เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 5158 เต้นกินรำกิน มีที่มาอย่างไร
bahamu
อสุรผัด
*
ตอบ: 38


 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 11:19

สำนวนนี้มีที่มาแต่สมัยใด มีพัฒนาการอย่างไร มีสำนวนที่เกี่ยวข้องเช่น กินบุญเก่า , รถด่วน เรือเมล์ ยี่เก ตำรวจ คบไม่ได้

โรงเรียนที่สอนนาฏดุริยางคศาสตร์แห่งแรกคือ โรงเรียนทหารกระบี่หลวงหรือโรงเรียนพรานหลวงที่สวนมิสกวัน มีที่มาอย่างไร
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 11 ก.ย. 12, 14:02

ไม่ทราบจริงๆว่าเกิดขึ้นเมื่อไร แต่คิดว่าเป็นสมัยรัตนโกสินทร์นี้เองค่ะ
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 11 ก.ย. 12, 18:03

โรงเรียนพรานหลวงนั้นเล่าต่อๆ กันมาว่า เมื่อรัชกาลที่ ๖ เสด็จกลับจากอังกฤษแล้ว  ขณะยังทรงเป็นสมเด็จพระบรมฯ และประทับอยู่ที่พระราชวังสราญรมย์
วันหนึ่งเสด็จฯ กลับจากทรงปฏิบัติพระราชกิจกลับมาถึงพระราชวังแล้ว  แต่บรรดามหาดเล็กเด็กๆ ที่ทรงชุบเลี้ยงไว้หาทราบไม่ว่า เสด็จฯ กลับเข้ามาแล้ว
จนเหลือบไปเห็นทูลกระหม่อมประทับยืนอยู่ที่ประตูห้องซึ่งกำลังเล่นโขนเป็นลิงเป็นยักษ์โดยสวมหัวโขนขนาดเล็กไว้บนศีรษะ  เมื่อความทราบฝ่าละอองพระบาท
ว่าเด็กๆ ทีทรงชุบเลี้ยงไว้นั้นชอบเล่นโขน  จึงทรงขอครูโขนและครูดนตรีมาจากเจ้าพระยาเทเวศวงศ์วิวัฒน์มาฝึกซ้อมบรรดามหาดเล็กเด็กๆ จนได้ออกโรงแสดงใน
นาม "คณะโขนสมัคเล่น" ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็น "คณะโขนบรรดาศักดิื" 

เมื่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว  ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวงคือวชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบันขึ้น  แล้วโปรดให้มหาดเล็กเด็กๆ
ที่ยังอยู่ในวัยเล่าเรียนไปเรียนต่อที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง  พร้อมกันนั้นก็ได้ทีกระแสพระบรมราชโองการดำรัสสั่งแก่เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ผู้เป็นกรรมการจัดการ
ของโรงเรียนนั้นว่า มหาดเล็กเด็กๆ ที่โปรดให้ไปเรียนที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงนั้นเคยโขนกันมาก่อน  เมื่อไปอยู่ที่โรงเรียนนั้นก็ให้ฝึกหัดต่อไปเพราะวิชานี้กำลังจะสูญ
อยู่แล้ว  นักเรียนมหาดเล็กหลวงในยุคนั้นจึงได้ฝึกโขนกันมาตั้งแต่แรกตั้งโรงเรียนใน พ.ศ. ๒๔๕๓

ต่อมานักเรียนมหาดเล็กหลวงที่เคยฝึกโขนมานั้นจบการศึกาาและได้ออกรับราชการกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว  จึงได้มีพระราชดำริให้จัดตั้งโรงเรียนทหารกระบี่หลวงขึ้นใน
กรมมหรสพ  เพื่อฝึกหัดเยาวชนให้เรียนรู้วิชานาฏดุริยางคศาสตร์  ครูที่สอนก็ใช้ข้าราชการในกรมโขนหลวง  กรมพิณพาทย์หลวง  และกองเครื่องสายฝรั่งหลวง 
นักเรียนคนใดสนใจเรียนวิชาไหนก็เลือกเรียนในแผนกวิชานั้นๆ  โรงเรียนทหารกระบี่หลวงนี้ตั้งอยู่ที่โรงละครหลวงสวนมิสกวัน  แต่ที่พักของนักเรียนอยู่ที่วังจันทรเกษม
ตรงที่เป็นคุรุสภาในปัจจุบัน  เช้าเรียนวิชาสามัญ  บ่ายไปเรียนวิชานาฏดุริยางคศาสตร์ 

นอกจากการเรียนวิชาสามัญและนาฏดุริยางคศาสตร์แล้ว  นักเรียนทหารกระบี่หลวงยังต้องเรียนวิชานักรบ  โดยในชั้นต้นรวมกองปนอยู่กับกองทหารกระบี่หลวงซึ่งเป็น
ข้าราชการในกรมมหรสพ  ต่อมาในตอนบ่ายปลาย พ.ศ. ๒๔๕๗ จึงโปรดเกล้าฯ ให้แยกทหารกระบี่ชั้นเด็กออกเป็นนักเรียนทหารกระบี่หลวง  แล้วยกมาสังกัดในกรม
นักเรียนเสือป่าหลวงร่วมกับลูกเสือหลวงโรงเรียนมหาดเล็กหลวง และโรงเรียนราชวิทยาลัยที่ยกขึ้นเป็นเสือป่าหลวง  และเมื่อโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามกองทหารกระบี่หลวง
เป็นกรมเสือป่าพรานหลวงแล้ว  ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามโรงเรียนทหารกระบี่หลวงและกองนักเรียนทหารกระบี่หลวงเป็นโรงเรียนพรานหลวง และกองนักเรียนพรานหลวง

คำว่า "กระบี่" นี้ทรงหมายถึง พลลิง  มิใช่อาวุธ
บันทึกการเข้า
นอแรด
มัจฉานุ
**
ตอบ: 99


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 04 ต.ค. 12, 21:09


เรื่องเต้นกิน รำกิน นั้นผมไม่ทราบครับ แต่พอเดาเรื่อง ....รถด่วน เรือเมล์ ยี่เก ตำรวจ ไม่ควรคบนั้น

ขอเดาว่า ผู้คนที่ทำงานในแวดวงนี้ มักพบปะกับฝูงชนมากหน้าหลายตาในชีวิตประจำวัน
คนที่เป็นผู้ชาย ก็มักจะเจอสาวๆ สวยๆ ที่ถูกใจ ก็จีบไปเรื่อย
ส่วนคนทำงานในอาชีพนี้ที่เป็นหญิง มักจะโดนผู้ชายจีบไม่ซ้ำแต่ละวัน ทำให้ถึงแม้แต่มี แฟน หรือสามีแล้วมีใจไข้วเขว เพลิดเพลินไปวันๆ
ทำให้คนโบราณเตือนเอาไว้ ว่าคนที่ทำงานเหล่านี้มักจะมีโอกาศไม่ซื่อสัตย์กับคู่ของตนได้
 
ซึ่งในสมัยนี้ ต้องเติม อาชีพ แอร์ และกับตัน เครื่องบินไปด้วย กระมังครับ
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 06 ต.ค. 12, 08:50

อ้างถึงคำพูดในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นสำนวนเมื่อ ร.ศ. ๑๐๙ เท่ากับ พ.ศ. ๒๔๓๓

อีกประการหนึ่งคนที่เปนตัวลครอยู่เอง
รวบรวมกันขึ้นเปนหมู่หมวด แล้วหาครูมาฝึกสอนหัด
ซ้อมกันเปนลคร เพื่อประโยชน์จะได้เที่ยวเล่นหาเงิน
เมื่อหัดซ้อมกันเปน แล้วก็ออกเล่นงาน โกนจุกบ้าง
งานแก้สินบนบ้าง ตามโรงกงสีบ้าง ถ้าได้เงินงานมา
ก็แบ่งปันกันตามสมควร ลครพวกเช่นว่านี้มีนาย
เนตรนายต่ายเปนตัวอย่าง อย่างนี้จึ่งเปนลครขึ้นได้
โรงหนึ่ง ก็ลครจะตั้งขึ้นได้เพราะอาไศรยความสามประ
การเช่นว่ามานี้ จึ่งจะเปนโรงขึ้นได้โรงหนึ่ง

เพราะเช่นนั้นจึ่งเห็นว่าการที่กล่าวมานั้น ถ้าจะ
เอาเข้าเทียบดูกับกาลสมัยเดี๋ยวนื้ หรือกาลเบื้องน่า
ต่อไปก็ดี ก็จะเห็นได้ว่าลครคงจะต้องน้อยไปเปนแท้
ด้วยพระราชบัญญัติเกษียณอายุซึ่งทรงพระกรุณาโปรด
เกล้า ฯ ตั้งขึ้นนั้น เปนหลักเปนพยานใหญ่ในการที่
ลครจะน้อยลง เพราะผู้ซึ่งจะมีลครนั้นต้องอาไศรย
ช่วยไถ่คนมาเปนลครโดยมาก ที่จะได้เปล่านั้นน้อย
ก็เมื่อคนไม่มีค่าตัวเปนทาษเขาแล้ว เหตุใดมันจะมา
ยอมรำผริ่ง ๆ อยู่เล่า ผู้ที่มีเงินตั้งหน้าไว้ ว่าจะช่วย
คนมาหัดลครจะสมหวังละหรือ

ว่าอีกอย่างหนึ่งผู้ซึ่งไม่ได้เปนทาษอยู่ในบัง
คับเขา ที่คิดตั้งโรงเปนลครขึ้นเองเช่นนายเนตร
นายต่ายนั้น ก็เห็นจะไม่มีต่อไปอีกเปนแน่แล้ว
ด้วยการหากินอย่างนี้ดูไม่สู้ชอบกลน่าอายอยู่ เพราะเปน
การเต้นกินรำกิน
อีกประการหนึ่งคนแต่ก่อนขวน
ขวายหากินในเรื่องลครนี้ ก็เพราะโรงกงสีของขุน
พัฒน์ได้อุดหนุน ด้วยแต่ก่อนโรงกงสีตั้งอยู่ทุก ๆ ตำ
บล แต่ในนครนี้ก็มีหลายตำบล เจ๊กต้องหาลครเล่น
อยู่ให้ครึกครื้นในบ่อนของตัวเสมอ เพราะเปนการขุน
พัฒน์แข่งประชันกันอยู่ในตัว ถ้าบ่อนใดมีลครเล่น
ตึง ๆ อยู่แล้ว ผู้คนที่เล่นเบี้ยถึงบ้านไกลก็ต้องมา
ด้วยเสียงกลองดูดให้เดิน นี่โรงกงสีหรือก็ตั้งน้อย
ตำบลลงแล้ว การที่หาละเม็งละครไปเล่นก็จะน้อย
ลง เดินไปวันยังค่ำไม่ค่อยได้ยินเสียงกลองละคร
ตามโรงบ่อนเลย
บันทึกการเข้า
Sujittra
พาลี
****
ตอบ: 326


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 06 ต.ค. 12, 09:20

สำนวนนี้มีที่มาแต่สมัยใด มีพัฒนาการอย่างไร มีสำนวนที่เกี่ยวข้องเช่น กินบุญเก่า , รถด่วน เรือเมล์ ยี่เก ตำรวจ คบไม่ได้

โรงเรียนที่สอนนาฏดุริยางคศาสตร์แห่งแรกคือ โรงเรียนทหารกระบี่หลวงหรือโรงเรียนพรานหลวงที่สวนมิสกวัน มีที่มาอย่างไร

เคยได้ยินแต่ รถไฟ เรือเมล์ ยี่เก ตำรวจ เพิ่งทาบว่าสมัยก่อนก็มีรถด่วนแล้ว หรือวาาผมเข้าใจผิดไปครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.05 วินาที กับ 19 คำสั่ง