กรณีเจ้าอนุวงศ์ มีมุมมอง ๒ ด้าน ฝ่ายไทยถือว่าเจ้าอนุวงศ์เป็น
กบฎ แต่ฝ่ายลาวถือว่าเจ้าอนุวงศ์คือ
วีรบุรุษเรื่องเจ้าอนุวงศ์นี้ มหาสิลา วีระวงศ์ "นักปราชญ์ลาว" ได้เรียบเรียงหนังสือ "ประวัติศาสตร์ลาว" แล้วกล่าวถึงไว้ด้วย จะขอตัดตอนมาเสนอเพี่อเปรียบเทียบทัศนะกับ "ประวัติศาสตร์ไทย" ดังต่อไปนี้
ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นทางนครจัมปาสักคือ มีภิกษุรูปหนึ่งชื่อสา อยู่แขวงเมืองสระบุรี เติมกัมมัฎฐานมาพักอยู่ภูเจ็ดโง้ง แขวงจัมปาสัก ภิกษุสาได้แสดงตนเป็นผู้วิเศษว่าสามารถเรียกเอาไฟจากพระอาทิตย์มาให้เผาบ้านเผาเมืองได้ด้วยการทดลองให้คนเห็น โดยเอาแก้วส่องใส่ดวงอาทิตย์ แล้วเอาเชื้อไฟรองรับไว้ก็เกิดไฟไหม้สมจริง คนทั้งหลายจึงเชื่อและนับถือพระภิกษุสา พระภิกษุสาจึงจัดตั้งเป็นกองทัพมาตีเอาบ้านเล็กเมืองน้อยได้หลายเมือง แล้วเลยยกทัพมาตีเอานครจัมปาสัก เจ้าหมาน้อยเจ้านครจัมปาสักไม่ทันรู้ตัวก็แตกหนีเข้าป่า ภิกษุสาก็เข้ายึดเอาเมืองจัมปาสักได้
เจ้าพระยานครราชสีมากับพระโพธิสารราชเจ้าเมืองโขงได้ยกทัพมาตีอ้ายสา ฝ่ายอ้ายสาเก็บรวบรวมเอาข้าวของได้แล้วก็แตกหนีไปอยู่ที่ภูเขาย่าปุ เมืองอัตตะปือ
พระเจ้าแผ่นดินสยามได้ทราบจากหนังสือบอกของพระยานครราชสีมา จึงแต่งให้พระยามหาอำมาตย์เป็นแม่ทัพขึ้นมาตีอ้ายสา แต่จับอ้ายสาไม่ได้ จึงคุมเอาเจ้าหมาน้อยลงไปกรุงเทพฯ และเจ้าหมาน้อยก็เลยถึงแก่พิราลัยอยู่ในกรุงเทพฯ นั้นเอง ดังนั้นพระเจ้าแผ่นดินไทยจึงสั่งให้พระเจ้าอนุไปตามจับอ้ายสามาให้ได้
พระเจ้าอนุจึงให้เจ้าราชบุตรโย้ โอรสของพระองค์ยกทัพไปตีอ้ายสา และขับอ้ายสาได้ ส่งลงไปกรุงเทพฯ ด้วยความชอบอันนี้ พระเจ้าอนุจึงขอให้เจ้าราชบุตรได้เป็นเจ้านครจัมปาสักแทนเจ้าหมาน้อยตามแผนการของพระองค์ที่ได้กะไว้ในการจะกู้เอกราช เมื่อเจ้าราชบุตรได้เป็นเจ้านครจัมปาสักแล้วก็รีบจัดการเกณฑ์ไพร่พลขุดดินพูนกำแพงเมือง, สร้างหอโรง, ก่อกำแพงวัง และสร้างหอพระแก้วไว้เป็นที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาด้วย
พระเจ้าอนุวงศ์ เป็นนักรบผู้สามารถและเข้มแข็งผู้หนึ่ง ทั้งมีความรักชาติ รักอิสรภาพเป็นที่สุดพระองค์จึงพยายามคอยหาโอกาสที่จะปลดแอกจากความเป็นประเทศหัวเมืองขึ้นของไทยอยู่ตลอดมาในการที่พระองค์ทำการกู้อิสรภาพในคราวนั้น พระองค์คิดแต่เพียงจะกู้อิสรภาพฟื้นฟูประเทศให้กลับคืนเป็นเอกราชเท่านั้น มิได้คิดจะรบเอาประเทศไทยหรือรบรากับประเทศไทยเพื่อแก้แค้นแทนพระราชบิดา ดังนั้น พระองค์จึงสั่งให้เจ้าราชวงศ์ยกกองทัพลงไปกวาดต้อนเอาครัวคนลาวที่ไทยกวาดไปไว้เมืองสระบุรีคืนมาเวียงจันท์ ส่วนพระองค์ก็ลงไปกวาดเอาครอบครัวเมืองโคราช
ฝ่ายกรุงเทพฯ เมื่อได้ทราบว่าเจ้าอนุแข็งเมืองและยกพลลงไปกวาดเอาครอบครัวคนลาวคืนมาเวียงจันท์ จึงได้ยกกองทัพออกติดตามตีกองทัพพระเจ้าอนุและเจ้าราชวงศ์จนถึงเวียงจันท์ ท้ายที่สุดพระเจ้าอนุก็ถูกไทยจับได้ ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าน้อยเมืองพวนเชียงขวางและถูกส่งลงไปกรุงเทพฯ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ แล้วสิ้นพระชนม์ที่กรุงเทพฯ
กองทัพไทยตีได้นครเวียงจันท์ครั้งที่ ๒ ในรัชกาลของพระเจ้าอนุนี้ พระเจ้าแผ่นดินไทยองค์ที่ ๓ (พระนั่งเกล้า) ได้สั่งให้ทำลายนครเวียงจันท์หมด โดยให้รื้อทำลายกำแพงเมือง ตัดต้นไม้ลงให้หมด ไม่ผิดกับการทำไร่แล้วเอาไฟเผา นครเวียงจันท์ถูกไฟเผาเป็นเถ้าถ่าน พระพุทธรูปหลายร้อยหลายพันองค์ถูกไฟเผาจนละลายกองระเนระนาดอยู่ตามวัดต่าง ๆ วัดในนครเวียงจันท์เหลือเพียงวัดเดียวที่ไม่ถูกไฟไหม้คือวัดศรีสะเกษ
การที่พระเจ้าแผ่นดินไทยสั่งให้ทำลายเวียงจันท์ให้สิ้นซาก ก็เพื่อมิให้เวียงจันท์กลับคืนเป็นเมืองได้อีก แล้วให้ล้มเลิกอาณาจักรล้านช้างเวียงจันท์เสีย มิให้มีเมืองและเจ้าครองเมืองอีกต่อไป ราชวงศ์ล้านช้างเวียงจันท์จึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
นครเวียงจันท์ที่สวยงามอุดมสมบูรณ์จึงเป็นเมืองร้างตั้งแต่ปีนั้นมา ไทยได้ไปตั้งกองรักษาการณ์หรือกองข้าหลวงผู้ปกครองนครอาณาเขตดินแดนเวียงจันท์อยู่ที่จังหวัดหนองคาย และภายหลังได้ย้ายไปตั้งอยู่จังหวัดอุดรธานี เมื่อฝรั่งเศสมาได้เวียงจันท์แล้ว
จากคำนำเสนอ : การเมืองในอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ 