เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 12163 ขอทราบความหมายของคำว่า "ลาว" หน่อยครับ (ไม่ใช่ประเทศ)
inteera
อสุรผัด
*
ตอบ: 14


 เมื่อ 06 พ.ย. 12, 18:49

ดิฉันได้อ่านหนังสือของ ดร.วินัย เรื่องคำไทยเก่า พอดีไปเจอสำนวนเก่าๆ สองคำ คือ

ลูกลาว แปลว่า ขี้ขอ มักได้
ลาวตาย แปลว่า เฉย นิ่งเงียบ ซื่อ ทื่อ

ซึ่งสองคำข้างต้นอาจจะใช้ในบริบททางลบ ไม่ค่อยดีนัก หากฉันมานั่งนึกเล่นๆ ว่า เอ..แล้วเพลงที่มีคำว่าลาวละ ลาวดวงเดือน ลาวดำเนินทราย เป็นต้น น่านะมีความหมายในทางดี (แม้เพลงจะเศร้าก็เถอะ)

มีท่านใดพอจะทราบความหมายของคำว่า ลาว ที่ไม่ได้แปลว่าประเทศลาวบ้างไหมคะ

ปล. หัวกระทู้คุณผู้ชายมาพิมพ์ไว้ ดิฉันมาต่อจึงไม่ทันเห็น ลืมแก้เป็น คะ  อายจัง
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 06 พ.ย. 12, 19:06

จิตร ภูมิศักดิ์เขียนเกี่ยวกับเรื่องของ ลาว ไว้ในหนังสือ "ความเป็นมาของคำสยาม, ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ"  ดังนี้

ตำนานสิงหนวัติกุมาร ยังมีเล่าไว้ในตอนต้น ว่าเมื่อสิงหนวัติกุมารอพยพไทเมืองมาสร้างนครโยนก ณ บริเวณลุ่มแม่น้ำกกและแม่สายในต้นพุทธกาลนั้น ชาวพื้นเมืองที่นั่นเป็นชาวป่าเรียกว่าพวกมิลักกยู หรือ มิลักขุ (ละว้า) คนพวกนี้อยู่ภายใต้การปกครองของหัวหน้า ซึ่งยกย่องกันเป็นปู่เจ้า เรียกชื่อว่า ปู่เจ้าลาวจก สาเหตุที่จะเรียกว่า ลาวจก นั้นก็เพราะปู่เจ้าผู้นี้มี่ "จก" มากกว่า ๕๐๐ เล่ม ให้พวกชาวป่าชาวดอยเช่าไปทำไร่. จก ในภาษาลาว และไทยพายัพแปลว่า จอบ.

ปู่เจ้าลาวจกนั้นเป็นลาว คือชนชาติไตตระกูลหนึ่ง ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากไตสาขาอายหลาว. เราเรียกจีนคนขายกาแฟว่า เจ๊กกาแฟ ฉันใด, พวกละว้าพื้นเมืองก็เรียก ลาว คนเป็นเจ้าของ จก (จอบ) ว่า ลาวจก ฉันนั้น.

คำว่า "ลาว นั้น Princeton S. Hsu (Origin of the Chuang People, op. cit. p. 6) ค้นพบการใช้ในภาษาจ้วง และภาษาพื้นเมืองในมณฑลกวางตุ้งและกวางซี แปลว่า คน แต่ตามที่ข้าพเจ้าสังเกต รู้สึกว่าจะไม่ได้แปลว่า คน เฉย ๆ ในความหมายที่แยกจากสัตว์. หากมีความหมายถึง อารยชน หรือ ชนผู้เป็นนาย นั่นคือเป็นทำนองเดียวกับที่ชนชาติ อารยัน เรียกตนเองเพื่อแสดงว่าตนเป็น อารยะ. ข้อสังเกตนี้ได้มาจากการพิจารณานามกษัตริย์ของอาณาจักรเงินยางซึ่งในยุคแรกเริ่ม นับแต่ พ.ศ. ๑๑๘๑ ลงมา เรียกชื่อกษัตริย์โดยมีคำว่า ลาว นำหน้าทุกองค์ เริ่มแต่ ลาวจก, ลาวเค้าแก้ว, ลาวเลา, ลาวต้น เรื่อยลงมา มีทั้งหมดกว่า ๓๐ ลาว ยุคหลังจึงเปลี่ยนมาใช้ ขุน นำหน้านามกษัตริย์.

 ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 06 พ.ย. 12, 19:08

จิตร ภูมิศักดิ์ เขียนถึงปรากฎการณ์การดูถูกไทยล้านนาของคนไทยภาคกลาง ในสมัยต้นรัชกาลที่ ๕ ขึ้นไป ต่อไปอีกว่า

ประวัติศาสตร์ของไทยล้านนานับตั้งแต่ต้นสมัยรัชกาลที่ ๕ ขึ้นไป เป็นประวัติศาสตร์ของการเป็นเมืองขึ้นของไทยภาคกลางและพม่าสับเปลี่ยนกันหลายร้อยปี. ก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ ขึ้นไป ล้านนาเป็นประเทศราชของกรุงรัตนโกสินทร์ มีเจ้าครองรัฐอยู่หลายนครรัฐ โดยมีเชียงใหม่เป็นรัฐประธานของสหพันธนครรัฐพี่น้อง. ยุคนั้นชาวกรุงเทพมหานครถือชาวล้านนาเป็นเมืองขึ้น เป็นประชาชนชั้นสอง มักเรียกขานอย่างดูถูกเหยียดหยามว่าเป็น "ลาว" เป็นพวก "นุ่งผ้าซิ่น กินกิ้งกือ" หรืออย่างในเสภาขุนช้างขุนแผน ตอนนางวันทองหึงนางลาวทองซึ่งมาจากเมืองเหนือ มีคำด่าเปรียบเปรยนางลาวทองว่า

"ทุดอีลาวดอนค่อนเจราจา
อีกินกิ้งก่ากบจะตบมัน"

(พระราชนิพนธ์รัชกาลที่๒)

นอกนั้นยังมีการแสดงหรือถ้อยคำที่ดูดถูกเหยียดหยามอีกร้อยสีร้อยอย่าง, ล้วนแล้วแต่สร้างความปวดร้าวเสียดแทงใจให้แก่ชาวไทยล้านนาทั้งสิ้น. ปรากฎการณ์เช่นว่านี้ ยิ่งในวงสังคมชั้นสูงแล้ว ยิ่งเป็นไปอย่างรุนแรงมาก.

พระราชชายาเจ้าดารารัสมี, เจ้าหญิงในราชตระกูลเชียงใหม่ซึ่งต้องลงมารับราชการเป็นพระราชชายาของรัชกาลที่ ๕ อยู่ ณ กรุงเทพฯ เป็นตัวอย่างของผู้ได้รับความขมขื่นจากการเหยียดหยามนี้เป็นอย่างดี.

"บางทีพระองค์ทรงได้ยินเสียงตะโกนลั่นผ่านหน้าห้องบรรทมว่า "เหม็นปลาร้า" บ่อยครั้งที่พระกระยาหารบรรจุวางบนถาดเงินก็ถูกกีดกันมิให้ผ่านเข้าออกทวาร ยิ่งกว่านั้นเครื่องเพชรอันหาค่าบ่มิได้ของในหลวงก็มาปรากฎวางทิ้งอยู่ในพระตำหนักของพระราชชายา ผู้ที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์ก็พลอยถูกจงเกลียดจงชัง มีคนเอาปลาทูใส่กะลามะพร้าวไปวางไว้บนสำรับกับข้าว....."

(ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง, เพ็ชรลานนา, เชียงใหม่ ๒๕๐๗, น. ๒๖-๗.)

 ขยิบตา
บันทึกการเข้า
inteera
อสุรผัด
*
ตอบ: 14


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 06 พ.ย. 12, 19:16

ขอบน้ำใจ คุณ เพ็ญชมพู คะ
เรื่องนี้ดิฉันก็เพิ่งทราบ ฉันหลงคิดไปเองว่า การดูถูกชาวลาวเพิ่งมาเกิดขึ้นไม่กี่สิบปีหลังมานี้ แท้แล้วมันมีมาก่อนหน้า
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 06 พ.ย. 12, 22:22

พระยาอมรฤทธิธำรง อดีตข้าหลวงประจำจังหวัดเชียงใหม่ได้กล่าวไว้ในเอกสารจดหมายเหตุฉบับหนึ่งว่า คำว่า "ลาว" นั้นเป็นคำดูหมิ่น
มีที่มาจากเมื่อครั้งพม่ายกทัพมาตีล้านนาในสมัยราชวงศ์มังรายและ กรุงศรีสัตนาคนหุตในแผ่นดินพระไชยเชษฐาธิราช  แล้วทั้งเชียงใหม่
และล้านช้างร่มขาวต่างก็ยอมแพ้แก่พม่าโดยไม่คิดสู้รบ  นับแต่นั้นมาชาวกรุงศรีอยุธยาจึงดูแคลนชาวล้านนาและชาวล้านช้างซึ่งชาว
กรุงศรีอยุธยาเรียกรวมกันว่า "ลาว" ว่าเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 07 พ.ย. 12, 09:27

จำได้ว่าการนุ่งผ้าก็มีการหมิ่นอยู่นัยที "นุ่งซิ่น ฟันขาว เป็นลาวไม่สวย" เนื่องจากชาวไทยนุ่งผ้าโจงกระเบน ห่มสไบ กินหมาก
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 07 พ.ย. 12, 12:35

คำว่า "ลาว" นั้นเป็นคำดูหมิ่นมีที่มาจากเมื่อครั้งพม่ายกทัพมาตีล้านนาในสมัยราชวงศ์มังรายและ กรุงศรีสัตนาคนหุตในแผ่นดินพระไชยเชษฐาธิราช  แล้วทั้งเชียงใหม่และล้านช้างร่มขาวต่างก็ยอมแพ้แก่พม่าโดยไม่คิดสู้รบ

สืบความจาก คุณวิกกี้ ได้ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง

พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงเป็นวีรกษัตริย์พระองค์สำคัญในประวัติศาสตร์ลาว  

ใน พ.ศ. ๒๑๐๓ พระองค์โปรดให้ย้ายราชธานีจากหลวงพระบางมาอยู่ที่เวียงจันทน์เพื่อหลีกเลี่ยงอำนาจของบุเรงนองแห่งหงสาวดี และพระราชทานนามราชธานีแห่งใหม่นี้ว่า "พระนครจันทบุรีศรีสัตนาคนหุตอุตตมราชธานี" ทั้งยังทรงสร้างสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยาเพื่อเป็นกำลังในการต่อต้านพม่าซึ่งเป็นศัตรูร่วมกัน

ในปี พ.ศ. ๒๑๐๗ ทัพพม่าได้ติดตามจับกุมขุนนางล้านนาเชียงใหม่มาถึงเวียงจันทน์ และสามารถตีกรุงเวียงจันทน์ได้ในขณะที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชมิได้ประทับอยู่ในพระนคร พร้อมทั้งกวาดต้อนชาวเมืองและเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงกลับไปยังพม่าเป็นจำนวนมาก รวมถึงพระมหาอุปราชวรวังโส พระราชอนุชาของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช แล้วจึงถอยทัพกลับไป พระองค์ทรงคุมแค้นฝ่ายหงสาวดีอยู่มาก เมื่อฝ่ายอยุธยาขอความช่วยเหลือให้ช่วยรบพม่าในช่วงปี พ.ศ. ๒๑๑๐ – ๒๑๑๒ พระองค์จึงทรงส่งกองทัพไปช่วยเหลืออยุธยาแต่ไม่สำเร็จเนื่องจากถูกฝ่ายพม่าและพระมหาธรรมราชาเมืองพิษณุโลกซ้อนกลจนแตกพ่าย หลังอาณาจักรหงสาวดีพิชิตกรุงศรีอยุธยาได้แล้วพระเจ้าบุเรงนองจึงทรงส่งกองทัพมาปราบปรามล้านช้างแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากพระเจ้าไชยเชษฐาได้ทรงนำกองทัพและชาวเมืองหลบภัยในป่าและคอยลอบโจมตีกองทัพพม่าอยู่เนือง ๆ จนกองทัพพม่าต้องถอนกำลังกลับไป

 ยิงฟันยิ้ม

บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 08 พ.ย. 12, 16:57

ประกาศห้ามมิให้แอ่วลาว ในรัชกาลที่ ๔

 ขยิบตา




บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 08 พ.ย. 12, 17:05

 ขยิบตา


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 12 พ.ย. 12, 08:48

        วันนี้ ๑๒ พ.ย. ๒๕๕๕ คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ เขียนเรื่อง

                 หลงความเป็นไทย ลืมความเป็นลาว

ลงนสพ. มติชนรายวัน

อ่านได้ที่นี่ ครับ    http://www.sujitwongthes.com/2012/11/siam12112555/#more-14477

          ... ลาวเป็นกระแสหลักของความเป็นไทย(บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ผู้มีอำนาจไทย
ใช้แทนคนไทยทั่วประเทศ)

          เพราะมีหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีว่าบรรพชนลาว(ที่จะเป็นบรรพชนไทย)เคลื่อนย้าย
จากลุ่มน้ำโขง ลงตามเส้นทางการค้าภายใน มาอยู่ปะปนกับกลุ่มชนมอญ-เขมรบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา
ตอนล่าง แล้วรับวัฒนธรรมมอญ-เขมร เลยเกิดสำนึกใหม่เรียกตัวเองด้วยชื่อใหม่ว่าไทย แล้วทิ้งความเป็นลาว

          ลาว แปลว่า คน แต่ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป หากหมายถึงคนผู้เป็นนาย, ผู้มีอำนาจ, ผู้เป็นใหญ่
แล้วในที่สุดก็เป็นคำนำหน้านามกษัตริย์และผู้ที่เคารพ

          ต่อมามีคำอื่นมาใช้เรียกนำหน้านามกษัตริย์แทนคำว่าลาว เช่น ขุน, ท้าว, พญา, ฯลฯ นับแต่นั้น
คำว่าลาวจึงค่อยๆเสียความหมายอันสูงสุดไป แล้วเลื่อนต่ำลงเป็นคำสรรพนามที่หมายถึง ท่าน

          ลาว มีตำนานกำเนิดจากน้ำเต้าปุง ร่วมกับคนอื่นๆ รวม 5 พวก แล้วแยกย้ายกระจัดกระจายไป
อยู่ตามที่ต่างๆ โดยยังเป็นเครือญาติกันทั้งมวล

          คำว่าลาว เคยใช้เป็นคำนำหน้านามกษัตริย์ เริ่มจากลาวจก มีในลำดับกษัตริย์วงศ์หิรัญนครเงินยาง
สืบถึงพญามังราย เชียงใหม่ เช่น (ปู่เจ้า) ลาวจก, ลาวเก๊าแก้ว, ฯลฯ จนถึงลาวมิง, ลาวเมือง, ลาวเมง

          ลูกลาวเมง คือพญามังราย ที่สร้างเมืองเชียงใหม่
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 12 พ.ย. 12, 08:50

        คนยุคอยุธยารู้จักพวกลาวในอีก 2 ชื่อ ว่าไทยใหญ่กับไทยน้อย แล้วบอกยืนยันว่า
ตัวเองเป็นไทยน้อย ก็คือลาว

          ไทยน้อย เป็นชื่อที่คนในอยุธยา ราวเรือน พ.ศ. 2000 ผูกขึ้นเรียกพวกลาวพุงขาว หรือ
ชาติพันธุ์ในวัฒนธรรมลาวบริเวณสองฝั่งโขง ทั้งฝั่งขวา (คือบริเวณอีสานในประเทศไทยทุกวันนี้) และ
ฝั่งซ้าย (คือดินแดนลาวปัจจุบัน) ต่อเนื่องไปทางทิศตะวันออกถึงกลุ่มชาติพันธุ์พูดตระกูลไทย-ลาว
ลุ่มน้ำดำ-แดง (ในเวียดนาม), กวางสี-กวางตุ้ง (ในจีน)

         ลาวสองฝั่งโขง ถูกเรียกสมัยหลังว่า ลาวพุงขาว เพราะไม่สักลายตามตัวเหมือนพวกไทยใหญ่
คนพวกนี้ออกเสียงตรงตามรูปอักษร คือ ท เป็น ท และ พ เป็น พ

          ไทยใหญ่ เป็นชื่อที่คนในอยุธยา ราวเรือน พ.ศ. 2000 ผูกขึ้นเรียกพวกลาวพุงดำ บริเวณลุ่มน้ำ
สาละวินตอนเหนือ (ในพม่า) ต่อเนื่องถึงลุ่มน้ำพรหมบุตร (ในอัสสัมของอินเดีย)

         ลาวลุ่มน้ำสาละวิน ถูกเรียกสมัยหลังว่า ลาวพุงดำ เพราะสักลายด้วยหมึกสีคล้ำตามตัวตั้งแต่บั้นเอว
ลงไปถึงแข้ง (ขา) คนพวกนี้ออกเสียง ท เป็น ต และ พ เป็น ป

          ไทยใหญ่ยังถูกเรียกจากชาติพันธุ์อื่นๆอย่างดูถูกเหยียดหยามเป็นสัตว์เลื้อยคลานว่า เงี้ยว แปลว่า งู
(เหมือนคำว่า เงือก, งึม)
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 12 พ.ย. 12, 08:52

          ไทย, คนไทย, ความเป็นไทย, และลักษณะไทย แรกมีขึ้นราวหลัง พ.ศ. 1700
พร้อมกับวิวัฒนาการอักษรไทย บริเวณที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยาภาคกลางแถบอโยธยา-ละโว้-สุพรรณภูมิ
โดยพวกลาวที่เคลื่อนย้ายลงมาอยู่กับมอญและเขมร รับวัฒนธรรมมอญ-เขมร แล้วเรียกตัวเอง
ด้วยคำใหม่ว่า ไทย

          แต่ที่เรียกตนเองว่าไทย เพิ่งพบหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรเก่าสุด อยู่ในวรรณคดียุคต้นอยุธยา
เรื่องสมุทรโฆษคำฉันท์ หลัง พ.ศ. 2000

          นับแต่นั้นก็หลงความเป็นไทย ลืมความเป็นลาว สืบจนบัดนี้
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.073 วินาที กับ 19 คำสั่ง