เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 53 54 [55]
  พิมพ์  
อ่าน: 141533 รำลึกถึงดาวเสียงต่างชาติต่างภาษาที่ดับแสงไปแล้ว
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 810  เมื่อ 10 มี.ค. 23, 05:18

เมื่อวานเอาเพลง Last kiss มาปล่อย  เนื้อเพลงเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางรถยนต์  เท่าที่นึกออกในตอนนี้  มีอีก 2 เพลงที่มีเนื้อหาทำนองเดียวกัน (ภายใต้เงื่อนไขว่า ผู้ร้องต้องม่องเท่งไปแล้ว)

Ray Peterson เท่าที่จำได้ผมได้ยินเพลงของเธออยู่ 2 เพลง  เพลงนี้เปิดบ่อยที่สุด



อีกเพลงคือ Tell Laura I Love Her  ซึ่งตอนนี้ผมนึกเสียงต้นฉบับของเธอไม่ออกเพราะในเวลาต่อมา  ในปี 1974 มีคนเอาเพลงนี้มาร้องใหม่  ซึ่งคงถูกหูเหล่าดีเจในเมืองไทยเพราะท่าน ๆ ทั้งหลายต่างระดมเปิดใส่หูผมทุกวี่ทุกวันจนผมลืมเสียงต้นฉบับไปเลย



บ้านเราฮิตเพลงนี้มากจนผมนึกว่ามันต้องดังกระหึ่มที่บ้านเกิดอย่างแน่นอน  ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่านักร้องชื่ออะไร  ความดังของเพลงมันกลบชื่อคนร้อง  ต่อมาอีกนานกว่าผมจะหาชื่อคนร้องได้  คือ Johnny T. Angel  พอได้แล้วก็เอาไปหาข้อมูลต่อ  ปรากฏว่าเพลงฉบับนี้ไม่ดังในอันดับเพลงเลย  มันขึ้นไปได้ถึงแค่อันดับ 94 ก็หายไปจากตารางเพลง  ตัวนักร้องก็เลยดับไปด้วย  เพราะแค่ผลงานชิ้นแรกผู้เสพย์ก็ไม่แยแสกันแล้ว  เลยหาประวัติของเธอได้ยาก  มีแต่รูปจิ๋วๆ  ไม่รู้ว่ายังอยู่หรือม่องไปแล้ว



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 811  เมื่อ 11 มี.ค. 23, 05:20

อีกเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ซ่อนอยู่ในนี้

ในปลายยุค 60s ที่อเมริกามีแนวเพลงใหม่เรียกว่า surf music  ศิลปินที่ทำเพลงแนวนี้ที่ดังที่สุดมี 2 คณะคือ Jan & Dean และ The Beach Boys
 
แนวเพลงเช่นที่ว่ามีขอบเขตจำกัดดังนั้นเพลงจะออกมาคล้ายกันหมด  จนถ้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ (เช่นผมตอนเด็ก ๆ) จะคิดว่าเพลง surf music เหล่านี้มาจากศิลปินเดียวกัน  ด้วยเหตุที่บ้านเราคุ้นเคยกับวง TBB มากกว่า  ผมก็เลยสรุปอย่างองอาจว่า  ทุกเพลง surf music เป็นของศิลปินวงนี้

และเนื่องจากสมาชิกหลักของวง TBB ยังอยู่ดีกินดี  ฟังเพลงของ J&D ไปก่อนละกัน  ดูซิว่าจะคุ้นหูบ้างมั้ย











(ผู้หญิงในตอนต้น clip คือ Lesley Gore นักร้องดังร่วมยุค / ตอนกล้องแพนไปที่คนชม  ผมพยายามกวาดตาหาผู้ชาย  ถ้ามีอยู่ในนั้นด้วยคงเก๋ดี)



Term ว่า Dead man’s curve นี้มีความหมายดังนี้ (ขออนุญาตไม่แปลเพราะชีวิตมีแต่ความวุ่นวาย  ไม่สามารถทำสมาธิให้นิ่งได้นานพอ): Dead Man's Curve is an American nickname for a curve in a road that has claimed lives because of numerous crashes.

On April 12, 1966, Jan Berry received severe head injuries in an automobile accident on Whittier Drive, just a short distance from Dead Man's Curve in Beverly Hills, California, two years after the song had become a hit. He was on his way to a business meeting when he crashed his Corvette into a parked truck on Whittier Drive, near the intersection of Sunset Boulevard, in Beverly Hills. JB was in a coma for more than two months; he awoke on the morning of June 16.




JB recovered from brain damage and partial paralysis. He had limited use of his right arm, and had to learn to write with his left hand and had to learn to walk again.

He returned to the studio in April 1967, almost one year to the day after his accident.

จากนั้นทั้ง Jan & Dean ก็ร่วมงานกันต่อ

นี่เป็นเรื่องราวที่ผมรู้มานานจากสื่อเช่น นส. Starpics ฯลฯ ทุกครั้งที่เอ่ยถึงวงคู่วงนี้  เรื่องราวนี้ได้มีการนำมาถ่ายทำเป็นหนังยาว  ผมเพิ่งมีโอกาสได้ดู (บางส่วน) เมื่อ youtube ถือกำเนิด





บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 812  เมื่อ 12 มี.ค. 23, 05:21

ชื่อแบบนี้ตอนเด็ก ๆ ไม่มีทางจำได้  จำได้แต่เพลง (เพลงเฉย ๆ ไม่ใช่ชื่อ)

Lee Dorsey



นำเสนอ






Major Lance



นำเสนอ





บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 813  เมื่อ 13 มี.ค. 23, 05:20

นี่ถ้าผมมีนิสัยแค่ชอบฟังเพลงเฉย ๆ  ไม่มีความสอดรู้สอดเห็นมาเจือปน  ผมคงไม่สามารถทำงานแบบนี้ได้...

Teresa Brewer กับ Till I waltz again with you (อันดับ 1 ในปี 1952)


(0.59 – เป็นเพลงเดียวของเธอที่ผมเคยได้ยินทางวิทยุ  เพลงแรกคือ Music, music, music อันดับ 1 ในปี 1950  เพลงที่ 3 คือ Ricochet อันดับที่ 2  ปี 1953  เพลงที่ 4 สุดท้ายคือ Sweet old fashioned girl อันดับ 7 ปี 1956)




Texas Kitty กับ I don’t care  นี่น่าจะเป็นเพลง country เพลงแรกในชีวิตที่ผมเคยได้ยิน  เพลงดังมากทางวิทยุ ถ้าเป็นสาวกเพลงฝรั่งต้องเคยได้ยิน




บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 814  เมื่อ 14 มี.ค. 23, 05:23

The Tymes...วงนี้เคยเสนอไปแล้วในภาค golden oldies ที่ร้องเพลงดัง So much in love  ความจริงยังมีเพลงดังในบ้านเราอีกเพลงซึ่งที่ออกมาในยุค 70s
 
ผมลืมเพลงนี้ไปเพราะ  การจัดเพลงในคลัง  ผมแยกตามยุค  บางศิลปินที่มีความดังข้ามยุค  ก็มีผลงานของพวกเขาอยู่ในยุคต่าง ๆ  ไม่ได้เอามารวมกัน  คงจะมีอีก

เพลงที่ว่านี้ได้ยินทางวิทยุบ่อยทีเดียว

ผมไม่มีเวลาหารายละเอียด  แต่ผมว่าสมาชิกคงเปลี่ยนไปบ้างจากยุค golden oldies  เท่าที่ดูบางคนยังคุ้น ๆ หน้า  แต่ดูเปลี่ยนไปตามอายุและการแต่งตัว




O.C. Smith






ผมได้ยินเพลงนี้เป็นครั้งแรกตอนเข้าโรงไปดูหนังเรื่อง Mermaids ในปี 1990 ที่โรงแมคเคนนา  มันเป็นหนังย้อนยุคเล่าเรื่องชีวิตของแม่หม้ายลูกติดที่เกิดขึ้นในปี 1963  ในหนังมีเพลงเก่า ๆ เพราะ ๆ ทั้งนั้น



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 815  เมื่อ 15 มี.ค. 23, 05:17

ย้อนกลับไปปี 1974  ในช่วงเทศกาล Eurovision Song Contest  ยังอยู่ในความสนใจของวงการเพลงฝรั่งบ้านเรา ในปี 1974 นั้น ยังมีนักร้องอีกคนที่นักฟังเพลงฯ รู้จักดีเหมือนรู้จักญาติสนิท  เธอคือ Olivia Newton John เป็นตัวแทนจากอังกฤษ (คนส่วนใหญ่คิดว่าเธอเป็นคน Australia ความจริงเธอเกิดที่อังกฤษก่อนที่ครอบครัวจะย้ายถิ่นฐานไป Australia)  เธอร้องเพลงนี้เข้าประกวดและได้อันดับที่ 4  ในบ้านเราเพลงนี้ดังพอ ๆ กับเพลงอันดับ 1 คือ Waterloo (ABBA) เลยละ



ในช่วงเวลาดังกล่าวชื่อ ONJ และเพลงของเธอติดปากติดหูนักฟังเพลงฯ เรียบร้อยไปแล้ว  เพลงดัง ๆ ของเธอกระจายออกมาจากลำโพงวิทยุบ้านเราอย่างสม่ำเสมอ  เริ่มตั้งแต่ Let me be there, If you love me (let me know) และ I honestly love you ซึ่งเป็น 1 ในเพลงที่ผมเกลียดที่สุดตลอดกาล  มันเลี่ยนจนแบบแค่ได้ยินเสียง intro ของเพลงผมก็แทบจะอ้วกพุ่งกระจายเต็มบ้านแล้ว  นี่ขนาดในตอนนั้นผมยังอยู่ในวัยกระเตาะอุดมไปด้วยโฮร์โมนนะนั่น  ยังทนไม่ไหว

ที่จริงก่อนหน้าเพลงเหล่านี้  วิทยุบ้านเราเปิดเพลงของเธอมาก่อนแล้ว  2 เพลงนี้ล่องลอยอยู่ในอากาศ



(นี่เป็นเพลงของเธอเพลงแรกที่ผมหูผึ่ง  ตอนนั้นยังไม่ประสีประสา  พอมาประสีประสาถึงรู้ว่าเนื้อเพลงเกี่ยวกับการฆาตกรรมที่มาเฉลยสาเหตุในตอนท้ายของเพลง  สนุกทีเดียว)


หลังจากรับใช้ชาติ (ในเทศกาลฯ ที่ว่า) จบก็กลับมาทำงานต่อ แล้วก็ถึงคราวที่เธอจะต้องดังระดับวงกว้างในปีต่อมาด้วยเพลงนี้

เพลง ballad ที่จืดชืดแต่กลับถูกหูเหล่าดีเจและคนฟังกันถ้วนหน้า  จนขึ้นถึงอันดับหนึ่งใน billboard chart


เธอตอกย้ำความดังด้วยเพลงต่อมา



จุดสูงสุดของ ONJ อยู่ที่ปี 1975 นี้  จากนั้นความดังของเธอเริ่มแผ่วลง

Single ต่อมาไม่ดังเท่าที่ควร 

(อีก 1 เพลง ballad ที่แสนจะธรรมดาในตอนนั้นสำหรับผม  แต่กลายเป็นสุดจะเพราะในปัจจุบัน  Funny how time can change things!)

แม้ความนิยมในเพลงของเธอจะลดระดับลงสู่ขั้นงั้น ๆ ในหลาย singles ต่อมา  หากวิทยุบ้านเรายังคงกระหน่ำเปิดเพลงเหล่านี้

(เพลงสุดโปรดของผม)





และเพลงที่วิทยุกระแทกหูผมแทบทุกวันในตอนนั้น



คนฟังมาเอียนกับเพลงของเธอสุดขีดในปี 1977 กับเพลงนี้

ทั้ง single และ album ขายไม่ออกเอาเลย


เธอคงรู้ตัวเลยเปลี่ยนบรรยากาศไปเล่นหนังในขณะเดียวกันก็หาทางแก้ไขเพื่อกู้ชื่อเสียงในวงการเพลงก่อนที่จะกู่ไม่กลับ  เธอกลับมาในปลายปี 1978 ด้วยแนวเพลงใหม่ที่แรงขึ้น  โดยเริ่มต้นด้วยเพลงนี้



ในปี 1981 เธอออกเพลงดังก้องโลกเพลงนี้พร้อม clip สนับสนุนที่ทำให้เหล่าผู้โชมอ้าปากค้างกับการเปลี่ยนแปลงของสาวน้อยหวานแหวว Olive Newton John


ต่อจากนั้นชื่อเสียงของเธอก็ค้างฟ้า...






ปี 1977



ปี 1982

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 816  เมื่อ 16 มี.ค. 23, 05:23

ใครจำเพลงเหล่านี้ได้บ้าง


(อดใจไม่ไหว…  ลุง Lynn Easton หน้าตาโคตรน่ารักเลย  บ้านเราเปิดเพลงแรก  เพลงที่ 2 ไม่เคยได้ยิน)

วงที่เล่นเพลงในแนวนี้ยังมีอีกเช่น The Kinks  แต่ยังนำเสนอไม่ได้เพราะสมาชิกหลักยังอยู่ดีกินดี




Shadows of Knight ชื่อวงเท่มาก  แต่ตอนนั้นไม่รู้  รู้จักแต่เพลง ชื่ออะไรก็จำไม่ได้อีก  แต่จังหวะมันดี


ที่จริงยังมีอีกวงชื่อ Them เล่นเพลงคล้ายกัน  แต่สมาชิกก็ยังอยู่ดีกินดี





อีกหนึ่งวงที่วิทยุเอาเพลงมาปล่อยให้ผมฟัง  




บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 817  เมื่อ 17 มี.ค. 23, 06:54

The Tokens ที่ตอนนี้ล้มวงไปแล้ว เพลงนี้เป็นเพลงเดียวที่พวกเราเคยได้ยิน  แล้วก็ยากที่จะลืม




นำเสนออีกเพลงที่ดังมากที่บ้านเค้าแต่ผมไม่เคยได้ยินจากวิทยุ






The Silhouettes





บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 818  เมื่อ 18 มี.ค. 23, 07:30

ผมรู้จักชื่อ Joe Cocker มานาน  แต่ไม่เคยได้ยินเพลงของเธอเลย  ไม่รู้ว่าเธอร้องเพลงอะไรด้วยซ้ำจนกระทั่งหนัง An Officer and a Gentlemen มาฉายในปี 1982  ถึงได้รู้จักเพลงของเธอเป็นครั้งแรก  เธอร้องคู่กับ Jennifer Warnes ทั้งเพลงและหนังไม่รู้อย่างไหนดังกว่ากัน  แต่ที่แน่ ๆ คือผมเสียเงินทั้งค่าตั๋วดูหนังและค่าแผ่นเสียง


(หลังจากมี youtube ได้เห็นท่าเธอร้องเพลงแล้ว  เป็นเอกลักษณ์ที่จำได้ง่ายกว่าชื่อผลงานเพลง  clip นี้ยัง ‘น้อย’)


นำเสนอ


(ทรงแขนเสื้อที่ผมรู้จักในชื่อว่า แขน Tom Jones  ผมไม่แน่ใจว่าเป็นชื่อเรียกแบบเป็นทางการในบ้านเราหรือว่าเรียกกันเล่น ๆ ในบ้านผม  เพราะบ้านผมเห็น Tom Jones (ในรายการโชว์ของเธอ) ใส่เสื้อแขนทรงนี้ออกทีวีทุกครั้ง)


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 819  เมื่อ 19 มี.ค. 23, 06:50

ดีเจวิทยุภาคเพลงฝรั่งบ้านเราไม่นิยมเปิดเพลงแนว country  ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเพลงแนวนี้ได้รับความนิยมอยู่ในวงแคบคือภายในประเทศอเมริกาเอง ไม่ได้กระจายออกมาทั่วโลกแบบเพลง pop  พวกเรานักฟังเพลงฯ ทั่วไปจึงไม่เคยได้ยินเพลงของ kings/queens of country อย่าง George Jones, Loretta Lynn, Hank Williams Jr., The Statler Brothers ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม เราก็ยังได้มีโอกาสฟังเพลงแนว country บ้าง  อย่างเพลงของ John Denver, Ronnie Milsap, Anne Murray ฯลฯ  นั่นเป็นเพราะศิลปิน country เหล่านี้สามารถนำเพลง 'ข้ามฟาก (crossover)' มาเข้าอันดับในตารางเพลง pop ได้  คือแนว country แต่มีกลิ่นอายของ pop  ดีเจบ้านเราผู้นิยมติดตามเพลงในอันดับเพลง pop  ก็เลยนำมาเสนอให้พวกเราฟัง

ในทำเนียบของศิลปินเพลง  บ้านเขาจัด Kenny Rogers เป็นศิลปินแนว country  เพลงแรกของเธอที่สามารถข้ามมาฝั่ง pop ได้คือเพลงนี้

ท่อน You picked the fine time to leave me, Lucille นี่ติดหูผมมาจนถึงปัจจุบัน  เป็นเพลง ‘ข้ามแดน’ เพลงแรก (ตามข้อมูลเป็นที่ 2 แต่เพลงแรกแหยมเข้ามา 1 สัปดาห์ก็ล่ม) และเป็น single ทองคำแผ่นแรกของเธอ  นี่แสดงว่าดีเจบ้านเราติดตามอันดับเพลง pop อย่างกับเหยี่ยว


เพลงต่อมาก็เพราะ  ทำนองติดหู  ผมได้ยินบ่อยกว่าเพลงแรก  สามารถฮัมทำนองได้ง่าย ๆ



หลังจากนั้นเพลงของ KR ก็ข้ามฟากมาให้พวกเราชาว pop ฟังอย่างสม่ำเสมอ  มีทั้งร้องเดี่ยวกับร้องคู่กับนักร้องดัง ๆ ในยุคนั้น




(เพลงนี้เปิดบ่อยที่สุดในช่วงนั้น)








จุดสูงสุดของเธอมาในปี 1980 กับเพลง ballad อันดับ 1 ชื่อ Lady  ตอนนั้นมันดังสุดขีดทั้ง 2 ฝั่งคือบ้านเขาและบ้านเรา  จำได้ถึงขนาดมีการค้นหาว่า Lady ในเพลงนี่หมายถึงใครระหว่าง เมียกับแม่  ผมไม่ได้ตามข่าวต่อว่าตกลงคือใคร  รู้แต่ว่าถ้าได้ยินทำนองเพลงนี้ผมจะรีบเปลี่ยนคลื่นทันที  เลี่ยน



โดยส่วนตัว  ผมว่า KR ร้อง ballad ได้เยี่ยมมาก  ที่ผมชอบที่สุดคือ






อีก 2 เพลงที่เธอร้องคู่กับราชินีเพลง country ชื่อ Dottie West 






กับเพลงกระหึ่มกรุงเทพฯ ในปี 1983 ที่เธอร้องคู่กับ Dolly Parton





บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 820  เมื่อ 20 มี.ค. 23, 07:04

ย้อนเวลากลับไปในยุคต้น 60s ที่บ้านเขามีวงนักร้องหญิงหรือที่เรียกว่า Girl Group เกิดขึ้นราวดอกเห็ด  แต่ต้องดังจริง ๆ จึงสามารถข้ามน้ำข้ามทะลมาออกอากาศตามคลื่นวิทยุบ้านเราได้  ดีเจเปิดเพลงของวงเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจนมาถึงยุคผม  ผมจึงคุ้นหู  แต่ตอนนั้นเด็ก  ไม่รู้ความหลากหลายของศิลปิน  ก็แค่ฟังเฉย ๆ  ไม่มีความคิดที่จะสงสัยว่า เอ๊... ใครร้องหว่า  อะไรทำนองนี้  จนกระทั่งปีกกล้าขาแข็งแล้วก็ออกค้นคว้าหาความรู้มาใส่สมองที่กลวง ๆ  และพบว่าวงที่เคยได้ยินนั้นยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของทั้งหมด  จริง ๆ แล้วมีเยอะมาก  แต่ไปไม่ถึงดวงดาวเสียส่วนใหญ่  ออกเพลงมาแค่จำนวนเล็ก ๆ แต่ไม่มีคนนิยมก็ดับกันไป   

ปัจจุบันวงเหล่านี้ (ที่ดัง ๆ ในตอนนั้น) ก็ยังมีทายาทรับช่วงดำเนินการกันอยู่  ผมจะเช็คดูซิว่ามีวงไหนที่พวกเราคุ้นหูที่เข้าข่ายการนำเสนอบ้าง (เพี้ยง... ขอให้มีเยอะ ๆ เพลงเพราะ ๆ ทั้งนั้น)

ก่อนหน้านี้นำเสนอไปแล้ว 2 วง  ผิวขาวทั้งคู่  ยังเหลืออีกวง

The Shangri-las นี่เป็นอีกวงหนึ่งที่ตอนนั้นผมไม่รู้รายละเอียดหรอกว่าเป็นใครมาจากไหน  แต่ทำนองเพลงแปลกนี้ติดหู ดช. โหน่ง ไม่มีลืม



วงนี้มีเพลงดังเพลงเดียว  จนกระทั่งผมซื้อ CD มาลองฟังเพลงอื่นบ้าง  ก็มีหลายเพลงที่ไม่เลว










บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 821  เมื่อ 21 มี.ค. 23, 07:06

The Crystals นี้เป็นวงโปรดของผม  วงนี้มีนักร้องนำหลายคน  ผมอ่านประวัติที่แนบมากับกล่องซีดีแล้วพบว่า  ความเป็นไปเป็นมายุ่งเหยิงมาก  น่าเอามาทำเป็นหนังชุดจะสนุกมากเพราะนอกจากเรื่องราวสนุกแล้ว  เพลงของพวกเธอเพราะ ๆ ทั้งนั้น (ใน style ของคนดำ)  ความที่มีนักร้องนำหลายคน  เสียงร้องเพลงจากวงนี้จึงแตกต่างกันจนคิดว่าต่างวงกัน  เพลงที่เปิดประจำในรายการ golden oldies คือ




เพลงอันดับ 1



เพลงโปรดตลอดกาลของผม



นำเสนอ...







ถ้าฟังจากเครื่องเสียงดี ๆ ไม่ใช่จากมือถือหรือ notebook  เพราะสมัยนั้นไม่มีของพวกนี้  มีแต่ชุดเครื่องเสียง  สังเกตจะพบว่าเสียงเพลงของวงนี้ไม่ออกมาชัดใส  ฟังเหมือนร้องในโอ่ง  นั่นเป็นความตั้งใจของ Producer ชื่อ Phil Spector เป็นการนำเสนอวิธีการอัดเสียงที่เรียกว่า Wall of Sound  วิธีการซับซ้อนมาก (อ่านแล้วไม่เข้าใจเลยเขียนไม่ได้)


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 822  เมื่อ 21 มี.ค. 23, 09:00

เชิญไปต่อที่กระทู้นี้ค่ะ

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=7342.new#new
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 53 54 [55]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.059 วินาที กับ 19 คำสั่ง