inteera
อสุรผัด

ตอบ: 14
|
พอดีเหตุบ้านการเมืองช่วงไม่กี่วันนี้ มีการกล่าวถึงเรื่อง อ.ปรีดี เสียสละเพื่อบ้านเมืองไม่กลับมาประเทศไทย ใช่ครับ นี่เป็นสิ่งที่ผมได้เล่าเรียนมาสมัยเรียน หากแต่การโซเชียลเน็ตเวิร์คทำให้ผมได้เปิดหูเปิดตาไปเจออะไรที่ผมไม่เคยเจอในสมัยเรียน ผมจึงชักไม่ค่อยจะแน่ใจ เลยมาขอความรู้จากพวกพี่ ๆ น้า ๆ หน่อยครับ
สิ่งที่ผมได้ไปเห็นเขาถกเถียงกันคือ จริง ๆ แล้ว อ.ปรีดี อยากจะกลับบ้านแต่กลับไม่ได้ แล้วการกลับมาของ อ.ปรีดี ได้กำหนดแผนอะไรบางอย่างที่ใหญ่มาก ๆ
ผมอยากให้พี่ ๆ น้า ๆ ช่วยไขข้อกระจ่างหน่อยครับ ว่าจริงเท็จประการใดและช่วยขยายความด้วยจะขอบน้ำใจพวกท่านเป็นอย่างมากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
inteera
อสุรผัด

ตอบ: 14
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 27 ก.ย. 12, 19:02
|
|
ขอบคุณครับ ใช้เวลา 2 วันเต็มๆอ่านจนหมด ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นเยอะเลย นั่งถามตัวเองว่า นี่สมัยเด็กๆ เราเรียนอะไรไปบ้างวะเนี่ย (ฮา)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
V_Mee
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 28 ก.ย. 12, 08:08
|
|
มีข้อสังเกตเพิ่มเติมในเรื่องตัวละครสำคัญในประวัติศาสตร์ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ ทั้งพระองค์เจ้าบวรเดช พระยาพหลพลพยุหดสนา หลวงพิบูลสงคราม ซึ่งต่อมาต่างก็เป็นคู่ขัดแย้งกันนั้น ต่างก็เติบโตมาในเหล่าทหารปืนใหญ่ ซึ่งในสมัยก่อนถือกันว่าเป็นสุดยอดหัวกะทิของกองทัพด้วยกันทั้งนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 28 ก.ย. 12, 08:54
|
|
สารคดี "ปรีดี พนมยงค์"
ผลิตโดย โครงการฉลอง ๑๐๐ ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส พ.ศ. ๒๕๔๓
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 07 ต.ค. 12, 08:57
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 11 พ.ค. 17, 09:35
|
|
๑๑ พฤษภาคม วันปรีดี ร่วมรำลึก "รัฐบุรุษอาวุโส"ปรีดี พนมยงค์ ทระนง ณ ธรณิน คือใจอันไม่สิ้น แม้สิ้นใจไม่สิ้นจำ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
superboy
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 13 พ.ค. 17, 22:15
|
|
จนถึงวันนี้ผมยังดองการอ่านเรื่องจอมพลป.กับท่านปรีดีไว้เลย  เหมือนกับเพชรพระอุมาที่อยากอ่านรอบ 2 แบบเก็บรายละเอียดมาก การเดินทางครั้งใหม่ของมณีจันทร์ก็ยัง เวลามันหายไปไหนหมดน้า....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 17 พ.ค. 17, 10:53
|
|
ไปเจอเรื่องนี้เข้าใน facebook อยากจะถามคุณเพ็ญชมพูว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
ซามูไร อโยธยา 11 ชม. · นายปรีดี พนมยงค์ บีบคั้นในหลวงจนสละราชบัลลังก์ไปแล้ว พ่อและพรรคพวกทำอะไรกันต่อ
ยึดพระราชทรัพย์
การใช้อำนาจของรัฐบาลคณะราษฎรแทรกแซงกระบวนการของตุลาการ เรื่องมันมีอยู่ว่าอธิบดีศาลแพ่งพระสุทธิอรรถนฤมนตร์ (บุคคลในรูปนี้)ไม่ยอมรังแกในหลวงตามที่รัฐบาลมีความประสงค์ กล่าวคือเมื่อโอนพระคลังข้างที่มาอยู่กับกระทรวงการคลังแล้ว ซึ่งพ่อเป็นรัฐมนตรีการคลังอยู่! ก็ได้กล่าวหาว่าในหลวงและพระราชินี โอนเงินจากบัญชีทรัพย์สินฯ ไปใช้ส่วนตัวถึง ๑๐ รายการ รวมกว่า ๔,๑๙๕,๘๙๔.๘๙ บาท
นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะรมต.คลัง จึงส่งเรื่องให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๔๘๒ พร้อมกับขอคุ้มครองชั่วคราวแบบฉุกเฉิน โดยให้ศาลยึดหรืออายัดทรัพย์สินของทั้ง ๒ พระองค์ไว้ทั้งหมด โดยอ้างว่ามีการโอนที่ดินไปให้ผู้อื่น เมื่อรับฟ้องและคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวแล้ว พระสุทธิอรรถนฤมนตร์(สุข เลขยานนท์) อธิบดีศาลแพ่ง
"มีคำสั่งให้ยกคำร้องของกระทรวงการคลัง"
๓ วันต่อมา นายปรีดี พนมยงค์ ก็ยื่นคำร้องอีก
แต่ศาลแพ่งก็ยังสั่งยกคำร้องอีก โดยให้เหตุผลว่า "...โจทก์มิให้นำบัญชีแม้แผ่นเดียว หรือหนังสือสั่งการของจำเลยที่ ๑ (สมเด็จพระปกเกล้าฯ) แม้แต่ชิ้นเดียวมาแสดง พยาน(ของโจทก์) ทั้ง ๒ ปาก ทราบข้อเท็จจริงมาได้ก็โดยการตรวจพบเอกสารต่าง ๆ จึงมีค่าเสมือนพยานบอกเล่า โจทก์หาได้นำพยานที่รู้เรื่องเดิมแม้แต่ปากเดียวมาสืบประกอบไม่..."
สรุปสั้นๆคือ นายปรีดี พนมยงค์ ไม่ได้เอาหลักฐานที่เป็นเอกสารไปให้ศาลเลยแม้แต่แผ่นเดียว พ่อเพียงเอาพยานสองคนไปแจ้งให้ศาลทราบเท่านั้น ท่านอธิบดีศาลแพ่งพระสุทธิอรรถนฤมนตร์(สุข เลขยานนท์) จึงสั่งให้ยกคำร้องของพ่อ พ่อโมโหมากพ่อเลยไปกระซิบให้ณ๊องปอฟัง จากนั้นไม่นานพระสุทธิอรรถนฤมนตร์ก็ถูกย้ายไปอยู่ศาลฎีกา
...และในอีกไม่กี่เดือนถัดมาก็ถูกให้ออกจากราชการ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.ธานินทร์ กรัยวิเชียร ยกตัวอย่างเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ "คุณธรรมและจริยธรรมของนักกฎหมาย" ไว้ว่า
"พระสุทธิอรรถฯ ถูกย้ายไปศาลฎีกาทั้งๆ ที่ท่านกำลังจะได้รับการพิจารณาความดีความชอบ ๒ ขั้นเป็นกรณีพิเศษ เพราะผลงานของท่านในรอบปีที่ผ่านมาดีเด่น ท่านเป็นนักกฎหมายไทยคนแรกๆ ที่สำเร็จการศึกษาวิชากฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา เมื่อท่านถูกย้ายไปศาลฎีกา ท่านก็ไปถามรัฐมนตรีฯ ว่า ทำไมท่านจึงถูกสั่งย้าย ท่านรัฐมนตรีฯตอบท่านว่า ไม่มีอะไร เป็นเรื่องการเมือง ท่านจึงไม่ได้รับพิจารณาความดีความชอบ และไม่ช้าท่านก็ถูกปลดออกจากราชการด้วย
ในวงการศาลรู้สึกไม่สบายใจในเรื่องนี้มาก กังวลกันว่า ต่อไปนี้นักการเมืองจะเข้ามาแทรกแซงในคดีความของศาล ทำให้ศาลไม่มีความเป็นอิสระ จึงต้องหาทางร่วมกันแก้ไข เพราะในท้ายที่สุดผู้ที่จะเสียหายมากที่สุด ก็คือ ประชาชนผู้เป็นคู่ความในคดีกับรัฐนั่นเอง ต่อมา รัฐบาลชุดนั้นผ่านพ้นไป รัฐบาลชุดนายควง อภัยวงศ์ เข้ามารับตำแหน่งหน้าที่ เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) ผู้เคยเป็นเสนาบดีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้รับการทาบทามให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ กล่าวว่า ยินดีรับตำแหน่ง แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ต้องให้พระสุทธิอรรถฯ กลับมาเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาตามเดิมต่อไป นายควง อภัยวงศ์ ตกลงรับเงื่อนไขดังกล่าว พระสุทธิอรรถฯ จึงได้กลับเข้ารับราชการตามเดิม หลังจากที่ออกไปเป็นทนายความอยู่พักหนึ่ง หลังจากรัฐบาลชุดนายควง อภัยวงศ์ พ้นตำแหน่ง ก็มีรัฐบาลชุด หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช เข้ามารับตำแหน่ง หม่อมราชวงศ์เสนีย์ฯ ซึ่งเคยเป็นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มาก่อน ได้เชิญพระสุทธิอรรถฯ ไปเป็นรัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงการต่างประเทศ แสดงให้เห็นว่า ในวงการศาลยุติธรรมของไทยนั้น มีการผนึกกำลังกันช่วยเหลือ และปกป้องดูแลคุ้มครองผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงธรรมให้พ้นจากการกระทำที่ไม่ชอบ ซึ่งเป็นการผนึกกำลังกันในวิชาชีพที่ดี"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
paganini
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 20 พ.ค. 17, 12:47
|
|
ผมรู้สึกนะครับ เอาแค่ความรู้สึก มันเหมือนกับ "ปล้น" เลยนะครับ บ้านเมืองสืบทอดกันมาเป็นร้อยปี ทรัพย์สมบัติส่งต่อมาจากบรรพบุรุษ ปฏิวัติแล้วก็ยึดทรัพย์สมบัติเข้ากองกลาง เปลี่ยนแผ่นดินที ทรัพย์ก็ต้องส่งต่อไปให้พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่อยู่แล้ว เป็นของแผ่นดินส่วนใหญ่อยู่แล้ว ไม่ได้เป็นทรัพย์เฉพาะตัวทั้งหมดด้วยซ้ำ รัชกาลที่ 7 ทำผิดสิ่งใด? ผมเป็นคนรุ่นหลัง พอจะเข้าใจอุดมการณ์ของคณะราษฎร์แต่การปฏิบัติกลับเข้าใจไม่ได้เลย
ยุคของเหมา แก้งค์สี่คน ยุคของเขมรแดง คนธรรมดาไม่ได้ผิดอะไรแค่มีทรัพย์สินก็ถูกกระทำต่างๆนาๆเพียงเพราะอุดมการณ์ของความเท่าเทียม ต้องการให้เท่าเทียมกันโดยการ "ปล้น" คนอื่นนี่นะเหรอเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรกระทำแก่กัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 11 พ.ค. 22, 11:35
|
|
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕ "วันปรีดี พนมยงค์" ร่วมรำลึกถึง ๑๒๒ ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ เสรีไทยนักสู้กอบกู้ชาติ เอกราชเทิดไว้ให้สูงส่ง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ผู้นำธงธรรมจักรพิทักษ์ประชา
ดุจบ่อน้ำบำบัดกระหายให้ทวยราษฎร์ ประศาสน์การธรรมศาตร์แหล่งศึกษา รัฐบุรษ-คนดีศรีอโยธยา นามก้องฟ้า "ปรีดี พนมยงค์"อภิชาติ ดำดี๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 11 พ.ค. 22, 11:53
|
|
พระบรมราชวินิจฉัย ร.7 ต่อเค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดี
คณะอนุกรรมาธิการพิจารณา "เค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ" ของปรีดี พนมยงค์ ได้จัดประชุมขึ้นในวันที่ 12 มีนาคม 2476 โดยมีพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นประธาน ที่ประชุมมีความเห็นแตกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเสนอให้ดำเนินการทางเศรษฐกิจอย่างรัฐบาลเก่า คือ ขยายสหกรณ์ประเภทเครดิต และขจัดคนกลาง เลือกทำในบางเรื่องตามโอกาสอำนวย และที่สำคัญคือ ไม่ต้องมีการวางแผนเศรษฐกิจ ส่วนฝ่ายของปรีดี พนมยงค์ เสนอให้รับหลักการที่จะดำเนินตาม "เค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ" แต่งตั้งสภาเศรษฐกิจสำรวจและวางแผนจัดดำเนินการ "เมื่อมีแรงทุนเท่าใดทำเพียงเท่านั้น" การประชุมในวันนั้น ฝ่ายปรีดี พนมยงค์ พยายามรุกให้ที่ประชุมตกลงว่า จะเอาอย่างไรให้แน่นอน แต่ฝ่ายพระยามโนปกรณ์นิติธาดาก็เบี่ยงบ่ายด้วยความคิดที่ว่า โครงการนั้นจะดำเนินการไม่ได้ และถ้าหาก ปรีดี พนมยงค์ ประกาศโครงการเศรษฐกิจในนามของตนเอง ก็อย่าทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่าเป็นของรัฐบาล
วันที่ 28 มีนาคม 2476 ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเรื่องนี้อีก ในที่ประชุม พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ถามว่า นโยบายทางเศรษฐกิจได้จัดการอย่างไรบ้าง ปรีดี พนมยงค์ ได้เล่าถึงการเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวของตน จากนั้น พระยามโนปกรณ์นิติธาดาก็ได้นำเอาบันทึกพระบรมราชวินิจฉัยของรัชกาลที่ 7 เกี่ยวกับเค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ มาเสนอต่อที่ประชุมและให้ปรีดี พนมยงค์อ่าน การกระทำดังกล่าวทำให้ความขัดแย้งต้องยุติลง พระบรมราชวินิจฉัยดังกล่าวนี้บ้างก็เชื่อว่าเป็นของรัชกาลที่ 7 บ้างก็ว่าพระยามโนปกรณ์นิติธาดากับพวกทำขึ้นแล้วให้รัชกาลที่ 7 ลงพระนาม แต่พระบรมราชวินิจฉัยดังกล่าวโต้แย้งปรีดี พนมยงค์ รุนแรงมาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|