เริ่ม มูลนาย vs ไพร่
ต่อมา มูลนาย = ผู้ดี ---> ผู้ดี vs ไพร่
บัดนี้ ผู้ดี vs ผู้เลว
ซ.ต.พ. ไพร่ = ผู้เลว

ผู้ดี = ผู้ดี
แต่ในเมื่อท่านเพ็ญชมพูบอกว่า
คนดีที่ไม่มีส่วนเลว และคนเลวที่ไม่มีส่วนดี มีแต่ในนิยายเท่านั้นดอก
แปลว่า ไพร่ก็มีส่วนเป็นผู้ดี ผู้ดีก็มีส่วนเป็นไพร่ ไม่ได้แบ่งเส้นขีดคั่นกันได้เด็ดขาดว่าอยู่กันคนละวัฒนธรรมอย่างในบทความดร.นิธิ ใช่ไหม
ตำตอบของท่านเจ้าเรือนทำให้ผมฉุกคิดอะไรได้บางประการ
ผมมีความรู้สึกว่า จะดีไม่น้อยถ้่าเราสามารถนำปัญหาทางสังคมมาพูดคุยมาถกเถียงโดยการใช้พจน์หรือสมการทางคณิตศาสตร์มาทำความเข้าใจไขปริศนา
ช่วงที่ผมเรียนเกี่ยวกับการปกครองที่สถาบันแห่งหนึ่ง (ขออนุญาตที่ไม่เอ่ยนามสถาบันเพราะแม้นว่าผมจะพูดในเรื่องที่ดีต่อสถาบัน แต่เมื่อยังไม่ได้รับอนุญาตเราก็ไม่ควรนำไปอ้าง เชื่อว่าคงต้องมีใน "สมบัติของผู้ดี"

) ผมศึกษาเรื่องรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยว่าในด้านฝ่ายนิติบัญญัตินั้นควรจะเป็นหนึ่งสภา(มีแต่สภาผู้แทนฯ) หรือสองสภา(มีวุฒิสภาด้วย) ซึ่งสุดท้ายแล้วผมก็สร้างสมการทางคณิตศาสตร์โดยมีตัวแปรอิสระคือ ขนาดประเทศ การเกิดใหม่ของประเทศ ความเป็นเผด็จการของฝ่ายบริหาร(คือรัฐบาล) และ จำนวนประชากร
ค่าของตัวแปรก็ใช้ข้อมูลจากประเทศทั่วโลก (177 ประเทศในขณะนั้น)
ผลของการคำนวณโดยสมการพบว่า ประเทศไทยควรเป็นระบบสองสภา
ในที่ประชุมนำเสนอผลงานไม่มีใครค้านแม้แต่คนเดียว แม้นว่าในห้องประชุมจะมี สส. ซึ่งมาจากพรรคการเมืองที่อยากให้มีสภาเดียว รวมทั้งนักวิชาการทั้งหลาย
มองเลยไป ผมมีความรู้สึกว่าที่เราวุ่นวายและสื่อสารกันไม่รู้ฟังเพราะเราใช้ภาษาเพราะพริ้ง (ทั้งภาษาการเมืองและภาษาการฑูต) ในการสื่อหรือให้เหตุผลในสิ่งที่ตนเองเชื่อและอยากให้เป็น ส่วนคนฟังก็ไม่รู้จะค้านอย่างไรเพราะฟังไม่รู้เรื่องแต่ไพเราะดีเพลินดี สุดท้ายประชาชนก็ตกเป็นเหยื่อและเป็นเบี้ยของนักการเมืิองอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้และจะเป็นตลอดไปเพราะคำสวยหรูเพราะภาษาสวยหรูเช่น "CHANGE" (ไม่ได้ว่า Obama นะครับ)
