รำลึกถึงเทวาลัยถิ่นอักษร
Reminiscence of the Divine Abode
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ข้าพเจ้าสอบเข้าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ เหตุผลใหญ่ที่สอบเข้าคณะนี้ ก็คงเหมือนกับคนอื่น ๆ คือเป็นคณะที่คะแนนสูงสุด อีกประการหนึ่งในช่วงที่สอบเข้าข้าพเจ้าไม่ค่อยสบายจึงเลือกคณะที่ไม่ต้องสอบหลายวิชา และไม่ต้องสอบวิชาพิเศษ ถ้าสบายดีคงต้องเลือกคณะที่มีวิชาพิเศษ เช่น โบราณคดี หรือ ครุ-พละเอาไว้ด้วย แต่อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าคงต้องติดอักษรฯ เพราะคะแนนออกมาไม่เลวนัก
จำได้ว่าเมื่อประกาศผลการสอบ หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า “ที่หนึ่งตกอันดับ” เนื่องจากข้าพเจ้าสอบชั้น ม.ศ. ๕ ได้ที่ ๑ แต่มาเข้าคณะอักษรศาสตร์ได้เป็นที่ ๔
การเรียนปีที่ ๑ เป็นปีที่ข้าพเจ้าคิดว่าเรียนลำบาก แต่ก็ตื่นเต้น ท้าทายและสนุกสนาน เพราะว่าจะต้องทำความรู้จักกับอาจารย์และเพื่อนใหม่ ๆ มากมาย ทั้งเพื่อนในคณะและต่างคณะ ทั้งที่เป็นรุ่นพี่และรุ่นเดียวกัน บางทีก็จำไม่ได้ แต่ก่อนเคยอยู่โรงเรียนจิตรลดา ซึ่งมีนักเรียนน้อยรู้จักกันหมดทุกคน นับว่า ต้องปรับตัวมากอยู่ มานึกย้อนหลังแล้วรู้สึกว่าครูบาอาจารย์เพื่อนฝูง เขาก็อดทนกับข้าพเจ้าพอใช้ ข้าพเจ้ามักพูดช้าตะกุกตะกัก เขาก็ยอมฟังดี นาน ๆ ก็ว่าเอาบ้างว่าพูดแบบนี้น่ารำคาญ ต่อมาข้าพเจ้าพูดดีขึ้นก็ชมเชย ครั้นพูดได้ดีแล้ว ข้าพเจ้าเลยไม่ยอมหยุดพูด กลายเป็นคนพูดมาก ทุกชั่วโมงต้องหาเรื่องพูดในห้อง ซักถามอาจารย์บ้าง ตอบคำถามบ้าง
การพยายามจดจำชื่ออาจารย์และเพื่อน ๆ ให้ได้ บางทีก็ยากสำหรับผู้มาใหม่ อาจารย์บางท่านมีหลายชื่อ ทั้งชื่อจริงและชื่อที่นิสิตตั้ง ก็ต้องจำให้ได้ทั้งสองชื่อหรือหลายชื่อ เมื่อพี่ใช้ให้ส่งหนังสือตามโต๊ะจะได้ส่งถูก สำหรับเพื่อนในวันแรก ๆ ก็จำไม่ได้เช่น ฝาแฝด ป้อม-อ้วน มาคนละทีก็ไม่ทราบว่าใครเป็นป้อมใครเป็นอ้วน
ระหว่างที่เรียนตั้งแต่ปีหนึ่ง ข้าพเจ้าต้องตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในการเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปต่างจังหวัด ไม่สามารถอยู่เรียนได้ครบถ้วน ข้าพเจ้าต้องทำหนังสือราชการขอมหาวิทยาลัยไม่ให้นับเวลาเรียน ซึ่งเขาก็ไม่นับ ถ้าเขานับข้าพเจ้าก็ต้องออกไปเรียนมหาวิทยาลัยเปิด วิธีการเรียนของข้าพเจ้าคือส่งคนมาอัดเทปไปฟังเวลาอยู่ต่างจังหวัด ข้าพเจ้าส่งการบ้าน รายงาน และเข้าสอบเหมือนนิสิตอื่น ข้าพเจ้าเรียกอาจารย์ที่พูดในเทปทั้งหลายว่า เทปาจารย์ อันเป็นคำสมาสของคำว่าเทปกับอาจารย์ การเรียนด้วยเทปาจารย์นั้นไม่สนุกเหมือนเรียนกับอาจารย์จริง ๆ ถามก็ไม่ได้ ไม่เห็นภาพ ไม่เห็นกระดาน สมัยนั้นวีดีโอเทปยังไม่แพร่หลาย การคมนาคมก็ไม่สะดวกเหมือนในปัจจุบัน กว่าจะได้รับเทปก็หลายวัน เคราะห์ดีมีพวกเพื่อนช่วยเก็บเอกสาร ช่วยจดให้ เวลากลับกรุงเทพฯ ก็ช่วยสอนช่วยติวให้ อะไรที่ข้าพเจ้าเก่งก็ช่วยทวนและเก็งข้อสอบให้เพื่อน ๆ ข้าพเจ้าเคยเก็งข้อสอบอย่างถูกต้อง ทำให้อาจารย์ตกใจนึกว่าข้อสอบรั่ว ข้าพเจ้าเก็งข้อสอบได้ แต่ก็ตอบไม่ได้ ต้องถามอาจารย์ คิดว่าท่านคงลำบากใจพอใช้เวลาอธิบายให้ข้าพเจ้า เรื่อง การสอนหนังสือกันเองนั้น มีอาจารย์ท่านหนึ่งบ่นว่านิสิตนี้แปลก มีปัญหาอะไรแทนที่จะมาถามครูบาอาจารย์ซึ่งมีหน้าที่สอน กลับชอบถามกันเอง ข้าพเจ้าก็ชอบฟังรุ่นพี่ฟังเพื่อน การติวกันเช่นนี้ทำให้เห็นว่าไม่จริงเสมอไปที่การศึกษาระบบหน่วยกิตทำให้นิสิตขาดความสามัคคีกันแกล้งกันเพราะต้องแข่งขันเท่าที่เรียนมาเห็นพวกเพื่อนช่วยกันทุกคน
สรุปได้ว่าข้าพเจ้าเรียนกับเทปาจารย์เสียมากกว่าเรียนกับอาจารย์ธรรมดา ตัวข้าพเจ้าเองไม่ชอบนัก แต่พวกที่อยู่ด้วยเขาชอบบอกว่า ทำให้ได้เรียนด้วย ดังนั้นถือได้ว่า คณะอักษรศาสตร์ได้จัดระบบมหาวิทยาลัยเปิดแบบตลาดวิชาการศึกษาระยะไกล (ไกลจริง ๆ นั่งเครื่องบินสมัยนั้นหลายชั่วโมง) มานานแล้ว วิชาที่ข้าพเจ้าเรียนใช้ระบบนี้ได้ดี ใช้อ่านหนังสือฟังเทปก็พอ ถ้าเรียนอย่างอื่นก็ต้องปฏิบัติการต้องอยู่มหาวิทยาลัย
กิจกรรมต่าง ๆ ในขณะที่เรียนมีหลายอย่าง ทั้ง กิจกรรมระยะสั้นและระยะยาว มีงานพัฒนาคณะกวาดถู ปราบที่ ปลูกต้นไม้ ซึ่งเป็นงานที่ข้าพเจ้าถนัดอยู่แล้ว การเป็นพี่เลี้ยงเด็ก คือเลี้ยงพวกลูกอาจารย์ งานชมรมมีอยู่หลายอย่าง แต่ที่ทำมากที่สุดคือ ชมรมดนตรีไทย ข้าพเจ้าเล่นดนตรีไทยทั้งที่ชมรมและที่คณะอักษรศาสตร์ กิจกรรมชมรมดนตรีไทยที่ถนัดไม่ยักใช่การเล่นดนตรี กลับเป็นการจัดอาหารเวลามีงานพิธีไหว้ครู ข้าพเจ้ามักอยู่ฝ่ายโภชนาการ
ที่คณะอักษรศาสตร์มีการทำหนังสือ ซึ่งมีงานให้ทำหลายอย่าง คือ
๑. เขียนเรื่องสำหรับลงหนังสือ
๒. เที่ยว “หาเรื่อง” หรือตามทวงเรื่องที่อาจารย์หรือคนอื่น ๆ สัญญาว่าจะเขียน
๓. หาสปอนเซอร์ หาโฆษณา
๔. ติดต่อโรงพิมพ์
๕. พิสูจน์อักษร เวลาเจอที่พิมพ์ผิด หนังสือออกมาแล้วก็ต้องมานั่งแก้กัน ที่ร้ายแรงที่สุดคือ มีบทความที่เกี่ยวกับภาษาฝรั่งเศส ซึ่งพิมพ์โดยไม่มีเครื่องหมาย accent ต้องมานั่งเติมเองทั้งหมด ๒,๐๐๐ เล่ม
๖. เป็นฝ่ายศิลป์เสียเอง (บางที)
กิจกรรมแต่งกลอน น้องใหม่ตอนปีหนึ่งจะต้องแต่งกลอน โคลง กาพย์ ฉันท์ ตามหัวข้อที่เขากำหนด เล่นกันเป็นทีม จะต้องซ้อมทุกวัน โดยที่พวกพี่ ๆ สอน แต่ก่อนแต่งฉันท์ไม่ค่อยเป็น มาแต่งได้ตอนนี้ ปีที่ข้าพเจ้าอยู่ปี ๑ อักษรฯ ครองถ้วยร่วมกับคณะบัญชี แต่งกันว่าอย่างไรก็จำไม่ได้แล้ว หากระดาษที่จดไว้ไม่พบ ไพล่ไปจำกลอนที่คณะ “ถาปัด” แต่งตามหัวข้อ “ดูหนังดูละครย้อนดูตัว” ว่า
“ไปดูหนังลิโด้โอ้เข้าท่า
มันเป็นบ้านั่งหลับนอนทับเบาะ
เพลงประกอบในหนังช่างไพเราะ
เรื่องเจ้าเงาะขี่ควายขายโรตี
ดูหนังดูละครย้อนดูตัว
รูปไม่ชั่วแสนหล่อถาปัดนี่
………………………….
………………………….
(ต่อไปจำไม่ได้)