เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 150 เมื่อ 23 พ.ย. 12, 08:51
|
|
ชาวบ้านคงหมายถึงว่า ห้ามเก็บเบอรี่ป่ามากินกันสดๆ เพราะมันอาจปนเปื้อนสารพิษจากสัตว์ แต่ถ้าล้างให้สะอาดก่อนกินก็ไม่เป็นไร เบอรี่ที่เป็นไม้เลื้อยติดดินอาจติดฉี่จากสัตว์ได้ แต่ถ้ามันอยู่ในที่สูง เป็นไม้ยืนต้น หรือเลื้อยขึ้นไปสูงๆ คงจะปลอดภัยจากเชื้อโรค Spirochaete มั้งคะ นักเดินป่าอย่างคุณตั้งคงอธิบายได้เรื่องผลไม้มีพิษไม่มีพิษพวกนี้
สนใจมะไข่ปูที่คุณ hobo เอ่ยถึง เลยไปหารูปมาดู แต่ยังดูไม่ออกว่าเป็นสตรอเบอรี่ป่าหรือเปล่าค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 151 เมื่อ 23 พ.ย. 12, 09:23
|
|
สนใจมะไข่ปูที่คุณ hobo เอ่ยถึง เลยไปหารูปมาดู แต่ยังดูไม่ออกว่าเป็นสตรอเบอรี่ป่าหรือเปล่าค่ะ
มะไข่ปู Rubus alceifolius อยู่ในสกุลเดียวกับ ราสเบอร์รีของยุโรป Rubus idaeus 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 152 เมื่อ 23 พ.ย. 12, 10:34
|
|
หยิบเอาสตอเบอรี่ขาว ๆ ให้ชิมกันครับ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 153 เมื่อ 23 พ.ย. 12, 11:08
|
|
ตอนเดินป่าที่ฝรั่งเศส-สวิสผมเจอพวกเบอรี่นี่แหละเห็นว่ากินได้เลยเก็บมา ฝรั่งเจ้าถิ่นบอกว่ากินไม่ได้ ก็เถียงไปว่ากินได้สิเคยกินมาแล้ว ฝรั่งจึงเฉลยว่าที่กินไม่ได้เพราะเคยเกิดเหตุหมูป่หรือกวางมาฉี่ไว้ กินเข้าไปติดเชื้อพวก Spirochaete ได้ เขาห้ามกันมานานนม ชาวบ้านรู้กันดี แถวนั้นอาจเคยมีการระบาดของโรค leptospirosis หรือที่คนไทยรู้จักในนาม โรคฉี่หนู 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
hobo
|
ความคิดเห็นที่ 154 เมื่อ 23 พ.ย. 12, 12:59
|
|
ขอบคุณมากครับ ตอนนั้นไม่ได้นึกถึง Leptospirochete เลย ไม่น่าเชื่อว่า host ของมันจะมีมากมายขนาดนี้ มัวแต่ติดใจว่าทำไมหมูป่าหรือกวางป่ามันไม่กินแทน ต้นมะไข่ปูที่ผมเจอนั้นอยู่แถวใกล้ยอดดอยอินทนนท์ เลยสถานีของโทรศัพท์ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นหอดูดาวไปแล้ว เดินอีกนิดเดียวก็ถึงอ่างกาแล้วครับ ที่จำได้เพราะต้องฝ่าดงมันเข้าไปเก็บตัวอย่าง ได้เลือดมาไม่น้อย ต้นมันสูงท่วมหัวครับ รสชาติก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ตื่นเต้นที่ได้กินมากกว่า เหมือนเด็กๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
hobo
|
ความคิดเห็นที่ 155 เมื่อ 24 พ.ย. 12, 16:46
|
|
เอารูปมาเพิ่มครับ สวยดี สีแดงสด ลบได้นะครับถ้าเข้าซอยลึกไปหน่อย จากทุ่งหญ้าเพอรี่ของเอมริกามาโผล่ที่ยอดดอยอินทนนท์คงไม่เรียกว่าเข้าซอยแล้วละครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 156 เมื่อ 24 พ.ย. 12, 18:11
|
|
ไม่ละค่ะ แยกซอยจากทุ่งแพร์รี่มาดอยอินทนนน์ได้ตามสบาย หรือจะแยกไปธิเบต อินเดียว อลาสกา ก็ไม่ว่า จะได้ไม่จำเจอยู่กับอาหารในหนังสือเรื่องเดียว ดูรูปข้างล่างที่คุณ hobo เอามา เหมือนรัสเบอรี่จริงด้วย
พูดเรื่องผลไม้ในบ้านเล็กทำให้นึกได้ว่ามีอีกอย่าง ที่ฝรั่งสมัยปลายศตวรรษที่ 19 เชื่อว่าไม่ควรกิน จะทำให้เป็นไข้ นั่นคือ... แตงโม ประหลาดไหมล่ะคะ แม่ของลอร่าไม่ยอมให้ลูกกินแตงโม เพราะคนเพิ่งหายไข้กินแล้วไข้จะกลับมาอีก เกิดจากความเชื่อว่าแตงโมเกิดจากอากาศเย็นชื้นในเวลากลางคืน เมื่อกินเข้าไป จะเป็นไข้ได้ง่าย ลอร่าเล่าถึงแตงโมเอาไว้ในหนังสือตอน Little House on the Prairie เมื่อพ่อแม่อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในรัฐแคนซัส วันหนึ่งพ่อเอาแตงโมเข้ามาในบ้าน ในเรื่องไม่มีตอนไหนที่บอกว่าปลูกผักสวนครัว ก็แสดงว่าเป็นแตงโมป่า ขึ้นเองตามธรรมชาติ อย่างในรูปข้างล่างนี้ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 157 เมื่อ 24 พ.ย. 12, 18:23
|
|
หยิบเอาสตอเบอรี่ขาว ๆ ให้ชิมกันครับ  อยากรู้จริงๆว่ารสมันเหมือนชนิดสีแดงไหมคะ จะบอกวิธีกินสตรอเบอรี่อร่อยๆิให้ครับ เมื่อหาซื้อสรอเบอรี่มาได้แล้ว ล้างทำความสะอาดแล้ว วิธีหนึ่งเป็นการกินของคนญี่ปุ่น คือ จิ้มกับนมข้นหวานกระป๋อง สำหรับวิธีของผมนั้น เสียเงินมากนิดนึง ผ่าสตรอเบอรี่ออกเป็นสองส่วน ใส่ถาดหรือใส่ถ้วยแยกพร้อมเสิร์ฟ เอาเหล้า (Liquor) Cointreau เหยาะลงไป (เหมือนเทน้ำปลาใส่ยำ) เคล้าให้ทั่ว แล้วใส่ตู้เย็นไว้ให้เย็นพอประมาณ ที่เหลือก็เพียงยกออกมาเสิร์ฟ ผลสตรอเบอรี่ที่ออกรสจืดๆ ที่ออกรสไม่หวานฉ่ำ ที่กลิ่นไม่ค่อยหอม จะถูกขจัดออกไปหมด ให้มีแต่กลิ่นที่หอม รสที่หวาน เท่านั้น รับประกันความอร่อยครับ
หากจะให้วิลิสมาลาเพิ่มขึ้น ก็ผันไปเป็นเครื่องดื่มชูความสดชื่น ก็เอาสตรอเบอรี่นั้นใส่แก้วไวน์ไประมาณหนึ่งในสามของแก้ว เอาไวน์ขาวประเภทออกรสหวานหน่อยที่แช่ได้เย็นค่อนข้างมาก ใส่ลงไปให้ท่วม ประมาณสามในสี่ของแก้ว ลองดูครับ
วิธีทำสตรอเบอรี่ของคุณตั้ง อร่อยแบบผู้ใหญ่กิน แต่ถ้าทำให้ลูกหลานอายุไม่กี่ขวบกิน มีวิธีง่ายๆ คือผ่าสตรอเบอรี่ออกมาเป็น 2 ส่วนหรือ 4 ส่วนก็ได้ ใส่ชาม เอาน้ำตาลทรายขาวผสมเกลือนิดหน่อยให้รสแหลมจัดขึ้น แล้วโรยลงในชามสตรอเบอรี่ คลุกให้ทั่ว เสร็จแล้วเอาใส่ตู้เย็นไว้ ถ้าอยากให้เย็นเร็วก็ใส่ช่องฟรีซไว้จนเย็นจัด น้ำในผลไม้จะซึมออกมาจากผล ละลายเข้ากับน้ำตาลเป็นน้ำเชื่อมอ่อนๆรสสตรอเบอรี่หวานฉ่ำ กินทั้งเย็นจัดๆยังงั้นละค่ะ ชื่นใจดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 158 เมื่อ 24 พ.ย. 12, 18:30
|
|
ถ้าพ่อแม่ของลอร่ามาเห็นแตงโมเหลี่ยม น่าจะชอบ ว่ามนุษย์ช่างหาหนทางพัฒนาได้เก่ง ง่ายดายสะดวกต่อการขนส่งกว่าเก่ามาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 159 เมื่อ 25 พ.ย. 12, 19:17
|
|
ตอนนี้ขอกลับไปหาของกินในนิยาย คั่นเวลาไปพลางๆก่อนค่ะ เผื่อท่านทั้งหลายนึกถึงของกินอะไรทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ จะได้เข้ามาแจมแบบแยกซอยกันออกไป
เมื่อลอร่าเริ่มโตเป็นสาว เพื่อนผู้ชายในโรงเรียนเดียวกันจัดงานปาร์ตี้วันเกิด เชิญเพื่อนชายหญิงไปร่วมงานเพื่อกระชับมิตร ผู้เขียนบรรยายอาหารที่จัดเลี้ยงไว้ว่ามีอะไรบ้าง The oyster soup alone was treat enough to make a party, and to go with it Mrs. Woodworth passed a bowl of tiny, round oyster crackers. When the last drop of that delicious soup had been spooned up and swallowed, she took away the soup plates, and she set onthe table a platter heaped with potato patties. The small, flat cakes of mashed potatoes were fried a golden brown. She brought then a platter full of hot,creamy, brown codfish balls, and then a plate of tiny,hot biscuits. She passed butter in a round glass butter dish. สรุปว่า อย่างแรกมีซุปหอยนางรม ซึ่งคงเป็นซุปที่โก้เก๋ทันสมัยของชาวบ้านในยุคนั้น กินกับขนมปังแครกเกอร์รูปหอยชิ้นเล็กๆ อย่างที่สอง คือ potato patties อาหารชนิดนี้ต้องอธิบายกันยาวหน่อยค่ะ เพราะบ้านเราไม่มี หน้าตาคล้ายๆทอดมัน แต่ส่วนประกอบไม่เหมือน กล่าวคือมันทำจากมันฝรั่งบดละเอียด แล้วปั้นเป็นก้อนแบนๆ ทอดจนเหลืองอร่าม บางคนอาจจะใส่ผักหั่นละเอียดลงไปด้วย แต่ในเรื่องนี้เห็นทีจะเป็นมันฝรั่งบดปั้นเป็นก้อนทอดเฉยๆ ไม่ใส่อะไรลงไปในนั้น ของกินที่ปั้นเป็นก้อนเรียกว่า cake แต่ว่ากินเป็นของคาว ไม่ใช่ขนมเค้กที่กินเป็นของหวาน
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 160 เมื่อ 25 พ.ย. 12, 19:28
|
|
She brought then a platter full of hot,creamy, brown codfish balls, and then a plate of tiny,hot biscuits. She passed butter in a round glass butter dish.
ค้อดฟิชบอลล์ ทำจากเนื้อปลาค้อดผสมกับมันฝรั่งบดละเอียด ปรุงรสด้วยเนย เกลือและพริกไทย แล้วปั้นเป็นก้อน ก่อนทอดก็ชุบลงในไข่ผสมนมเสียก่อน แล้วทอดในกระทะโดยใช้เนยแทนไขมันหมู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 161 เมื่อ 25 พ.ย. 12, 22:24
|
|
and then a plate of tiny,hot biscuits. She passed butter in a round glass butter dish.
ของกินในงานปาร์ตี้อีกอย่างหนึ่งคือขนมปังบิสกิ้ต แทนที่จะเป็นขนมปังแผ่นเปล่าๆ แสดงว่าเทียบกันแล้วบิสกิ้ตน่าจะเป็นอาหารมีหน้ามีตากว่าขนมปังแผ่น กินกับน้ำผึ้ง หรือแยม หรือเนย ในที่นี้กินกับเนย เหมือนขนมปังทาเนยทั่วไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 162 เมื่อ 26 พ.ย. 12, 18:51
|
|
ผลไม้ที่ได้ชื่อว่าหากินได้ยากในท้องถิ่นชนบทของอเมริกาในสมัยโน้น จนกลายเป็นของมีราคา คือส้ม ส้มจึงถูกนำไปเป็นอาหารพิเศษในงานวันเกิด และทำรูปแบบเอาไว้สวยงามพิสดาร ด้วยการกรีดเปลือกออกมาให้เหมือนดอกไม้ วางประดับไว้ข้างจานอาหาร ส้มที่ว่านี้ เปลือกสีแดงปนทอง ไม่เขียวอย่างส้มเขียวหวาน แต่กลีบข้างในก็เหมือนส้มเขียวหวานนี่เอง ลอร่าไม่ได้อธิบายว่าเป็นส้มพันธุ์อะไร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 163 เมื่อ 26 พ.ย. 12, 18:53
|
|
ส้มเป็นผลไม้พิเศษ ใช้กินกับเค้กวันเกิด ในเรื่องอธิบายสั้นๆว่า a white-frosted birthday cake คือเป็นเค้กที่ฉาบหน้าด้วยครีมหรือน้ำตาลไอซิ่งสีขาว ในเมื่อเป็นเมืองชนบทก็คงทำแค่นั้น ไม่ได้ตกแต่งหน้าเค้กให้หรูหรามากไปกว่านี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 164 เมื่อ 27 พ.ย. 12, 19:36
|
|
ในนิยายตอนนี้เล่าถึงงานเลี้ยงอาหารครั้งใหญ่ ที่เรียกว่า New England Supper ที่จัดกันในวัน Thanksgiving Day หรือวันขอบคุณพระเจ้า วันสำคัญวันนี้มีกันแต่เฉพาะในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา แม้ว่าแต่เดิมมาเกี่ยวกับคริสต์ศาสนา แต่ในเมื่อมันไปเกี่ยวกับประวัติการอพยพมาตั้งถิ่นฐานในอเมริกาเหนือโดยเฉพาะ ของพวกพิลกริมที่เดินทางมากับเรือเมย์ฟลาวเออร์ ก็เลยไม่มีการฉลองวันนี้ในยุโรป วันนี้เรียกว่าเป็นวันกระชับมิตรของฝรั่งกับชาวอินเดียนแดงเจ้าถิ่นก็ว่าได้ วันขอบคุณพระเจ้า ตรงกับวันพฤหัสบดีที่สี่ของเดือนพฤศจิกายน ส่วนประเทศแคนาดา ตรงกับวันจันทร์ที่สองของเดือนตุลาคม ค่ะ
อาหารที่นิยมกินกันในวันนี้คือไก่งวงอบยัดไส้ (Roast turkey with stuffing) รองลงมาคือ สควอช ขนมปังข้าวโพด(Corn bread) และซอสแครนเบอร์รี่ (Cranberry sauce) และพายฟักทอง (Pumpkin pie)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|