เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3]
  พิมพ์  
อ่าน: 16997 ขอถามว่าจังหวัดทั้งหลายที่มีชื่อแปลว่าทองคำ จริงๆแล้วมีทองคำหรือเปล่าครับ
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 10 ต.ค. 12, 15:44

^
ก็เป็นโชคดีของชาวบ้านนั้นๆจริงๆครับ
 
ทำให้ผมได้เห็นภาพว่า ผืนดินตรงบริเวณนั้นจะต้องมีระดับการชำระล้างทำลายหน้าดินที่สูงมากเอาการเลยทีเดียว     

ในบริเวณพื้นที่ๆเกิดหินอัคนีแทรกตัวขึ้นมา ในระยะสุดท้ายของการแทรกตัวมักจะเป็นน้ำแร่ร้อนและกาซที่คงเหลือมาจากการตกผลึกเป็นแร่ประกอบหิน ในสภาพที่เหาะสม น้ำแร่ร้อนนี้จะไปเปลียนเนื้อหินรอบๆตัวในบริเวณที่มันแทรกตัวขึ้นมา ทำให้เกิดการจับกลุ่มทางเคมีใหม่ เิกิดเป็นแร่หลายอย่าง ในทำนองเดียวกันก็เอาน้ำร้อนที่มีธาตุที่เหลืออยู่นั้นเข้ามาร่วมกระบวนการกำเนิดแร่อีกหลายชนิด กระบวนการนี้เรียกว่า hydrothermal alteration พื้นที่ที่พบเห็นบนผิวดินอาจจะกว้างหรือแคบก็ได้ ในทำนองเดียวกับที่พบใต้ดิน  ลักษณะหินที่พบบนผิวดินมักจะเป็นหินที่มีลักษณะผุ และมีแร่สนิมเหล็กลักษณะเหมือนตาข่ายครอบไว้ เรียกลักษณะนี้กันว่า Gossan

หินส่วนที่เกิด alteration ที่อยู่ใต้ gossan นี้ อาจจะเป็นแหล่งแร่ใหญ่ก็ได้ ไม่ใหญ่ก็ได้ อยู่ลึกก็ได้ และอยู่ตื้นก็ได้  เมื่อมันเป็นหินที่มีเนื้อผุเป็นทุน มันจึงผุพังและถูกพัดพาไปได้ง่าย  จึงอาจจะมีแร่บางอย่างที่ตกค้างอยู่ หรือตกอยู่เรี่ยราดตามพื้นดิน  ส่วนพื้นที่ในภาพรวมๆที่จะเห็นก็คือเป็นดินลูกรัง การพบเกล็ดทองคำจึงเป็นเรืองไม่แปลกนัก  จะว่าไปลูกรังที่เอามาถมถนนหลายๆสาย ก็มีโอกาสพบแร่ใดแร่หนึ่งอยู่เกือบทั้งนั้น  เอาเป็นง่ายๆนะครับ เปิดแผนที่ธรณ๊วิทยาดู ที่ใดที่มีสีชมพูหรือสีแดงทั้งหลาย บริเวณนั้นคือหินอัคนี รอบๆพื้นที่นี้จะพบว่ามีแหล่งแร่ หรือ occurrence พูดง่ายว่าอยากจะหาแร่อะไรก็ไปเิริ่มต้นจากบริเวณนี้ หรือเริ่มต้นจากลำห้วยลำธารที่ไหลออกมาหรือไหลผ่านพื้นที่นี้
   
เมื่อทำการสำรวจทางธรณ๊วิทยานั้น เราพิจารณาทุกเรื่องที่เราเห็นและโอกาสที่มันเป็นไป แต่ด้วยความจำกัดของระบบทางราชการ เราจึงสำรวจลงไปลึกถึงขั้นพบแหล่งแร่จริงๆที่สามารถทำในเชิงพาณิชย์ไม่ได้   
บันทึกการเข้า
นอแรด
มัจฉานุ
**
ตอบ: 99


ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 10 ต.ค. 12, 17:20


   เมื่อทำการสำรวจทางธรณ๊วิทยานั้น เราพิจารณาทุกเรื่องที่เราเห็นและโอกาสที่มันเป็นไป แต่ด้วยความจำกัดของระบบทางราชการ เราจึงสำรวจลงไปลึกถึงขั้นพบแหล่งแร่จริงๆที่สามารถทำในเชิงพาณิชย์ไม่ได้   

ครับเรื่องนี้เห็นด้วย เพราะเท่าที่อ่านรายงานการสำรวจของกรมทรัพย์นั้น เวลาไปสำรวจก็ไม่่ค่อยมีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรไปด้วย แล้วก็ไปจ้างชาวบ้านขุดหลุมแบบเดียวกัน ปัจจุบันเครื่องไม้เครืองมีในการสำรวจมีออกมามาก แต่ดูเหมือนจะไม่มีการสำรวจกันอีกแล้ว และที่ดินต่างๆก็ถูกประชาชนเข้าไปยึดถือทำกินเสียส่วนใหญ๋



คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
นอแรด
มัจฉานุ
**
ตอบ: 99


ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 10 ต.ค. 12, 17:51

สุดท้ายขอฝากสุดยอดทองคำ ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เสาะแสวงหากันอยู่ อีกทั้งมีราคาสูงกว่าทองแท่ง 2-3 เท่า

นั่นก็คือ...ทองบางสะพาน ครับ

ส่วนรูปข้างล่าง เป็นแต่เพียงหินที่มีทองคำ จากบางสะพาน




บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 10 ต.ค. 12, 19:51

ทองคำของไทยในสมัยก่อนก็มีมาจากหลายแหล่ง  ที่เราเคยได้ยินชื่อกันคุ้นหูก็ กบินทร์บุรี บางสะพาน ส่วนโต๊ะโม๊ะนั้นเป็นที่คุ้นหูกันมาในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองไม่นานแล้วก็หายไปหลังสงคราม   แต่ดูเหมือนว่าเราจะนิยมและเห็นคุณค่าของทองคำบางสะพานมากกว่าที่อื่นทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจ

ผมเห็นว่ามีอยู่สองเรื่อง คือ เรื่องของสี และ เรื่องของความบริสุทธิ

ทองคำที่พบตามธรรมชาตินั้น จัดเป็นทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งในสมัยก่อนๆนั้น ยังถือว่าธรรมชาติให้ความบริสุทธิบนฐานของ 100%   ทองคำที่พบตามธรรมชาตินั้นมีอยู่ 4 สี คือ สีเหลืองอร่าม สีออกไทางสีชมพู สีออกไปทางเขียวใบตองอ่อน และสีเหลืองซีดๆ    คนทางยุโรปนิยมสีเหลืองอร่าม คนอินเดียและตะวันออกกลางนิยมสีออกไปทางสีชมพู  คนไทยรู้สึกว่าจะนิยมสีออกไปทางสีเขียวใบตองอ่อน (แบบทองบางสะพาน)  ส่วนสีเหลืองซีดๆนั้นไม่เป็นที่นิยมกันทั่วทุกชนชาติ

ในด้านตลาดปัจจุบันนี้ ทองคำบริสุทธิที่ซื้อขายกันในตลาดโลก หมายถึงทองคำที่มีเนื้อทองคำ 99.999 %    เนื่องจากการทำทองคำ (refine) ให้มีความบริสุทธิ 100% นั้นไม่สามารถทำได้ ส่วนที่เหลืออีก 0.0001 % จะเป็นมลทินที่ไม่สามารถกำจัดออกไปได้ มลทินนี้เองที่เป็นตัวทำให้เกิดสีในทองคำบริสุทธิดังที่กล่าวมา   โดยนัยก็คือ ทองคำบริสุทธิ ก็คือทองคำที่มีเนื้อทองคำ 99.999 %    ดังนั้นเมื่อพูดถึงทองคำบริสุทธิ ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง ตัวเลขแรก (คือ 99) ไปกล่าวถึงจุดทศนิยมหลัง 99% นี้ดีกว่า ซึ่งเรียกว่า fine การซื้อหาทองคำจึงไปดูที่จุดทศนิยมหลัง ทองคำแท่งที่ขายกันโดยการผ่านการถุงให้บริสุทธิแล้วจึงเรียกว่า fine gold ซึ่งอาจจะเป็น 999 หรือ 998 หรืออื่นๆ แต่ก็ไม่เกิน 995     การซื้อทองคำแท่งของเราจึงต้องควรจะระวังกันสักหน่อย   ในระบบการค้าขายทองคำของโลกนั้น เขาพูดกันที่ 999 และจะต้องมีตราประทับว่าทำให้บริสุทธิโดยบริษัทใด ซึ่งบริษัทผู้ถลุงทำทองคำให้บริสุทธินี้จะมีรายชื่อที่ยอมรับกันทั่วโลก จำได้ว่าก็มีอยู่หลายสิบบริษัทเหมือนกัน  ทองคำที่ผลิตได้จากเหมืองทองคำต่างๆทั่วโลกนั้น ส่วนมากจะได้ทองคำที่มีเนื้อบริสุทธิระหว่าง 96-98% ดังนั้นจึงต้องมีการทำให้บริสุทธิเป็น fine gold  จะด้วยตนเองหรือให้คนอื่นทำให้ก็ตามที 

ทองคำบางสะพานนั้น ผมก็ไม่ทราบว่ามีความบริสุทธิอยู่ที่เท่าไร แต่มันได้กลายเป็นของที่มีคุณค่าทางด้านจิตใจ (sentimental value) มากกว่าที่จะเป็นสินค้าที่ค้าขายกันในเชิงของมูลค่า (ราคา) ของทองคำ  ผู้ใดมีก็เก็บไว้เถอะครับ ราคาของมันไม่เกี่ยวกับราคาทองคำในตลาดโลกแล้ว (สำหรับคนไทยนะครับ)

เคยเตรียมตั้งกระทู้จะเล่าเรื่องทองในภาพรวมๆเหมือนกัน แต่ยังไม่มีโอกาสสักทีครับ 
บันทึกการเข้า
นอแรด
มัจฉานุ
**
ตอบ: 99


ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 10 ต.ค. 12, 20:14

ทองบางสะพานที่ผมหลอมแล้วไปให้ร้านทองตรวจด้วยเครื่อง ได้ประมาณ 98.6-98.8 % แทบทุกครั้งครับ (ส่วนทองคำแท่งในตลาดบ้านเรา 96.5%  )

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 ต.ค. 12, 08:47 โดย เทาชมพู » บันทึกการเข้า
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 10 ต.ค. 12, 21:01

ที่ จขกท ถามเรื่องว่าจะมีความเป็นไปได้แค่ไหนในเรื่องของชื่อจังหวัดต่าง ๆ  ส่วนตัวผมเอง นอกจากประเด็นเรื่องโลหะวิทยาแล้ว ก็คงจะต้องพิจารณาถึงเรื่องของสภาพภูมิศาสตร์ที่เปลี่ยนไปครับ

ในอดีตเมื่อสองพันกว่าปีก่อน กรุงเทพยังเป็นทะเลอยู่เลย น้ำทะเลยังเข้าไปถึงตัวจังหวัดเพชรบุรี นครปฐม ไปจนถึง สุพรรณบุรี และสระบุรี ดังที่จะเห็นในเรื่องของโบราณวัตถุหลาย ๆ ชิ้นที่ขุดพบได้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีชุมชนริมทะเล ก็ย่อมต้องมีการค้าขายเกิดขึ้น ส่วนตัวเดาว่า ก็น่าจะต้องมีแหล่งที่ทำทอง หรือขุดทองในที่ต่าง ๆ เหล่านี้อยู่แล้วล่ะครับ

ถ้าจำไม่ผิด ตำนานเรื่อง ในตำนานทางเหนืออย่างเรื่องของพระเจ้าพรหมมหาราช ก็ยังมีเรื่องของการส่งส่วยทองคำ ไปให้กับขอม(คนละพวกกับขอมที่อยู่ในเขมร) เหมือนกันครับ ซึ่งถ้าตำนานนี้เป็นจริง ก็ต้องแสดงว่ามีแหล่งขุดทองตั้งแต่โบราณจริง ๆ เหมือนกัน
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 10 ต.ค. 12, 21:13

^
ทองคำที่ขายกันตามร้านค้าทอง โดยเฉพาะทองรูปพรรณนั้น จะเป็นทองคำ 999 ที่นำเข้ามา แล้วเอามาผสมด้วยทองแดงบ้างเงินและอื่นๆบ้างตามสัดส่วนเฉพาะของแต่ละร้าน เพื่อให้ทองนั้นแข็งพอที่จะทำเป็นทองรูปพรรณ ทองนั้ำก็จะกลายเป็นทองไม่บริสุทธิ ดังนั้น แต่ละร้านจึงมีตราประทับที่บริเวณข้อต่อของทองรูปพรรณนั้นๆ เมื่อเราเอาไปขายคืนกับร้านเดิมจึงได้ราคาดีกว่าเอาไปขายกับร้านอื่น เนื่องจากว่าร้านอื่นเขาไม่รู้ว่าผสมอะไรมาบ้างในสัดส่วนปริมาณเท่าใด  ร้านทองทำแม้กระทั่งกับทองแท่ง 999 ที่นำเข้ามาแล้วแบ่งออกไปทำเป็นทองแท่งชิ้นเล็กๆ

คำว่าทองคำบริสุทธิ หรือ ทองคำ 100% ของไทยเราจึงไม่ใช่ของจริง หากเป็นของบริสุทธิจริงๆ ก็จะต้องซื้อจากใหนก็ตาม จะขายที่ใหนก็ตาม ก็จะต้องสามารถกระทำได้ตามราคาตามที่ประกาศไว้หน้าร้าน ใช่ใหมครับ      
บันทึกการเข้า
นอแรด
มัจฉานุ
**
ตอบ: 99


ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 10 ต.ค. 12, 21:49

ู^
^
^

ทองรูปพรรณเมืองไทย ที่เป็นสร้อย แหวน อะไรทำนองนี้ความบริสุทธ์น่าจะอยู่ราว 90% ครับเพราะต้องผสมกับโลหะอื่นทำให้มีความแข็ง
ส่วนที่อ้างว่า 100% ไม่มีครับในโลก แต่จะมี 99.99% ซึ่งเป็นของนอกเสียมากกว่า

เมื่อมันเป็นทองรูปพรรณแล้ว ร้านเขาก็ตีตราประจำร้าน เวลาขายไปราคาหนึ่ง รับซื้อก็หักค่ากำเหน็จ ซึ่งส่วนต่างก็มากอยู่ แต่ถ้าประชาชนเอาทองร้านอื่นซึ่งไม่ได้ตีตราร้านเขาไว้ ก็ต้องหลอมมาทำใหม่ เพราะว่าการเอาทองร้านอื่นมาขาย มันน่าเกียดไม่สมศักดิ์ศรี ก็หักราคามากหน่อย  และไม่มีทองร้อยเปอร์เซนต์ครับส่วนใหญ่ 90% ทั้งนั้น ( เข้าใจว่า สคป ก็กำหนดขั้นต่ำของทองรูปพรรณไว้ราวๆนี้  )


จริงๆแล้วผมเองไม่ค่อยรู้เรื่องทองรูปพรรณครับ ว่าร้านค้าเขาผสมกันอย่างไรบ้าง....ต้องขออำภัย

ผมรู้แต่เพียงทองธรรมชาติ ของผมบริสุทธิ์กว่าทองแท่งที่ซื้อขายในกทม. เจ๋ง
บันทึกการเข้า
sigree
อสุรผัด
*
ตอบ: 54


ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 02 ธ.ค. 12, 00:19

ขอบคุณท่าน ตั้ง มากเลยครับที่มาให้ความรู้ ได้อ่านเจอว่าท่านเชี่ยวชาญเรื่องแร่ต่างๆ ทั่วประเทศ
เลยขอโอกาศนี้สอบถามเรื่อง..ทอง แถวกาญจนบุรี ว่าท่านเคยเดินเจอทองบ้างหรือเปล่าครับ หรือไม่ก็ได้ยินพวกกะเหรี่ยงหรือชาวเขาพบทองบ้างไหม
ตามภูเขา หรือถนนที่มีดินแดง หรือดินลูกรัง ( แบบเดินเจอนะครับ  )  ยิงฟันยิ้ม

ว่าจะตอบแล้ว เลยลืมไป มัวแต่ไปกระทู้อื่นอยู่ ขออภัยครับ
ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรอกครับ เรียนมา+ประสบการณ์ทำงานเท่านั้นเอง
คงจะไม่ตอบว่าเจอทองบ้างใหม เอาเป็นว่ามีอยู่ทั่วไปก็แล้วกันครับ แต่ที่จะเจอแบบเป็น nugget นั้น หรือแบบโผล่ให้เห็นบนผิวดินนั้นไม่มีหรอกครับ มีแต่จะต้องขุดแล้วเอาดินมาเลียง (ร่อน) ดู ทำสักสามสี่เลียงต่อเนื่องหรือมากกว่านั้นมากๆ ก็อาจะได้เห็นสีเหลืองเป็นผงปรากฎให้เห็นที่ก้นเลียงสักสองสามเกล็ด หรืออาจจะมากกว่านั้น แต่ไม่เกินปริมาณเท่ากับผงชูรสน้อยๆที่ใส่ในชามก๋วยเตี๋ยว ทั้งนี้ จะต้องรู้ด้วยว่าควรจะเอาดินชั้นใหนในห้วยมาทำการเลียงดู   ในห้วยที่ไหลออกมาจากแหล่งทองโต๊ะโม๊ะ ใน อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ชาวบ้านใช้เวลาช่วงบ่ายหลังทำสวนแล้ว เลียงกันสามสี่ชั่วโมง ได้ทองเดือนหนึ่งเพียงสลึงสองสลึงเท่านั้นเอง   ด้วยลักษณะนี้เอง ในหลายพื้นที่ แม้ชาวบ้านจะพบว่ามีทองอยู่ในห้วยก็ตาม แต่ด้วยปริมาณอันน้อยนิดนี้ เขาจึงไม่เสียเวลาไปทำกัน  แต่ในทางกลับกันผลจากการที่ได้พบนี้กลับไปมีความหมายต่อการสำรวจเพื่อทำเหมืองอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสียมากกว่า ซึ่งแม้กระนั้นก็ตาม แม้สำรวจพบแหล่งต้นตอของทองแล้ว ก็ไม่มีการทำเหมืองแร่ทอง   

สงสัยจะต้องร่ายยาวเรื่องทองมากกว่านี้อีกเสียแล้ว ใช่ไหมครับ  ยิ้มกว้างๆ

เอาแค่เรื่องซื่อนะ ไม่ใช่ซื่อจังหวัด แต่ตามบันทึกโบราณ ทองจากโต๊ะโม๊ะไหลไปถึง ปากน้ำสุไหงโกลก ทำให้ย่านนั้นเรียกว่า Pasemas หรือ ทรายทอง ปัจจุบัทางการตั้งซื่อเป็น บ้าน ทรายทอง เพราะทองที่พบย่านนั้นเป็นเกล็ด
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.141 วินาที กับ 20 คำสั่ง