รำลึกถึงดาวเสียงต่างชาติต่างภาษาที่ดับแสงไปแล้ว

[SILA]

           ศิลปินระดับชาติอย่างปู่ก็มีอัลบั้มร้องคู่ duet กับนักร้องใหญ่หลากหลายคน
เป็นอัลบั้ม(บันทึกเสียงในห้องอัด)ชุดสุดท้ายของปู่ ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
ได้รับรางวัลแกรมมี่ 8 สาขาซึ่งรวมทั้ง Album of the Year และ Record of the Year

ชวนฟังเพลงโปรดนี้ที่ปู่ร้องกับศิลปินสาวคราวลูกหลาน Diana Krall ครับ

You Don't Know Me

         

[visitna]

เวอร์ชั่นนี้บันทึกปี 1930

[visitna]

เรย์ เจ้าของสมญานาม the genius
มีเพลงที่น่าฟังมากมาย

[visitna]

ฟังเพลงจาก อัล กรีน (ยังไม่ใช่ดาวดับแสง)
ใน   ray charles tribute concert   

[SILA]

               ปู่ชื่นชอบเพลงคันทรีและมีผลงานเพลงที่ปู่นำเพลงคันทรีมาร้อง
นอกจากเพลง I Can't Stop Loving You แล้วอีกเพลงที่ชอบคือ

Crying Time ปู่ร้องเดี่ยวก่อนแล้วป้าบาร์บนำมาร้องคู่กับปู่ในเวลาต่อมา

       

[SILA]

เพลงเดียวกันนี้ ปู่ร้องกับนักร้องคันทรี Glen Campbell ดาวเสียงที่ยังไม่ดับแสงแต่
ก็ได้ดับเสียงไปแล้วหลัง goodbye tour คอนเสิร์ทอำลาแฟนานุแฟนเพลงเมื่อปีที่แล้ว
เนื่องจากอาการป่วยด้วย Alzheimer's disease

       

[เทาชมพู]

^
เป็นเรื่องน่าเศร้า และน่าเสียดายมากค่ะ 

ก่อนกระทู้จะตกหน้า ขอรำลึกถึงดาวเสียงดวงเล็กๆดวงหนึ่ง ที่รูปหล่อ เสียงก็หล่อ    น้ำเสียงเขาน่าจะพาเขาไปได้ไกลมากกว่านี้   แต่โอกาสก็จำกัดให้เขาทำได้แค่พากย์เสียงของดาราชายรูปหล่อที่ร้องเพลงไม่ได้   
อย่างในหนังเพลงอมตะ My Fair Lady  เขาพากย์เสียงร้องของเจอเรมี เบร็ทท์  ดาราอังกฤษรูปหล่อที่รับบทเฟรดดี้ หนุ่มไฮโซผู้มาหลงรักนางเอกบุษบาริมทาง      ในเพลงที่ขึ้นชื่อไปทั่วโลก  On the Street Where You Live 
มีแฟนหนังน้อยคนนักจะรู้ว่าเจ้าของเสียงตัวจริง คือ Bill Shirley  หาใช่ Jeremy Brett ไม่

[เทาชมพู]

บิลพากย์เสียงของเจ้าชายฟิลิป พระเอกในการ์ตูนคลาสสิคของวอลท์ ดิสนีย์ เรื่อง The Sleeping Beauty (1959)



บิลเกิดเมื่อปี  1921 ที่เมืองอินเดียนาโปลิส รัฐอินเดียน่า  ถึงแก่กรรมเมื่อ  1989 อายุ 68 ปี

[เทาชมพู]

พูดถึงดาวเสียงผู้อาภัพ นอกจากบิลล์ เชอร์ลี่แล้ว ยังมีสาวน้อยอีกนางหนึ่งที่มีเสียงสวรรค์ แต่กลับชื่อเสียงเงียบสนิท  ทั้งๆเสียงของเธอดังทะลุฟ้าเป็นอมตะมาจนทุกวันนี้

ย้อนหลังไปเมื่อค.ศ. 1937 หรือพ.ศ. 2480   วอลท์ ดิสนีย์ตัดสินใจสร้างการ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรกในโลกขึ้น คือ Snow White  เขาต้องการหญิงสาวที่เสียงใสหวานเหมือนเด็ก  และร้องเพลงได้เสียงสูงเพราะพริ้งเหมือนโอเปร่า  มาพากย์เสียงตัวสโนไวท์ในเรื่อง  ตลอดจนร้องเพลงหลายเพลง
วอลท์กำหนดว่าต้องเป็นคนหน้าใหม่ ไม่เอานักร้องอาชีพที่เสียงคุ้นหูคนดูเสียแล้ว     เขาติดต่อไปที่ครูสอนดนตรีคนหนึ่งชื่อกีโด คาเซลอตติ เพื่อถามว่ามีลูกศิษย์คนไหนเข้าตาบ้างหรือไม่     คาเซลอตติก็เลยส่งตัวลูกสาวคนเล็กอายุ 18 ชื่ออาดริอานา มาให้ทดสอบเสียง   
วอลท์ ดิสนีย์พอใจเสียงของอาดริอานาทันที    เธอก็เลยกลายเป็นสโนไวท์หลังม่านนับแต่วันนั้น      เมื่อการ์ตูนเรื่องนี้ออกฉาย กลายเป็นความมหัศจรรย์ของวงการหนัง  ประสบความสำเร็จล้นหลาม     สโนไวท์ก็กลายเป็นการ์ตูนอมตะ   เสียงสวรรค์ของอาดริอานาจึงพลอยอมตะไปด้วย   
แต่...เธอไม่เคยได้ร้องเพลงนำในหนังเรื่องไหนอีกเลย     มีแต่เรื่อง Wizard of Oz ที่ได้ร้องออกมานิดหน่อย  จากนั้นทั้งชื่อและเสียงของเธอถูกกลืนหายไปราวกับไม่มีตัวตน

[เทาชมพู]

หลังจากการ์ตูนสโนไวท์ดังบันลือโลก   แจ๊ค เบนนี่ อยากได้สาวน้อยอาดริอานาไปออกรายการวิทยุของเขา   แต่วอล์ท ดิสนีย์ปฏิเสธเด็ดขาด   เขาถือลิขสิทธิ์เจ้าของเสียงของเธอในการ์ตูนเรื่องนี้  เขาไม่ยอมให้เธอไปใช้เสียงของสโนไวท์ที่ไหนอีก     หลังจากนั้นเขาไม่ได้จ้างเธออีก    เธอก็เลยเงียบหายไปจากวงการหนัง  โดยไม่มีใครรู้จัก

ความอาภัพไม่ได้มาหนเดียว    เมื่อจ้างเธอมาร้องเพลง   วอล์ท ดิสนีย์ตกลงจ้างเธอด้วยราคาวันละ $  20   กว่าจะอัดเทปเพลงเสร็จเรื่องเธอก็ทำงานได้เงินรวมทั้งหมด $970   เบ็ดเสร็จแค่นั้น      การ์ตูนเรื่องนี้ออกฉายกี่พันกี่หมื่นครั้งเธอก็ไม่เคยได้ส่วนแบ่ง    ต่อมาเมื่อเพลงในสโนไวท์ผลิตเป็นแผ่นเสียง   หนังออกฉายทางทีวี    มีการผลิตเป็นเทปคาสเส็ตต์   เป็นเทปวิดีโอ ฯลฯ รวมแล้วทำเงินมหาศาลให้บริษัท     อาดริอานาก็ไม่เคยได้ส่งแบ่งจากเสียงเธอที่ดังไปทั่วโลกแม้แต่ดอลล่าร์เดียว
เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า แม้แต่เวลาไปดูหนังสโนไวท์ในโรง  เธอก็ต้องจ่ายค่าบัตรเอง   ดิสนีย์ไม่เคยแม้แต่จะให้บัตรฟรีสักใบ

เธอนำเรื่องขึ้นฟ้องศาล เพื่อขอส่วนแบ่งจากเสียงของเธอเพิ่มจาก $970 ที่เคยได้รับ    แต่ศาลตัดสินให้เธอแพ้คดี

[เทาชมพู]

ในค.ศ. 1967  สามสิบปีให้หลังจากที่พากย์เสียงสโนไวท์    อาดริอานามีโอกาสบันทึกเทปเสียงสนทนาสโนไวท์อีกครั้งในนิทรรศการที่จัดในงาน Expo '67 ในงานที่แคนาดา    ในงานนี้มีจัดให้เด็กๆโทรศัพท์สนทนากับตัวละครการ์ตูนดิสนีย์ที่พวกเขาชื่นชอบได้ เช่นมิกกี้เมาส์ โดนัลด์ ดั๊ก และพิน็อคชิโอ     ยุคนั้นยังไม่มีวิดีโอ   มีแต่หนังโรงและทีวี   บริษัทดิสนีย์นำสโนไวท์ออกฉายทั่วอเมริกาและแคนาดาเป็นรอบที่ 5

บ้านของอาดริอานาเต็มไปด้วยตุ๊กตาสโนไวท์   เธอจำบทได้ทุกตอนทุกคำพูด   แม้แต่โทรศัพท์ตอบอัตโนมัติที่บ้านก็เป็นเพลง I Wish จากเสียงของเธอในการ์ตูนเรื่องนี้

อาดริอาน่าไปยึดอาชีพนักร้องโอเปร่า  ดับเสียงไปเมื่อค.ศ. 1997 ด้วยโรคมะเร็งปอด

[เทาชมพู]

อาดริอาน่าไปออกรายการวาไรตี้ของจูลี่ แอนดรูส์ ในปี 1972

[เทาชมพู]

เมื่อเล่าถึงเจ้าของเสียงสโนไวท์ ก็ทำให้นึกถึงเจ้าของเสียงการ์ตูนเรื่องดังต่อจากสโนไวท์ขึ้นมาได้  คือ Cinderella (1950)  
เธอชื่อไอลีน วู้ดส์   เป็นสาวเสียงใสวัย 20  ที่เคยเป็นดาวเสียงวิทยุมาก่อนจะก้าวสู่วงการหนัง      ศิลปินผู้ร่วมงานกับดิสนีย์รู้จักเธอก็เลยขอให้ร้องอัดแผ่นเพลงของเขา แล้วนำมาให้นายฟัง  
เมื่อดิสนีย์ได้ยินเสียงร้องหวานจับใจของไอลีน ก็ตกลงจ้างเธอพากย์เสียงซินเดอเรลลาทันที  ในเรื่องนี้ ไอลีน ต้องร้องเพลงหลายต่อหลายเพลง รวมทั้งเพลงต้นเรื่อง  A Dream Is A Wish Your Heart Makes

[เทาชมพู]

http://www.youtube.com/watch?NR=1&v=8l-vJ4fdac8&feature=endscreen

การ์ตูนซินเดอเรลลาเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก  เสียงของซินเดอเรลลาก็กลายเป็นหนึ่งในเสียงคลาสสิคของการ์ตูนดิสนีย์  แต่ว่าไอลีน วู้ดส์ หายไปนอกกระแสความดัง    เพราะเธอเลือกที่จะหันหลังให้วงการไปเป็นแม่บ้านดูแลลูกๆ เมื่อลูกคนที่สามเกิด     ไม่ได้กลับมาอีก
ไอลีนถึงแก่กรรมเมื่อค.ศ. 2010  ด้วยวัย 81 ปี    เธอป่วยเป็นอัลไซเมอร์ก่อนเสียชีวิต   สูญเสียความทรงจำโดยสิ้นเชิงว่าเธอเคยเป็นซินเดอเรลลา  แต่เมื่อใดที่ได้ยินเพลงที่เธอร้องในการ์ตูนเรื่องนี้   โดยเฉพาะเพลง  A Dream Is A Wish Your Heart Makes  เธอจะหายกระวนกระวาย  และรู้สึกเป็นสุข

[เทาชมพู]