siamese
|
ความคิดเห็นที่ 60 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 07:29
|
|
สถานทูตอังกฤษที่ถนนเจริญกรุงนั้นเป็นที่ดินที่รัชกาลที่ ๔ ทรงซื้อตารางวา ๑ บาท เป็นจำนวนเงิน ๑๖,๐๐๐ บาทเพื่อให้เป็นที่ทำการสถานกงสุลอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้ยังมี "คดีนายเส็ง" ที่ขายที่ดินให้อังกฤษเช่า ๙๙ ปี แต่ต้องพระราชอาญาเฆี่ยนจนตายที่บางคอแหลม
ในภาพเป็นสถานกงสุลอังกฤษถ่ายจากถนนเจริญกรุงไปยังแม่น้ำ จะเห็นเสาธงไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่พร้อมธงยูเนี่ยนแจ๊ค ซึ่งหันหน้าออกไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ซึ่งนายเฮนรี่เคยทำงานอยู่ที่นี่มาก่อน เสาธงไม้นั้นได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ ๔ ภายหลังหักโค่นไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 61 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 07:34
|
|
เมื่อแรกตั้งสถานกงสุลอังกฤษ โดยซื้อที่ดินจากชาวมอญและพม่าที่เจริญกรุงนั้น ในตอนแรกสมัยรัชกาลที่ ๔ ด้านหน้าคืออาคารริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภายหลังเมื่อถนนมีความสำคัญมากขึ้น วิถีการสัญจรก็เปลี่ยนแปลง มีการตั้งอนุสาวรีย์ควีนวิคตอเรียสำริด หันหน้าออกถนนเจริญกรุง รองรับรถราง รถเจ๊ก และรถยนต์ แทน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 62 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 09:32
|
|
กำลังอยากได้ภาพประกอบอยู่พอดีค่ะ นับว่าตะเกียงวิเศษนี้ขลังจริง ไม่ต้องถู ก็เนรมิตมาให้ได้ทันใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 63 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 14:01
|
|
เฮนรี่ อาลาบาศเตอร์เข้ามาในสยามครั้งแรก เป็นหนุ่มอายุเพียง 21 ปี ทีแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ทำงานที่นี่ แต่มาในฐานะนักเรียนภาษาไทย เพื่อจะนำกลับไปรับราชการที่อังกฤษในฐานะล่าม เพราะในรัชกาลที่ 4 ยังไม่มีคนไทยคนไหนพูดภาษาอังกฤษได้ ในบทความเขียนว่า ภาพบ้านเรือนและสภาพแวดล้อมที่เห็นคนทำให้เฮนรี่ใจฝ่ออยู่ไม่น้อย แต่ดิฉันคิดว่าไม่จริง ถ้าหากว่าเจ้าตัวใจฝ่อจริงคงไม่อยู่ในสยามมาอีกยาวนานหลายปี จนกระทั่งได้เข้าร่วมขบวนเสด็จไปดูสุริยุปราคาที่หว้ากอเมื่อพ.ศ. 2411 เฮนรี่เที่ยวผูกมิตรกับปัญญาชนสยามในยุคนั้น และสนใจศึกษาพุทธศาสนาจนเขียนหนังสือธรรมะได้ เรื่องนี้คุณนวรัตนเล่าไว้ข้างบนแล้ว จะไม่กล่าวซ้ำนะคะ
ในเมื่อเฮนรี่เป็นนักศึกษาหนุ่มที่ฉลาดปราดเปรื่อง มีความรู้หลายด้าน จึงได้รับแต่งตั้งเป็นรองกงสุล ผลงานของรองกงสุลหนุ่มรายนี้ ข้ามสาขาจากการทูตไปถึงงานช่างสำรวจ เพื่อตัดถนนเจริญกรุง คนเขียนบรรยายว่าวันแล้ววันเล่า เฮนรี อาลาบาศเตอร์ต้องลุยสำรวจไปตามสวนผลไม้ ทุ่งนา บุกน้ำลุยโคลนไปตามพื้นที่ต่างๆเพื่อจะวางเส้นทางถนนสายใหม่ ด้วยผลงานนี่เอง เฮนรี่จึงเป็นที่ถูกพระอัธยาศัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนได้รับพระบรมราชานุญาตให้เข้าไปอ่านหนังสือในหอสมุดหลวง(หรือว่าสมัยนั้นชื่ออะไรก็ตาม ฝากตรวจสอบด้วยค่ะ) ก็นับว่าความลำบากลำบนของฝรั่งคนนี้ยังประโยชน์ให้สยามอย่างมหาศาล
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 ก.ย. 12, 22:39 โดย เทาชมพู »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
piyasann
|
ความคิดเห็นที่ 64 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 15:46
|
|
อลาบาสเตอร์ ทำงานอยู่สถานฑูตอังกฤษเจริญก้าวหน้าดังที่ อ.เทาชมพพูกล่าว ........ ต่อมาเกิดความกับ กงซูล น๊อกซ์ จึงลาออกไปศึกษาต่อ วิชากฏหมาย (เพิ่มเติม) แล้วกลับมาเวียนวนอยู่ แถวเอเชีย จนเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จประพาสต่างประเทศ จึงได้พบกับ อลาบาสเตอร์ อีกครั้ง และได้ทรงว่าจ้างให้เข้ารับราชการในบางกอก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ..... ในวิกิฯ เขาว่า อย่างนั้น แต่ผมไม่แน่ใจว่า พ.ศ. ๒๔๑๖ ในหลวง รัชกาลที่ ๕ เสด็จฯ ประพาสที่ไหนบ้าง และ ได้พบกับอลาบาสเตอร์ ที่สิงค์โปร์ หรือที่อื่น ? ตามข้อมูล คุณวิกิฯ ..... ในเว็บไซด์ http://valuablebook.tkpark.or.th/image/MT/mu.html ว่า ในหลวง รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาส แหลมมลายู สิงค์โปร์ ชวา ครั้งแรก ปี ร.ศ. ๙๘ (พ.ศ. ๒๔๑๓) และ อีกครั้งในปีถัดไป เสด็จฯ ไปถึงอินเดีย (พ.ศ. ๒๔๑๔) และครั้งสุดท้าย ในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ จึงไม่แ่น่ใจว่า ได้ทรงพบอลาบาสเตอร์ ที่ไหน ? อย่างไร ? กลับมาเมืองไทยอีกครั้ง อลาบาสเตอร์ เข้าทำงานเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ ในหน้าปกหนังสือ WHEEL OF THE LAW ระุบุว่า ท่านดำรงตำแหน่งเป็น Interpreter of Her Majesty’s Consulate General in Siam แปลว่ากระไร โปรดช่วยแปลให้ทราบด้วยเถิด......
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 65 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 17:18
|
|
คุณปิยะสารณ์ที่นับถือ
Her Majesty's Consulate General in Siam คือ สถานกงสุลของสมเด็จพระบรมมราชินีนาถ(แห่งเกรทบริเตน)ประจำสยาม
ตามอ่านเรื่องชองอาลาบาสเตอร์มานานแสนนานแล้ว ข้อมูลหลายอย่างก็ซ้ำซ้อนและสับสนสำหรับคนที่เพิ่งเคยเห็น
หนังสือของสกุลเองที่ออกมาตั้งสามสิบกว่าตอน ก็มีข้อมูลแย้งกันบ้าง ข้อมูลบางอย่างก็หายไป หาอยู่หนึ่งวันจนไปเจอว่าเป็น
ตอนที่ต้องเสียสตางค์อ่านเสียแล้ว เช่นหนุ่มน้อยอาลาบาสเตอร์เขียนถึงลูกผู้น้องเรื่องการเดินทางหลายฉบับ เรื่องปาลาเซียทนความร้อน
ในสยามไม่ได้ แต่มีตอนใหม่หลุดออกมา อันนี้อาลาบาสเตอร์เล่าให้ญาตืฟังว่า ปาลาเซียมีเพื่อนๆแล้ว แต่กลุ่มของเธอไม่ไปตามธิดากงสุลเลย
ปาลาเซียก็เขียนไปบอกญาติว่า สามีทำงานหนักมาก สตางค์ก็น้อย(ต้องรีบเล่าไว้ เดี๋ยวหายไปอีก)
เรื่อง The Wheel of the Law นั้น เพิ่งเล่าไปไม่นานมานี้ว่า อาลาบาสเตอร์แปลมาเป็นบางส่วน และรวมมาจากหนังสือหรือบทความ
เรื่อง Modern Buddhist
"The first part is a revised and enlarged edition of the "Modern Buddhist," the short essay in which I, last year , introduced to European readers a summary of an idea of an eminent Siamese nobleman on his own and other religion".
"The second part; which illustrates the traditionary phrase, is a Buddhist Gospel, or "Life of Buddha," commencing with events previous to his last birth and ending with his attainment of the Buddhahood."
ดูได้ที่ Preface xiv และ xv
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 66 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 17:32
|
|
อาลาบาสเตอร์นั้น ขยันและเรียนหนังสือสูง จะทำงานกับน๊อกซ์ก็คงลำบากใจเต็มประดา
เพราะน๊อกซ์นั้นเรียนหน้งสือคงไม่จบมัธยม และต่อสู้ชีวิตมาอย่างสาหัส ขนาดเดินเท้าหนีเจ้าหนี้เล่นม้าเข้าเมืองไทยมาจนได้
เม่ื่อน๊อกซ์กลับไปอังกฤษและได้ยศปลอบใจ ได้ไปอยู่ที่แถบท่องเที่ยวเชิงเขา ไม้ได้เอาเมียเมืองไทยไปด้วย แต่ทิ้งสตางค์ไว้มาก
แคโรไลน์ลงจากคานได้ก็เพราะแม่มีเงินมาก แต่แคโรไลน์ปาเข้าไปจะสามสิบแล้ว ในสมัยโน้นคงดูแก่มาก สมัยสาวๆสวยคมขำ
สาวครึ่งชาตินั้นเมื่อสาวก็แหม่มดีๆนี่เอง เมื่อสูงอายุก็ดูเหมือนหญิงแขก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 67 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 17:52
|
|
ยังไม่ได้ค้นเรื่องตอนอาลาบาสเตอร์กลับไปอังกฤษ ว่าจะไปเรียนกฎหมายน่ะได้เรียนหรื่อไม่
จำไม่ได้ค่ะ คิดว่าไม่มีข้อมูล แต่มีเอกสารบอกไว้ว่าอาลาบาสเตอร์จะกลับมาต่อสุ้ทาง"กฎหมายกับน๊อกซ์"
เรื่องนี้ถ้าจะเล่าแบบฝอย ก็จะสนุกมาก เพราะได้ให้ลิ้งค์ให้หลายท่านไปแล้ว
การที่อาลาบาสเตอร์มีภรรยาเป็นคนไทย และมีลูกอีกสองคน คิดว่าในเวลานั้นเป็นเรื่องปกปิด เพราะลูกไม่ได้รับมรดกเลย
ต้องต่อสู้เลี้ยงชีวิตด้วยความบากบั่นสาหัส ภรรยาแหม่มรับพระราชทานเงินเลี้ยงชีพตลอดชีวิต บุตรอีกสองคน(ตายตั้งแต่เด็กเสียคน)ก็
ได้รับพระราชทานค่าเล่าเรียนจนเรียนจบ ความคงไม่ทราบถึงพระเนตรพระกรรณ ของที่เอาไปเลหลัง
ก็เกลี้ยงบ้าน ตั้งแต่ม่าน พรมแขวน(คงสมบัติเก่าเพราะเมืองไทยร้อนอบอ้าว) กระป๋อง สายยางรดน้ำ
หนังสือพิมพ์ในบอสตันก็เขียนไว้ในเดือนต่อมาหลังฝังศพว่า อาลาบาสเตอร์ทำงานได้ ไม่เคยวางท่าเป็นคนมีความรู้
แต่ไม่ค่อบป๊อบปิวล่าร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 68 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 18:54
|
|
สนุกมากเลยครับคุณวันดี
แปลว่า นายอาลาบาศเตอร์มาเมืองไทยพร้อมภรรยาแหม่มหรือครับ ผมไม่ทราบเรื่องเลย ยังงงว่าทำไมประวัติบอกว่าลูกเมียลำบากมาก ทั้งๆที่พระราชทานเงินเลี้ยงชีพให้ภรรยาหม้ายปีละ๓๐ชั่ง หรือ๓๐๐ปอนด์ ส่วนบุตรพระราชทานปีละ๒๐ชั่ง หรือ๒๐๐ปอนด์ อึมม์ มันเป็นยังงี้นี่เอง
ข้อสงสัยอีกประการหนึ่ง ทำไมนายอาลาบาศเตอร์ถึงไม่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระหรือพระยากับเขาบ้าง สมัยโน้นฝรั่งที่มารับราชการได้รับกันก็หลายคน มีท่านผุ้รู้ท่านใดพอจะทราบไหมครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
piyasann
|
ความคิดเห็นที่ 69 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 20:42
|
|
ขอบคุณ คุณ Wandee ที่กรุณาแปล อย่างกระจ่าง
อลาบาสเตอร์ เมื่อเข้าทำงานกับฝ่ายสยามแล้ว ..... อ่านจากเอกสารหลายฉบับ ท่านคงทำงานเป็นตัวจักรสำคัญจริง เพราะต้องทำงานออฟฟิต(ของในหลวง) ออกสำรวจทำถนน วางสายโทรเลข และต้องจัดสวนที่สวนสราญรมย์ อีกด้วย (ทำงานหนัก คุ้มค่าเงินจ้าง และบ้านพระราชทาน )
เมื่อมีคดี พระปรีชากลการ ลูกเขยตา น๊อกซ์ ก็ขู่ฟ้อ ๆ ว่าจะฟ้อง รัฐบาลอังกฤษ ให้เอาเรือรบมาบอมสยาม จนในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงตั้ง ราชฑูตพิเศษ ได้แก่ เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ และ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง - ชูโต) ไปอังกฤษเป็นการด่วน เพื่อชี้แจง ให้รัฐบาลของกวีนวิคตอเรียทราบ ดีที่ท่านรัฐมนตรีต่างประเทศ ขณะนั้น (Lord Salisbury) ไม่ตื่นตูมตาม กงซูล .......
คนที่เป็นคนคิดแนะนำ การตั้งราชฑูตพิเศษนี้ ก็คือ นายเฮนรี่ อลาบาสเตอร์ นั้นเอง ทำให้เรื่องในเมืองไทย ไม่ลุกลามเป็นเรื่องระหว่างประเทศ เพราะพ่อตา-ลูกเขย (ผมว่า เรื่องนี้ อลาบาสเตอร์ ปฏิบัติตนอย่างดีเยี่ยม ไม่นำเรือ่งส่วนตัว มาปะปนกับเรือ่งงาน ดังเช่นท่านกงซูล แม้จะมีความกันมาก่อน)
นอกจากราชการ ร้อน และ แรง แล้ว ท่านอลาบาสเตอร์ ยังเป็นที่ปรึกษาเรื่องย่อยๆ น่าปวดหัว ให้กับกระทรวงต่างประเทศของสยาม จุก จิก หลายเรื่อง ( เสนาบดีขณะนั้นคือ เสด็จในกรมเทวะวงศ์วโรปการ ซึ่งเป็นลูกศิษย์เรียภาษาอังกฤษกับอลาบาสเตอร์) เช่น เมื่อ บารอน สติลฟริด เข้ามาถ่ายรูปในเมืองไทย (มีประกาศขายรูปยาว ๓ เมตร ในสยามสไมย นั้นแหล่ะ) ลงท้าย ก็โมเมว่า รัฐบาลจ้างให้มาถ่าย แถมค่าถ่าย แพงฉิบฉิว ..... ต้องเรียกว่า เป็นที่ปรึกษา "ไม้จิ้มฟัน ยัง เรือรบ"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 70 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 20:50
|
|
ท่านผู้ใหญ่อธิบายว่า เป็นการใช้สอยส่วนพระองค์ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 71 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 20:52
|
|
ก่อนหน้าที่นายเฮนรี่จะมาสยาม ท่านได้สมัตรไปเป็นล่ามที่สถานกงสุลอังกฤษที่ประเทศจีน แสดงว่าท่านมีความรู้ความสามารถในด้านภาษาเป็นอย่างมาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 72 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 20:56
|
|
บิดามารดาของอาราบาสเตอร์นั้น สุขภาพอ่อนแอ เป็น T.B. ตายตามกันทิ้งลูกกำพร้าไว้สามคนตั้งแต่ลูกยังเล็ก
พี่ชายคนโตก็เสียชีวิตเป็น T.B. ตั้งแต่ยังหนุ่มเพิ่งแต่งงาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 73 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 21:18
|
|
สมัยนั้น ฝรั่งอยากจะไปผจญภัยต่อสู้โลกของคนด้อยพ้ฒนา มิชชันนารีล้วนอยากนำความเจริญไป
ให้คนเจริญขึ้นมากันทั้งนั้น จีนไม่ให้เข้าเมืองมาค้าขาย จึงเลยมาแอบ ๆ อิง ๆ แวะมาแจกหนังสือ
ศาสนาพิมพ์เป็นภาษาจีนกันในสยามกัน เรื่องของแจกคนจีนไม่แพ้ใคร จึงแย่งกันถึงลงไปในน้ำ
แล้วรับกระดาษไปปิดไว้ที่ประตู(ทำอะไรได้หลายอย่าง)
ข่าวที่บอสตันแจ้งมาว่า อาลาบาสเตอร์พูดและเขียนจีนไม่ได้แม้นแต่คำเดียว(ฉบับเดือนต่อมาค่ะ)
ตัวที่เก่งคือ ฮะรีปักส์ ลูกกำพร้าที่ไปเดินซื้อก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ไก่ และอะไรดีล่ะ....ผักกาด แบบต้องทำงานก็พูดเป็นไปเอง
พี่เขยเป็นคนสอนภาษาจีนและสอบภาษาจีนของล่าม ฮะรีปักส์ก็สอบได้อ่ะซี อ่า อายุ ๑๕ กระมัง
เรื่องฮะรีปักส์นี่ต้องเล่ากันได้อีกนาน เขาเสียดสีข้าราชการไทยไว้มาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 74 เมื่อ 11 ก.ย. 12, 21:20
|
|
เรื่องลูกเมียของเฮนรี อาลาบาศเตอร์ ท่านมี 2 ครอบครัวพร้อมกัน หลักฐานทางฝ่ายอังกฤษบันทึกว่ามีลูกชาย 3 คนกับคุณนายพาลาเซีย (สกุลเดิม ฟาเฮย์) ลูกชายคนแรกชื่อชาร์สล์ ชาลอนเนอร์ อาลาบาศเตอร์ เกิดเมื่อพ.ศ. 2412 หนึ่งปีหลังสิ้นรัชกาลที่ 4 ลูกชายคนที่สอง ชื่อเอ็ดเวิร์ด เพอร์ซี อาลาบาศเตอร์ เกิดในปีถัดมา คือพ.ศ. 2413 ลูกชายคนที่สาม ชื่อเออเนสต์ อาลาบาศเตอร์ เกิดเมื่อพ.ศ. 2415
ส่วนหลักฐานทางไทยบันทึกครอบครัวในสยามว่า ภรรยาคนไทยชื่อเพิ่ม มีบุตรชาย 2 คนชื่อทองคำและทองย้อย ทั้งสองรับราชการในสยาม ก้าวหน้าด้วยดีทั้งคู่ นายทองคำต่อมาคือมหาอำมาตย์ตรี พระยาวันพฤกษ์พิจารณ์ (ทองคำ เศวตศิลา) บิดาของ พลอากาศเอกสิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี ส่วนนายทองย้อย ต่อมาคือพระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง (ทองย้อย เศวตศิลา)
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 ก.ย. 12, 22:44 โดย เทาชมพู »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|