็กกี้อย่างไก่อบที่คนไทยทำ   แต่ราดน้ำเกรวี่เค็มๆเลี่ยนๆ    มีเยลลี่หรือซอสแครนเบอรี่ตักใส่จานมาให้มีรสชาติอยู่ในปากอีกหน่อย  ไม่งั้นจะเป็นเนื้อที่จืดสนิท


บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 50  เมื่อ 05 ม.ค. 13, 19:42

ไก่งวงอบเป็นเรื่องที่กล่าวได้ว่าจะยากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย   เคยทำกินเองกับลูกหลานมาหลายครั้ง ก็เลยพอจะบอกได้ว่าเป็นเช่นนั้น 

เรื่องของเรื่องก็คือ
 -ต้องเสียเวลาอบนาน ในอัตราประมาณ 1 ชม.ต่อน้ำหนักไก่งวงประมาณ 1 กก.  ไก่งวงที่วางขายกันอยู่นั้นก็มักจะมีขนาดเริ่มต้นที่ประมาณ 2.5 กก. ก็หมายถึงต้องอบนานประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง  ซึ่งหมายถึงต้องเอาไก่ที่แช่แข็งนั้นมาวางทิ้งไว้ให้หายแข็งหายเย็นจนมีอุณหภูมเท่ากับอากาศปรกติ    และต้องไม่ลืมนึกถึงขนาดของเตาอบของเราด้วยว่า จะสามมารถอบไก่ได้ตัวใหญ่ขนาดใหน
 -การเลือกใส้ (filling หรือ stuff) ที่จะยัดเข้าไปในท้องไก่งวง  (เรื่องนี้ทำให้กระเป๋าเบาได้พอควร) ลองนึกดูนะครับ ท้องกลวงๆของไก่งวงจะต้องใช้ปริมาณของเครื่องยัดใส้มากเพียงใด  ก็บังเอิญบรรดาเครื่องยัดใส้ที่อร่อยๆนั้น ประกอบไปด้วยของที่มีราคาค่อนข้างสูงทั้งนั้น เช่น ลูกพรุน ลูก nuts ต่างๆ อาทิ ปิตาชิโอ วอลล์นัท (มันหัวเสือ) เฮเซลนัท อัลมอน เป็นต้น รวมทัั้้งถั่วต่างๆ   ใส่ของเหล่านี้มากไปก็ไม่อร่อย น้อยไปก็มีแต่ขนมปัง (ขนมปังฉีกเพื่อเพิ่มปริมาณ)   ของเหล่านี้ต้องเอามาผัดรวมกัน เริ่มต้นด้วยการผัดเครื่องใน (หัวใจ ตับ กึ๋น) ที่หั่นเป็นชิ้นลูกเต๋าเล็กๆ จากนั้นจึงใส่เครื่องต่างๆ ใส่ใบกระวาน (bay leave) แล้วปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย เติมน้ำสต๊อกหรือไวน์ให้มีความชุ่มชื้น ไม่ถึงแฉะ   ตรงนี้เราก็ทำให้รสเข้มข้นตามรสปากที่ชอบของเราได้    สูตรสำหรับส่วนยัดใส้นี้มีมากมาย แล้วแต่จะเลือกกันเอง
 -ก่อนจะยัดใส้ ก็ต้องเอาเกลือทาภายในช่องท้องให้ทั่ว ตั้งแต่พอตัวไก่เริ่มจะเย็นลง  ทาให้มากหน่อยก็จะดี  มันไปช่วยทำให้เนื้อหน้าอกที่ว่าจืดๆนั้นมีรสชาติขึ้นมาได้พออร่อยเลยทีเดียว จะเป็นเกลือผสมพริกไทยก็ได้  ข้อสำคัญ ควรจะจะต้องทาให้ทั่วทุกตำแหน่งที่มีช่องว่างระหว่างหนังกับเนื้อ เช่นบริเวณหนังหุ่มโคนคอ กระพุ้งก้นและโคนขาเป็นต้น   เมื่อทำการยัดใส้ก็ต้องยัดให้แน่นให้เต็มท้องจริงๆ แล้วเย็บปิด ส่วนบริเวณโคนคอก็ยัดได้เหมือนกัน
 -เสร็จแล้วก็เอาไก่เข้าเตาอบ  เอาวางหงานท้องขึ้นในถาดรองที่ยกขอบ ใส่น้ำในถาดขึ้นมาประมาณสัก 1 ซม.  เปิดเตาอบทั้งไฟบนและล่างให้ได้อุณหภูมิคงที่ แล้วเอาไก่งวงเข้าเตา ตัดอะลูมินัมฟอล์ยเป็นแผ่นขนาดปิดยาวตลอดหน้าอกและกว้างขนาดพอคลุมส่วนหน้าอกทั้งหมด วางปิดทับหน้าอกไว้เื่พื่อกันไม่ให้ใหม้เกรียม
 -เอาเนยมาละลายแล้วผสมกับ Port wine   เปิดเตาอบ เอาแปรงจุ้มทาให้ทั่วตัวไก่ทุกๆ 20 นาที   จนกระทั่งใกล้ครบเวลา จึึงเอาฟอล์ยออก เร่งไฟนิดหน่อยให้ส่วนหน้าอกเกรียมจนสวยงาม   เอาออกจากเตาก็พร้อมกินแล้วครับ   

ที่ว่าเนื้อมีรสจืดชืดนั้น แก้ได้จาการทาเกลือพริกไทยให้มากหน่อยในท้องไก่ก่อนยัดใส้  ส่วนน้ำเกรวี่ที่ราดเพื่อเป็นซ๊อสเหมือนน้ำจิ้มนั้น  ก็เอาน้ำมันที่มีอยู่ในถาดอบนั้นแล้วเอาน้ำที่เหลือจากการทาตัวไก่ระหว่างอบนั้นเทรวมลงไป เอามาตั้งไฟ ปรุงรสตามต้องการ เอาแป้งข้าวโพดผสมน้ำค่อยๆเทลงไปจนข้นเป็นเกรวี่ที่ต้องการ

เวลากิน พ่อบ้านจะต้องเป็นผู้หั่นเนื้อหน้าอกออกเป็นชิ้นบาง แจกให้สำหรับแต่ละคน แม่บ้านก็ช่วยควักใส้ใส่ในจานของแต่ละคน ที่เหลือก็ว่ากันตามสดวก จะใส่
แครนเบอรี่ซ๊อสก็ได้ ฯลฯ
 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 51  เมื่อ 05 ม.ค. 13, 19:58

การกินไก่งวงในวันสำคัญเช่นนี้ ดูจะเป็นประเพณีพื้นฐานของคนในอเมริกาที่ยึดเป็นหลักใหญ่ เหลือไม่มากนักสำหรับกลุ่มคนอังกฤษและฝรั่งเศส     ในเยอรมัน เมนูหลักเป็นพวกห่านป่าหรือเป็ดอบ บรรดาใส้กรอกหลากชนิด กับ sauerkraut    และในออสเตรีย เมนูหลักคือพวกปลาชุบแป้งทอดกับสลัด (สลัดแตงกวา สลัดมันฝรั่ง)   ที่อื่นๆไม่ทราบครับ     
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 52  เมื่อ 05 ม.ค. 13, 20:24

เอารูปไก่งวงยัดไส้ กับไก่งวงหั่นเป็นชิ้นพร้อมไส้  มาประกอบค่ะ
ไก่งวงฝรั่ง เขาปรุงรสจืดกว่าที่คุณตั้งทำ มากค่ะ


บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 53  เมื่อ 05 ม.ค. 13, 20:47

ขอบคุณสำหรับภาพครับ

จากภาพ จะเห็นร่องรอยของแผ่นฟอล์ยที่ปิดบริเวณหน้าอกไก่  แต่ลืมปิดที่ส่วนขาไก่ด้วย เลยเห็นรอยเกรียมมากไปหน่อย
   
หากหั่นเนื้อแบบไสลด์ตามยาวของหน้าอก จะดูน่ากินมากกว่านี้ใหมหนอ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 54  เมื่อ 05 ม.ค. 13, 22:17

จนปัญญาเรื่องอบไก่งวง ไม่เคยทำ  ได้แต่ฟังตาปริบๆ
มีอาหารอีกอย่างของชาวอเมริกันที่ทำกันในวันคริสต์มาส หากว่าไม่กินไก่งวง  เพราะกินกันไปแล้วตั้งแต่วันขอบคุณพระเจ้า   อาหารจานเด็ดอย่างที่สองคือเนื้ออบ roast beef

เนื้อวัวที่โคโลราโดอร่อยมาก  เป็นเนื้อสด นุ่ม  สันนอกสันในมีให้กินตามสบาย  เพราะรัฐนี้เป็นรัฐเกษตรกรรม  มีฟาร์มเลี้ยงวัวกันเยอะแยะ      เลี้ยงกันเป็นเมืองทีเดียวค่ะ  อาหารสำคัญๆของเขาจึงมีเนื้อวัวเป็นหลัก    ในฤดูร้อนก็มีเนื้อย่างบาบิคิวกันที่สนามหลังบ้าน   ในฤดูหนาวก็มีเนื้ออบก้อนใหญ่ๆ ประดับโต๊ะ

เนื้อวัวที่นั่นมักจะอบให้สุกเกรียมหน่อยๆข้างนอก   นุ่มข้างใน   เนื้อในนิยมให้ออกแดงๆ ไม่สุกเต็มที่  เพราะถ้าสุกแล้วมันจะเหนียว ไม่น่ากินค่ะ
   


บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 55  เมื่อ 05 ม.ค. 13, 22:52

beef roast นี่ทำไม่ยากเลยครับ  แค่ไปหาซื้อเนื้อมา ที่เมืองนอกเค้าจะมีขายส่วนใหญ่เรียกว่า top side เค้าจะมีเชือกมัดๆ ให้มันเป็นก้อนมาแล้ว
ได้เนื้อมาก็เอาเกลือ พริกไทย แล้วก็น้ำมันมะกอกทาให้ทั่ว นวดๆ หน่อย แต่ของผมจะสับกระเทียมละเอียดๆ ทาไปด้วยเพื่อเพิ่มความหอม
เอาหัวหอมใหญ่หั่นเป็นแว่นๆ วางรอไว้ในถาดอบ เอาเนื้อวางบนหอมใหญ่ หั่นมันฝรั่ง แครอท หอมใหญ่ เห็ด หรือผักอื่นๆ วางให้รอบตามอัธยาศัย
โรยเนยไปบนผักเล็กน้อย อาจจะเกลือด้วย พรมน้ำมันมะกอกลงไปด้วย
สุดท้ายโรยโรสแมรี่ จะสดจะแห้งก็ใช้ได้เหมือนกัน ที่เห็นเป็นใบเล็กๆ ในรูปนั่นแหละครับเพื่อเพิ่มความหอม


ทิ้งเนื้อไว้ให้หายเย็น ระหว่างนั้นก็เปิดเตาอบรอไว้ ตั้งอุณหภูมิที่ราวๆ 240 องศา พอร้อนได้ที่เอาเนื้อลงไปอบ อบซัก 15 - 20 นาทีจากนั้นลดอุณหภูมิเหลือราว 190 องศา อบต่ออีก 45 นาทีหรือมากกว่า แล้วแต่ขนาดของเนื้อ ถ้าใหญ่ก็อบนานหน่อย เล็กอบสั้นหน่อย แล้วปิดเตา เอาเนื้ออกมาตั้งข้างนอกพักให้หายร้อนซัก 20 นาทีก็กินได้แล้ว
ถ้าอบไม่นานมากมันฝรั่งกับแครอทจะยังกรุบๆ นิดๆ กินอร่อยมาก น้ำเกรวี่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเลย ซอสมะเขือเทศน่าจะถูกปากคนไทยมากกว่า กินแล้วประทับใจกว่าไก่งวงมากมาย


ภาพนี้ถ่ายเมื่อช่วงปีใหม่  ไม่มีภาพแบบหั่นเนื้อเป็นแผ่นๆ เพราะหลังถ่ายเสร็จก็ยุ่งกับการกินจนไม่มีแก่ใจถ่ายรูปแล้วครับ



บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 56  เมื่อ 06 ม.ค. 13, 22:11

คุณประกอบน่าจะทำอาหารเก่ง  ฟังคำบรรยายแล้วน้ำลายสอ       อย่างหนึ่งที่รู้สึกว่ากินเนื้ออบไก่งวงอบฝีมือฝรั่งไม่อร่อย  คือพวกเขาไม่ใช้กระเทียมกันนี่เองละค่ะ      
กลิ่นกระเทียมที่คนไทยน้ำลายหกกันนั้น ฝรั่งบอกว่าเหม็นตลบเหมือนเผาผี    นักเรียนไทยเจียวกระเทียมทีไร เพื่อนบ้านต้องมาทุบประตูเพราะกลิ่นลอยลมไปรบกวน จนเขาทนไม่ไหว   อีกอย่างคือกลิ่นน้ำปลา  ฝรั่งได้กลิ่นสดๆจากขวด แล้วคลื่นไส้จะอาเจียน  ต้องเหยาะลงในอาหารให้สุกก่อน ถึงจะหอม

มีของหวานอีกอย่างหนึ่งที่เขากินกันตอนคริสต์มาส คือคริสต์มาสพุดดิ้ง    นี่ก็เหมือนกัน อ่านหนังสือมามาก บรรยายความวิเศษของพุดดิ้งจนอยากจะกินขึ้นมาบ้าง   พอได้กินจริงๆก็งั้นๆละค่ะ     รสหวานๆคล้ายเค้กแต่เขาใส่ไส้เป็นพวกผลไม้แห้ง และเครื่องเทศหลายอย่างลงไป เช่นอบเชยและจันทร์เทศ      แถมด้วยบรั่นดี    ใครที่ชอบอย่างหลังนี้คงรู้สึกหอมอร่อย แต่ดิฉันไม่กินเหล้าก็เลยรู้สึกว่ารสมันแปลกๆ



บันทึกการเข้า
hobo
พาลี
****
ตอบ: 324


ความคิดเห็นที่ 57  เมื่อ 07 ม.ค. 13, 03:39

ขออนุญาตรายงานสถานการณ์ล่าสุดครับ เศรษฐกิจปีนี้แย่มากๆ มีคนเล่าให้ฟังว่าที่ร้านปกติขายไก่งวงปีละ 200 ตัว แต่ปีนี้ขายได้เพียง 20 ตัว แต่ที่ยังพอขายได้คือพวกแฮมครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 58  เมื่อ 07 ม.ค. 13, 10:28

เดาว่าคุณ hobo อยู่ในยุโรป   ในอเมริกาเศรษฐกิจก็ยังไม่กระเตื้องแม้ว่าโอบาม่าจะกลับมานั่งเก้าอี้รอบสองแล้วก็ตาม    ได้ข่าวว่ารัฐบาลสหรัฐจะพิมพ์ธนบัตรออกมาอัดฉีดตลาดไม่อั้นในปี 2013 นี้  เพื่อแก้เงินฝืด
เป็นอันว่าอีกไม่นาน  เอเชียคงจะมีดอลล่าร์ปลิวว่อน  จากฝืดเป็นเฟ้อทันตาเห็น     ไม่รู้ว่าต้มยำกุ้ง 2 จะตามมาอีกหรือเปล่านะคะ

เอาเถอะ Whatever will be, will be  อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด

กลับมาที่โต๊ะอาหารอีกครั้งนะคะ
นอกจากเตอร์กีย์ที่คุณประกอบกินในวันคริสต์มาสแล้ว  ยังมีสัตว์ปีกตัวโตอีกอย่างที่ขึ้นโต๊ะในวันนี้เหมือนกัน คือห่านอบ  ยัดไส้แบบเดียวกับไก่งวง    เท่าที่เปิดตำรา ไส้ห่านทำจากมันฝรั่งสับ หัวหอม  ผสมพืชสมุนไพรมีกลิ่นอย่างไธมส์และพาสลีย์ผักชีฝรั่ง

บางทีคุณตั้งอาจจะอธิบายได้ดีกว่านี้ค่ะ 

ในอังกฤษเมื่อปลายศตวรรษที่ 19  ห่านอบเป็นอาหารคริสต์มาสของคนจน  ส่วนคนรวยกินไก่งวง    ในอเมริกา ในปลายศตวรรษด้วยกัน   ห่านเป็นอาหารจานเด็ดของชาวบ้านในวันคริสต์มาสเช่นเดียวกับไก่งวง  ส่วนใหญ่ถ้าเป็นชาวนาก็เลี้ยงห่านและไก่งวงเอาไว้กินเอง 

ส่วนคนไทยไม่ค่อยจะยินดียินร้ายกับห่านอบนัก   เพราะเรามีห่านพะโล้ที่อร่อยกว่า ด้วยสูตรตามแบบจีนผสมไทยที่ตกทอดกันมาหลายชั่วคน       
ถ้าให้เลือกกินระหว่างห่านอบยัดไส้มันฝรั่ง   กับห่านพะโล้เนื้อนิ่มกับน้ำจิ้มรสเด็ดและข้าวสวยร้อนๆ  อย่างในภาพซ้ายขวาข้างล่างนี้...เฮ้อ...อย่าให้ตอบเลยว่าเลือกอย่างไหน


บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 59  เมื่อ 07 ม.ค. 13, 17:20

อาหารคาวของฝรั่งถ้าเทียบกับทางเอเชียแล้วรสชาติจะไม่ค่อยคุ้นลิ้นคนไทยนัก โดยส่วนตัวรู้สึกเหมือนว่าเค้าจะเน้นเรื่องกลิ่นมากกว่ารส  รสชาติจะไม่จัดจนถึงกับจืดๆ เลยโดยเฉพาะอาหารอังกฤษนี่เรียกได้ว่าไม่เด่นเลย  ส่วนนึงอาจจะเพราะฝรั่งเค้าคุ้นเคยรสชาติแบบนั้น


อย่าง fish and ship ที่นิยมกินกันในอังกฤษ ถ้าเป็นบ้านเราแป้งที่ใช้ชุบปลาเราคงผสมเกลือหรือปรุงรสให้มันเข้นข้นขึ้นอีกนิดเพราะปลามันก็จืดๆ แต่ที่นี่เค้าก็ใช้แป้งจืดๆ ทอดทั้งอย่างนั้น แล้วค่อยมาโรยเกลือป่นกับเวเนก้าน้ำส้มฝรั่งทีหลัง ทำให้คุมรสชาติไม่ค่อยได้ เพราะบางทีคนโรยเกลือหนักไปก็เค็ม น้อยไปก็จืด ไม่ก็ไปกระจุกเค็มเป็นหย่อมๆ แถมหนังปลาเค้าก็ไม่กินกัน ที่จริงถ้าทาเกลือที่ปลาหน่อยแล้วทอดทั้งหนังกินร้อนๆ อาจจะอร่อยกว่า


fish and ship หรืออาหารที่ซื้อกินตามร้านในอังกฤษมักจะมี ship หรือมันทอดให้ แถมให้ทีก็เยอะพูนจานเลย กินกันไม่ค่อยหมดทั้งไทยทั้งฝรั่ง แทบจะไม่เคยเห็นใครกินหมดเลย  เหลือทิ้งปีๆ หนึ่งไม่ใช่น้อยๆ เลย  เห็นแล้วเสียดายมาก  ใช่ว่าฝรั่งเองก็กินเรียบไม่มีเหลือทุกจานเสมอไป


บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 13
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.072 วินาที กับ 20 คำสั่ง