เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
...มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งให้กรมโยธาธิการ สร้างถนนขึ้นใหม่สายหนึ่งแทรกลงในระหว่างกลางแห่งถนนเจริญกรุงแลถนนสามเพ็ง ตั้งต้นแต่ป้อมมหาไชยตัดไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เข้าบรรจบถนนเจริญกรุง ตรงตะพานวัดสามจีน โดยยาว ๑๔๓๐ เมเตอ (หรือ ๓๕ เส้น ๑๕ วา) โดยกว้าง ๒๐ เมเตอ (หรือ ๑๐ วา) เปนทางรถกว้าง ๗ วา ทางคนเดินกว้างข้างละ ๖ ศอก พระราชทานชื่อว่า "ถนนเยาวราช"..
ข้อความข้างบนเป็นประกาศกรมโยธาธิการ เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ร.ศ. ๑๑๐ ลงพระนาม "นริศรานุวัตติวงษ์" เล่าถึงกำเนิดของถนนเยาวราช ในรัชกาลที่ ๕
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 01 ธ.ค. 12, 10:20
|
|
ถนนเยาวราชเป็นถนนหนึ่งใน ๑๘ สายที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ขณะดำรงพระอิสริยยศพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ เสนอให้สร้าง ถนนอื่นๆนอกจากนี้ก็เช่น ถนนจักรวรรดิ ถนนราชวงศ์ ถนนอนุวงศ์ ถนนเยาวราชเริ่มตั้งแต่คลองรอบกรุงตรงข้ามกับป้อมมหาไชยตัดลงไปทางทิศใต้บรรจบกับถนนราชวงศ์ซึ่งสร้างแยกจากถนนเจริญกรุงตรงไปฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา (ท่าราชวงศ์) สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์กราบบังคมทูลว่าจะสร้างถนนใน พ.ศ. ๒๔๓๔ โดยตั้งพระทัยจะให้ชื่อถนนว่า ถนนยุพราช แต่พระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อว่าถนนเยาวราช ในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๔ ได้มีพระบรมราชโองการให้ออกประกาศกรมโยธาธิการแจ้งให้ราษฎรทราบว่า การตัดถนนเยาวราชเนื่องจากมีพระราชประสงค์จะให้บ้านเมืองเจริญและเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไปเพื่อมิให้ราษฎรพากันตกใจขายที่ดินไปในราคาถูก เพราะเข้าใจว่าจะซื้อเป็นของหลวง หรือบางทีเข้าใจว่าการชิงขายเสียก่อน ถึงจะได้ราคาน้อยก็ยังดีกว่าจะสูญเปล่า และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ตึกที่ยื่นล้ำเข้ามาในแนวถนนไม่เกินกว่า ๑ วา ไม่ต้องรื้อถอนด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 01 ธ.ค. 12, 10:54
|
|
ขอมอบแผนที่แนวเส้นทางการวางผังถนนเยาวราชให้ชมกันครับ แนวทางเริ่มกรุยทางตั้งแต่ถนนมหาไชย สะพานหัน เรื่อยไปจนกระทั่งจรดถนนเจริญกรุง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 01 ธ.ค. 12, 11:06
|
|
ขอเจาะลึกต้นถนนเยาวราช บริเวณสะพานภาณุพันธ์ - ปัอมมหาไชย หน้าวังบุรพา
บริเวณนี้เลือกทำถนนเนื่องจากกระทบพื้นที่ประชาชนน้อยที่สุดครับ ตัวถนนกินพื้นที่คลอง ลำรางเก่ามาก และไปเบียดพื้นที่ของตลาดปีระกา ซึ่งเป็นที่ดินเดิมของราชสกุลยุคลครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 01 ธ.ค. 12, 14:25
|
|
ขอบคุณคุณหนุ่มสยาม เข้ามาแจมด้วยแผนที่อย่างเร็วไว ปานกามนิตหนุ่ม ค่ะ  ถนนเยาวราชเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๕ ก็จริง แต่ความเป็นมาของถนนย้อนกลับไปได้ถึงรัชกาลที่ื ๑ เริ่มเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงย้ายเมืองหลวงจากธนบุรีมาฝั่งตรงกันข้าม ที่ดินฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ได้เป็นที่ดินว่างเปล่า หากแต่มีการตั้งชุมชนอยู่ก่อนแล้ว ตอนนั้นคือชุมชนบ้านเรือนคนจีนที่มีหัวหน้าคือพระยาราชาเศรษฐี เมื่อจะทรงสร้างพระบรมมหาราชวังขึ้นใหม่ริมฝั่งแม่น้ำตรงที่เดียวกัน จึงโปรดเกล้าฯให้ชุมชนคนจีนย้ายบ้านเรือนไปอยู่ในที่ใหม่ ลึกเข้าไปห่างจากแม่น้ำเจ้าพระยา นอกเขตกำแพงพระราชวังไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ที่ใหม่ที่ว่านั้นเป็นที่สวน อยู่ตั้งแต่คลองวัดสามปลื้ม(วัดจักรวรรดิราชาวาส) ไปจนถึงคลองวัดสามเพ็ง(วัดปทุมคงคา)ชาวจีนอพยพไปอยู่ ในชื่อที่รู้จักกันว่า "สำเพ็ง" ต่อมาขยายตัวเป็นแหล่งชุมชนคนจีนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง และถือได้ว่าเป็นชุมชนคนจีนโพ้นทะเลที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ถือกำเนิดมาพร้อมกับกรุงเทพพระมหานครอมรรัตนโกสินทร์เมื่อพ.ศ. ๒๓๒๕
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 01 ธ.ค. 12, 21:32
|
|
เนื่องจากไทยมีนโยบายต้อนรับคนจีนโพ้นทะเลให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานทำมาหากินได้อย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์ คนจีนก็เลยอพยพเข้ามาไม่ขาดสาย ทำให้สำเพ็งกลายเป็นชุมชนคึกคักมาตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ เห็นได้จากนิราศเมืองแกลงของสุนทรภู่ ที่บรรยายบรรยากาศตอนดึกของกรุงเทพฯ ย่านอื่นๆ ชาวบ้านชาวช่องน่าจะนอนหลับกันหมดแล้ว แต่สำเพ็งก็ยังครึกครื้นมีชีวิตชีวาอยู่
ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ แพประจำจอดเรียงเคียงขนาน มีซุ้มซอกตรอกนางจ้างประจาน ยังสำราญร้องขับไม่หลับลง โอ้ธานีศรีอยุธยาเอ๋ย นึกจะเชยก็ได้ชมสมประสงค์ จะลำบากยากแค้นไปแดนดง เอาพุ่มพงเพิงเขาเป็นเหย้าเรือน
จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าทำไมชุมชนคนจีนจึงขยายตัวรวดเร็ว และไม่หยุดยั้ง แผ่ขยายจนล้นสถานที่ ออกพ้นวัดสามปลื้มขึ้นมาถึงคลองรอบกรุง ทางใต้ก็ขยายไปจนข้ามคลองวัดสำเพ็งลงไปทางบ้านญวนหรือบ้านองเชียงสือ ทางตะวันออก ขยายจากริมแม่น้ำไปตามแนวคลองวัดสามปลื้ม คลองโรงกะทะ และคลองวัดสำเพ็ง ผลก็คือ เกิดย่านการค้าใหม่ๆของคนจีนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เช่น ตลาดน้อย ตลาดวัดเกาะ ตลาดสำเพ็ง ตลาดเก่า และตลาดสะพานหัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 01 ธ.ค. 12, 21:34
|
|
สำเพ็งในอดีต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ลุงไก่
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 02 ธ.ค. 12, 07:48
|
|
สำเพ็งในอดีต
ภาพนี้คือสะพานหัน สมัยที่ยังเป็นสะพานเหล็ก เปิด-ปิด ได้ครับ .. เป็นทางผ่านออกจากกำแพงเมืองเข้าสู่สำเพ็ง ด้วยถนนหน้าวัดสามปลื้ม รูปยอดของประตู มีลักษณะเดียวกับประตูสามยอดครับ จำชื่อประตูนี้ไม่ได้ .. จำได้แต่ว่าประตูนี้ทะลายลงมาเองเนื่องจากเครื่องบนผุพังไป จึงมีพระราชดำรัสให้รื้อลงเสีย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 02 ธ.ค. 12, 09:35
|
|
ยินดีที่เห็นคุณลุงไก่เข้ามาร่วมวง เที่ยวถนนเยาวราชกันอีกคนหนึ่งค่ะ
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในรัชกาลที่ ๑-๓ คนกรุงเทพยังสัญจรกันทางน้ำ ไม่มีถนนบนบก จนถึงรัชกาลที่ ๔ ถึงมีการตัดถนนตามความประสงค์ของทูตานุทูตฝรั่งที่ต้องการนั่งรถม้าไปพักผ่อนหย่อนใจนอกบ้าน แต่ความที่สำเพ็งแออัดมาก และขยายตัวไปจนชาวจีนในชุมชนนี้มีจำนวนมากไม่ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำลำคลอง จึงมีการสร้างทางสัญจรทางบกขึ้นสายหนึ่งในรัชกาลที่ ๓ เป็นตรอกที่ตัดผ่านสำเพ็ง มีบ้านช่องร้านค้าชั้นเดียวของชาวจีนตั้งอยู่เรียงรายสองข้างทาง ตรอกนี้ในหนังสือไม่ได้บอกชื่อ เดาว่าเป็นตรอกสำเพ็ง แต่ถ้าไม่ใช่ ใครทราบกรุณาบอกด้วยนะคะ
ในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงเปิดโอกาสให้คนจีนอพยพกันเข้ามาระลอกใหญ่ เพื่อใช้แรงงาน และเป็นโอกาสให้ได้งานศิลปะจากจีนมาเสริมสร้างในวัดต่างๆที่ทรงทะนุบำรุงอยู่ด้วย จำนวนคนจีนไม่เคยลดน้อยลงนับจากนั้น ในรัชกาลที่ ๔ สนธิสัญญาเบาริงที่คนไทยรุ่นหลังมองว่าเป็นปัญหาใหญ่ทำให้ไทยเสียเปรียบทางสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ความจริงในสมัยที่ทำ ก่อให้เกิดผลดีทางการค้า เศรษฐกิจ และพ่วงมาด้วยแรงงานจีนที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างมหาศาล ผลพวงจากสนธิสัญญาเบาริงคือ เรือสินค้าจากต่างแดนก็เข้ามาค้าขายกับสยามอย่างเป็นล่ำเป็น สำเภาแบบโบราณที่อุ้ยอ้ายอาศัยแรงลม พัฒนาขึ้นมาเป็นเรือกำปั่นใบ และเรือกลไฟแบบตะวันตกที่ช่วยให้การเดินทางระหว่างเมืองท่าเป็นไปได้คล่องตัว ทำให้เกิดบริการเส้นทางเดินเรือขึ้นตามเมืองท่าต่างๆ โดยเฉพาะจากจีนมากรุงเทพ ตั้งแต่ปี ๒๔๒๕ ทำให้คนจีนอพยพกันเข้ามากันไม่หยุดยั้ง บัญชีสำมะโนครัวไทยเมื่อพ.ศ. ๒๔๕๒ แสดงยอดคนจีนในกรุงเทพว่ามีถึง ๑๘๘,๐๖๕ คน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 02 ธ.ค. 12, 20:19
|
|
ชาวจีนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเขตสัมพันธวงศ์นั้น ส่วนมากเป็นชาวจีนเชื้อสายแต้จิ๋วเป็นหลัก และมีชาวฮกเกี้ยน, กวางตุ้ง, ไหหลำ, แคะ เข้ามาอยู่จัดเป็นกลุ่ม ๆ ไปโดยมีศูนย์กลางคือ "ศาลเจ้า"
และที่น่าแปลกคือ ความผสมผสานกันลงตัวของจีน และ แขก ซึ่งริมท่าน้ำละแวกวัดเกาะ มีมัสยิดมุสลิมตั้งอยู่ในท่ามกลางชาวจีนได้อย่างลงตัว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 02 ธ.ค. 12, 20:30
|
|
ความผสานกันลงตัวอย่างคุณ siamese ว่า ทำให้ความเป็นอยู่ในชุมชนคึกคัก ยิ่งนานปีไปก็ยิ่งหนาแน่น ยิ่งหนาแน่นก็ยิ่งแออัดยัดเยียด ด้วยเหตุนี้ผลพลอยเสียของบ้านเรือนแออัดคือทำให้สำเพ็งเกิดไฟไหม้หลายครั้ง บ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหายกันครั้งละมากๆ ผู้คนก็โกลาหลอลหม่าน จนกลายเป็นสำนวนเปรียบเทียบความโกลาหลใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นว่า "เหมือนไฟไหม้สำเพ็ง" ความวุ่นวายของคนในชุมชนก็กลายเป็นสำนวนที่บางท่านอาจเคยได้ยิน คือ "เจ๊กตื่นไฟ"
ในพ.ศ. ๒๓๔๓ พงศาวดารบันทึกไฟไหม้ครั้งใหญ่ในสำเพ็งไว้ว่า "...เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่วัดสามปลื้ม ไหม้ตลอดลงไปถึงตลาดน้อยวัดสำเพ็ง" นับระยะทางแล้วยาวกว่าหนึ่งกิโลเมตร บ้านเรือนเสียหายมากแค่ไหนก็ลองนึกภาพดูเองนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 03 ธ.ค. 12, 09:33
|
|
พื้นที่ในกลุ่มสำเพ็ง - เยาวราช - วัดเกาะ ต่างประสพปัญหาเรื่องไฟไหม้ในหน้าประวัติศาสตร์มานานตั้งแต่ครั้งต้นกรุงรัชกาลที่ ๑ มาเลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 03 ธ.ค. 12, 10:03
|
|
ด้วยเหตุที่ว่ามานี้ เพื่อให้ชุมชนจีน "โปร่ง"ขึ้น มีทางเข้าออกสะดวกกว่าในอดีตที่มีบ้านเรือนเต็มแน่นไปทุกทิศทาง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าจึงทรงเห็นความจำเป็นในการตัดถนนเพิ่มขึ้นหลายสาย ต่อกับถนนที่มีอยู่แล้ว คือถนนทรงวาด ถนนทรงสวัสดิ์ ถนนอนุวงศ์ และถนนพาดสาย สิ่งที่โปรดเกล้าฯให้สร้างอีกอย่างคือตึกแถวริมถนน ให้คนจีนได้อยู่อาศัย ใช้เป็นที่ค้าขาย ผลที่ตามมาคือเศรษฐกิจก็ยิ่งเจริญขึ้น สำเพ็งกลายเป็นย่านการค้าใหญ่สุดในสมัยรัชกาลที่ ๕ จากนั้น การตัดถนนสายสำคัญที่เป็นชื่อของกระทู้นี้ ก็ตามมาในพ.ศง ๒๔๓๕
รูปข้างล่างนี้คือสำเพ็งในรัชกาลที่ ๕
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 03 ธ.ค. 12, 10:44
|
|
ขอแยกซอยหน่อยนะคะ เรื่องสำเพ็ง สำเพ็ง ยังเป็นถิ่นกำเนิดของลูกสาวชาวจีน ซึ่งต่อมาได้เข้าไปอยู่ในพระบรมมหาราชวัง และต่อมาได้เป็นฝ่ายใน คือเจ้าจอมสมบูรณ์ในรัชกาลที่ ๕ เจ้าจอมสมบูรณ์เป็นธิดาของนายซุ้ย และนางบุญมา ครอบครัวนี้ต่อมาใช้นามสกุลว่า "มันประเสริฐ" เพราะสืบเชื้อสายมาจากหมื่นประเสริฐ หรือ เจ้าสัวมัน นายอากรในรัชกาลที่ ๓ เจ้าจอมสมบูรณ์รับราชการฝ่ายในมาตลอดทั้งในพระบรมมหาราชวัง และในพระราชวังสวนดุสิต จนสิ้นรัชกาลที่ ๕ จึงกราบถวายบังคมทูลลาออกมาพักอยู่บ้านเดิมในสำเพ็ง แต่ยังคงถวายการรับใช้พระวิมาดาเธอกรมพระสุทธาสินีนาฎมาตลอด จนพระวิมาดาฯสิ้นพระชนม์ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๒
เจ้าจอมสมบูรณ์ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุด คือ ทุติยจุลจอมเกล้า ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ท่านอายุยืนยาวถึง ๘๒ ปีจึงถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ ด้วยโรคเบาหวาน
เสียดายไม่มีรูปของเจ้าจอมสมบูรณ์ ไม่ทราบว่าคุณ siamese หรือคุณ art47 มีไหมคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 03 ธ.ค. 12, 14:04
|
|
สำเพ็งในอดีต
ภาพถ่ายสะพานสำเพ็ง (สะพานหัน) และประตูเมืองนี้เป็นภาพที่ถ่ายโดยช่างภาพชาวต่างประเทศชื่อ เจ อันโตนิโอ ครับ มีสตูดิโอที่หัวมุมถนนตรอกชาเตอร์แบงก์ ปัจจุบันเป็นร้านขายเครื่องเขียน ใกล้โรงเรียนอัสสัมชัญบางรักครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|