เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3 ... 8
  พิมพ์  
อ่าน: 36089 พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


 เมื่อ 13 ส.ค. 12, 11:30

ผมใช้เวลาว่างสองสามวันมานี้หางานให้ตนเองด้วยการรื้อกรุหนังสือออกมาดู เลยได้เจอเล่มนึงที่ได้รับจากท่านทูตไทยประจำโตเกียวเนื่องในโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตไปเป็นแขกเรือนของท่าน เป็นเรื่องเกี่ยวกับทำเนียบของเอกอัครราชทูตไทยซึ่งผมได้ไปอาศัยอยู่หลายวันนั่นเอง

ทำเนียบดังกล่าวคือบ้านหลวงที่ท่านทูตอยู่ แต่เป็นบ้านที่ต้องเรียกว่าคฤหาสน์เพราะความใหญ่โตโอ่อ่า ตั้งอยู่บนที่ดิน๕ไร่เศษของอำเภอกามิ-โอซากิ ตำบลชินางาวา ซึ่งเป็นที่ทำการของสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียวด้วย  ตอนสร้างเป็นชานเมืองแต่เดี๋ยวนี้ถือว่าอยู่กลางกรุงโตเกียวทีเดียว

ตำนานที่ว่า"พลังรักสองแผ่นดิน" คือความรักระหว่างเจ้าชายฟูเกะซึ ไอชินกากุระ กับนางฮิโระ ซะงะ ราชนิกุลของญี่ปุ่น ถ้าเล่าแค่นี้ก็งั้นๆ ต้องขยายความต่อว่าเจ้าชายฟูเกะซึ ไอชินกากุระนั้น เป็นชื่อที่จักรวรรดินิยมญี่ปุ่นตั้งให้แก่ เจ้าชายปูเจี้ย พระอนุชาแท้ๆของพระเจ้าปูยี จักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของจีนที่ญี่ปุ่นเชิดขึ้นเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแห่งแมนจูกัว อาณานิคมบนจีนแผ่นดินใหญ่ของตนก่อนสงครามโลกครั้งที่๒จะระเบิดขึ้น เจ้าชายปูเจี้ยต้องมาอยู่ญี่ปุ่นในฐานะตัวประกัน และถูก“จัดให้”อภิเษกกับสาวญี่ปุ่น และกลายเป็นความรักในตำนานมีการทำเป็นหนังซีรีย์ทางทีวีแฟนๆญี่ปุ่นติดกันเกรียว มีการนำมาออกอากาศในเมืองไทยด้วย


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 13 ส.ค. 12, 11:34

ลอกเอามาแปะ

"พลังรักสองแผ่นดิน" เป็นละครรักอิงประวัติศาสตร์ของสาวญี่ปุ่นกับอนุชาจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีน ซึ่งทำเรตติ้งสูงและโด่งดังที่สุดจากญี่ปุ่น มาลงฉายในไทยทุกวันเสาร์หลังข่าวทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี ออกอากาศเสาร์ที่ 5 มิ.ย.นี้ โดยจะนำเบื้องหลังการถ่ายทำ ออกอากาศในวันเสาร์ที่ 5 มิถุนายนนี้ด้วย

"พลังรักสองแผ่นดิน" เป็นละครชุดอิงประวัติศาสตร์จีนที่นอกจากจะให้ความบันเทิงแล้ว ยังให้ความรู้และเปิดโลกทัศน์ด้านประวัติศาสตร์แก่ผู้ชม นำเสนอเรื่องราวที่น่าทึ่งของครอบครัวชาวตะวันออกและความแข็งแกร่งในรากฐานของความรัก ละครเรื่องนี้เป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพระหว่างญี่ปุ่น-จีน และสนธิสัญญาแห่งสัมพันธภาพไมตรี สร้างโดยทีวีอาซาฮี ด้วยเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านเยน หรือประมาณ 360 ล้านบาท เนื่องจากต้องการมีการลงทุนเพื่อความสมจริงทางด้านประวัติศาสตร์ของยุคนั้น โดยเฉพาะเรื่องของฉากและเครื่องแต่งกายของนักแสดง ซึ่งในประเทศญี่ปุ่น ละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สามารถทำเรตติ้งสูงถึงร้อยละ 25.3 และได้รับรางวัล ต่าง ๆ มากมายอาทิ รางวัลนักแสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยม รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เป็นต้น รวมทั้งได้แพร่ภาพดาวเทียมภาพยนตร์ชุดนี้ไปยังประเทศต่าง ๆ กว่า 50 ประเทศด้วย

เรื่องย่อละคร "ฮิโระ" บุตรสาวของขุนนางจากประเทศญี่ปุ่นได้แต่งงานกับชายผู้มีศักดิ์เป็นน้องขององค์จักรพรรดิปูยี ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์จีน และถึงแม้การแต่งงานครั้งนี้จะเกิดขึ้นด้วยเหตุทางการเมือง แต่ทั้งสองก็เรียนรู้ที่จะความเคารพในวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตที่แตกต่างและปรับตัวเข้าหากันและกัน จนพัฒนาเป็นความรัก แต่แล้วความสุขนั้นก็อยู่เพียงไม่นาน เมื่อสงครามระหว่างจีนและญี่ปุ่นได้อุบัติขึ้นและความรักของทั้งสองถูกจับตาและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ท่ามกลางความขัดแย้งที่ทวีมากขึ้นทุกขณะ ท้ายที่สุดฮิโระถูกกล่าวหาว่าเป็นสายสืบมาจากรัฐบาลญี่ปุ่น แต่ทั้งสองยังคงเชื่อมั่นในรักแท้ แม้ว่าจะถูกพลัดพรากจากกันเป็นเวลานานถึง 16 ปี ทั้งคู่ยังคงซื่อสัตย์และยึดมั่นในความรักที่มีต่อกัน และเชื่อว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง



บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 13 ส.ค. 12, 11:44

ความรักสายสัมพันธ์ทั้งสองแผ่นดินจีนและญี่ปุ่น เคยดูและติดงอมแงมครับ  ยิงฟันยิ้ม

แทรกภาพพระอนุชาปูเจี๋ย (ขวา) และจักรพรรดิปูยี (ซ้าย - แว่น) ถ่ายที่สวนในวังกู้กง


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 13 ส.ค. 12, 12:20

^
สมเด็จพระจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นพระราชทานพระนามพระเจ้าปูยี จักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิงให้ใหม่ว่า สมเด็จพระเจ้าฟูงี ไอชินกากุระ ส่วนเจ้าชายปูเจี้ย พระอนุชาได้รับพระราชทานพระนามว่าเจ้าชายฟูเกะซึ ไอชินกากุระ ทรงถูกส่งให้เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยโตเกียว สำเร็จการศึกษาระดับเกียรตินิยม

ขณะที่มีพระชนมายุได้๓๐พรรษา รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการให้พระองค์ได้อภิเษกสมรสกับคนญี่ปุ่น เพื่อหวังผลทางการเมืองการปกครองในอนาคตหากจะส่งพระองค์กลับไปเมืองจีน จึงจัดการเฟ้นหากุลสตรีที่เหมาะสมมาสนองนโยบายลับนี้ และคำตอบมาตกที่แม่นางฮิโระ ซึ่งเป็นผู้ดีมีสกุลมีเชื้อของพระราชวงค์ฮิโรฮิโตอยู่ และอาศัยแม่สื่อชักนำจัดงานใหญ่ให้ทั้งสองมาดูตัวกันที่คฤหาสน์แห่งนี้

ครั้งแรกที่แม่นางฮิโตะรู้ว่าเขาจะจัดให้เธอไปถูก“ดูตัว”ก็ไม่พอใจ แต่ก็โดนเกลี้ยกล่อมให้ไปจนได้ ดังนั้นเมื่อวันที่๑๘มกราคม๒๔๘๐ ทั้งสองจึงได้พบกันตามแผนของกามเทพสะพายซามูไร โชคดีที่เจ้าชายปูเจี้ยทรงพอพระทัย เมื่อได้มานั่งร่วมโต๊ะเสวยต่างก็รู้สึกประทับใจซึ่งกันและกัน และด้วยแรงยุของแม่สื่อแม่ชัก เจ้าชายก็เสด็จมาที่คฤหาสน์แห่งนี้เพื่อมาพบแม่นางบ่อยครั้ง โดยพากันเดินชมและเกี้ยวพาราสีกันในสวนสวยงามทางด้านหลังคฤหาสน์ จนในที่สุดก็ทรงสามารถพิชิตหัวใจราชนิกุลสาวชาวญี่ปุ่นนั้นได้ และประกาศหมั้นกันในเดือนกุมภาพันธุ์ หลังจากนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้จัดพิธีอภิเษกสมรสให้อย่างสมพระเกียรติอย่างรวดเร็วเมื่อวันที่๓เมษายน ปีเดียวกัน

ไหนครับ..ทำไมถึงมาจัดฉากกันที่บ้านพักท่านทูตสยามหรือครับ เดี๋ยวครับ..เดี๋ยวมีคำตอบ


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 13 ส.ค. 12, 12:51

ภาพจากหนังสือ

สวนญี่ปุ่นหลังทำเนียบในเดือนมีนา-เมษา ซากุระคงบานสะพรั่งอย่างนี้


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 13 ส.ค. 12, 13:10

ผมไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ประมาณเดือนตุลาหรือพฤศิกาอะไรนี่  ถ้าผิด นายตั้งซึ่งเป็นผู้ช่วยทูตจากกรมทรัพย์ในโตเกียวตอนนั้นถ้าเข้ามาดูก็กรุณาช่วยแก้ไขหน่อย เพราะได้เจอกันที่นั่นด้วย ภาพนี้มาจากอัลบั้มส่วนตัว ต้องการโชว์สวนหลังบ้านอันอลังการ ต้องขออภัยเผอิญติดเอาผู้ปกครองของผมเข้าไปด้วย

ขณะนั้นเริ่มจะเข้าปลายของฤดูใบไม้ร่วง สวนสวยที่ใบไม้เปลี่ยนสี สีแดงนั้นเมเปิ้ล สีเหลืองน่าจะเป็นแปะก๊วย หน้าบ้านมีต้นอย่างนี้ต้นหนึ่งใหญ่โตมหึมากว่าที่เห็นในภาพมาก ลูกหล่นมาเกลื่อนถนน คนขับรถท่านทูตเอามาแช่น้ำไว้ ผมอยากพิสูจน์ว่ามันเหม็นแค่ไหนก็ไปดมดู …เฮ้อ..ไม่น่าเล้ยตู


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 13 ส.ค. 12, 13:25

ภาพจากหนังสือ สวนในฤดูใบไม้ร่วงที่งดงามเต็มที่


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 13 ส.ค. 12, 13:34

ความสวยจะอยู่ไม่ได้นานตามสัจธรรม พอถึงธันวาคมใบไม้จะร่วงหมดต้นเพราะทนอากาศหนาวไม่ไหว ต้นไม้ทั้งหลายเหมือนยืนต้นตายหาความสวยมิได้ มกรากุมภาในโตเกียวเผลอๆมีหิมะตกด้วย ผมสงสัยจึงว่า เจ้าชายปูเจี้ยกับแม่นางฮิโตะจะไปเดินจีบกันในสวนไหวหรือในช่วงนั้น เดี๋ยวได้ปอดบวมตาย

สงสัยคนเขียน(จำไม่ได้แล้วว่าไปเอาจากเวปใด)จะมั่วเอาเองมากกว่า


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 13 ส.ค. 12, 14:13

คั่นรายการด้วยฉากติดหูเพราะเพลงไพเราะจากซีรี่ส์ พลังรักสองแผ่นดิน ครับ

เพลง  When Shall You Return? จากเสียงของ Yuki Amami

         
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 13 ส.ค. 12, 14:48

จากนิตยสารคู่สร้างคู่สม ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๕๙๐ ประจำวันที่  ๑๐-๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑

พลังรัก ๒ แผ่นดิน
รักข้ามพรมแดน
ที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว


สันติ อิ่มใจจิตต์



แฟน ๆ คู่สร้างคู่สมขนานแท้ เมื่อได้เห็นคฤหาสน์หลังงามที่แฝงไว้ด้วยความน่ากลัว น่าเกรงขามดังในภาพแล้วคงจำกันได้ว่าเป็นทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ที่ " คู่สร้างคู่สม " เคยลงในประวัติสถานที่แห่งนี้อย่างละเอียดไปเมื่อประมาณ ๒ ปีที่ผ่านมา

นอกจากภายนอกทำเนียบเอกอัครราชทูตไทยที่สวยงามและโดดเด่นแล้ว การตกแต่งภายในก็ทำได้สวยงามหรูหราไม่แพ้กันภาพวาดที่วาดโดยฝีมือของจิตรกรระดับโลกหลายภาพที่ติดไว้ในที่อันเหมาะสมภายในทำเนียบนั้นมีมูลค่ามหาศาลจนประเมินค่าไม่ได้

ตัวคฤหาสน์ที่เป็นทำเนียบเอกอัครราชทูตนั้น ทางการไทยซื้อมาจากคหบดีชาวญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ในราคา ๑๐ ล้านเยน คิดเป็นเงินไทยประมาณ ๓ ล้านบาทปัจจุบันนี้ แค่เฉพาะตัวคฤหาสน์อย่างเดียว บริษัทประกันภัยมิตซุยได้ตีราคาถึง ๙๖๐ ล้านเยน หรือประมาณเกือบ ๓๐๐ ล้านบาท โดยไม่รวมเครื่องตกแต่ง รูปภาพที่ประเมินค่ามิได้อีกหลายภาพ

และยังไม่รวมมูลค่าที่ดินกว่า ๕ ไร่ ซึ่งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียวที่คิดราคาซื้อขายกันเป็นตารางฟุต รวมแล้วเป็นสมบัติของชาติไทย ที่มีมูลค่ามหาศาลในประเทศญี่ปุ่นและทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียวแห่งนี้ ยังเป็นสถานที่ต้อนรับบุคคลสำคัญ ๆ ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายญี่ปุ่นอยู่เสมอ ๆ

แค่นั้นยังไม่พอ ที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทยแห่งนี้ ยังเป็นประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความรักข้ามพรมแดน  ความรักระหว่างรบของเจ้าหญิงญี่ปุ่นและเจ้าชายจากประเทศจีน จนเป็นที่กล่าวขานในเรื่องความรักแท้ และเล่าต่อกันมาอย่างไม่รู้จบทั้ง ๒ ประเทศ

สืบเนื่องจากก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะบังเกิดขึ้น กองทัพของประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีแสนยานุภาพมหาศาลได้กรีฑาทัพเข้าตีประเทศจีน ยึดแมนจูเลียไว้ได้ก็พยายามจะครอบครองประเทศจีนต่อให้ได้ จึงยกทัพเข้าไปตีปักกิ่ง ทางกองทัพจีนได้พยายามต่อต้าน แต่ก็ต้านทานไว้ไม่ไหว ทัพของญี่ปุ่นยึดปักกิ่งได้ และก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ยังบุกต่อไป ยึดได้เซี่ยงไฮ้และเมืองหลวงของจีน คือ นานกิง อีกด้วย

เนื่องจากประเทศจีนมีอาณาเขตกว้างใหญ่มากเหลือเกิน กองทัพญี่ปุ่นที่เข้ามาทำสงครามเริ่มอ่อนล้า จึงควบคุมการบริหารงานอยู่ที่ปักกิ่งเท่านั้น โดยสถาปนาจักรพรรดิปูยี แห่งราชวงศ์ชิง ให้เป็นจักรพรรดิแมนจูกัว ขึ้นปกครองจีน

ระหว่างที่ควบคุมบริหารงานที่ปักกิ่งนั้น อาจจะเป็นด้วยวิเทโศบาย หรือเพื่อความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทางการญี่ปุ่นได้นำเอาเข้าชายฟุเคทสึ ไอซิงคาคุระ พระอนุชาของจักรพรรดิปูยี มาศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น (ซึ่งอาจจะคล้าย ๆ กับสมัยกรุงศรีอยุธยาที่พม่านำตัวสมเด็จพระนเรศวรไปอยู่พม่าเพื่อเป็นตัวประกันก็ได้ )

เจ้าชายฟุเคทสึได้มาเรียนวิชาการทางด้านทหารที่ญี่ปุ่น จนใกล้จะจบหลักสูตร ทางการญี่ปุ่นก็มีความคิดว่า เพื่อเป็นการผูกสัมพันธ์ไมตรีให้แน่นแฟ้นระหว่างทั้ง ๒ ประเทศ และเพื่อลดกระแสความเกลียดชังของชาวจีนที่มีต่อชาวญี่ปุ่นที่ไปข่มเหงรุกรานจีน จึงคิดหาคู่ครองให้กับเจ้าชายฟุเคทสึ แต่จะหาใครล่ะ ที่มีศักดิ์ศรี ฐานันดรศักดิ์เสมอกัน เพราะทางจีนนั้นก็เป็นถึงเจ้าชาย

เมื่อค้นหาไปก็มาตกลงที่เจ้าหญิงฮิโร ที่มีเชื้อสายของจักรพรรดิเมจิ ซึ่งเป็นหลานสาวของเจ้าของคฤหาสน์ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทยแห่งนี้ นับว่าเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุด

จากนั้นก็เริ่มทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน โดยแม่สื่อแม่ชักจะนำรูปถ่ายของแต่ละคนมาแลกให้กันดู และนัดดูตัวกันที่คฤหาสน์แห่งนี้ ซึ่งทั้งเจ้าชายฟุเคทสึและเจ้าหญิงฮิโร ต่างก็ไม่พอใจ และไม่เต็มใจ เพราะต่างก็รู้ดีว่านี่เป็นแผนการเกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องความรัก แต่ทั้งคู่ก็ขัดใจผู้ใหญ่ไม่ได้

เมื่อถึงวันนัดดูตัวกัน พอได้มานั่งร่วมโต๊ะเสวยด้วยกันดังในภาพ ต่างก็รู้สึกประทับใจซึ่งกันและกัน เริ่มสนใจกัน และด้วยแรงยุของแม่สื่อแม่ชัก เจ้าชายก็เสด็จฯ มาที่คฤหาสน์แห่งนี้ เพื่อมาพบเจ้าหญิงบ่อยครั้งขึ้น โดยพากันเที่ยวในสวนสวยงามทางด้านหลังคฤหาสน์ที่มีเนื้อที่กว่า ๕ ไร่ จนเกิดความรักซึ่งกันและกัน จึงได้ประกาศหมั้นกันในเดือน ก.พ. ๒๔๘๐ โดยทางการญี่ปุ่นได้จัดพิธีอภิเษกสมรสให้อย่างสมพระเกียรติในเดือน เม.ย. ๒๔๘๐

นับว่าคฤหาสน์ที่เป็นทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียวแห่งนี้ เป็นบ่อเกิดของความรักระหว่างเจ้าชายจีนฟุเคทสึและเจ้าหญิงญี่ปุ่นฮิโรก็ไม่ผิด

ทั้งสองมีพระธิดา ๒ พระองค์

ถ้าเป็นเพียงแค่นี้ เรื่องก็จะจบแบบแฮปปี้ เอนดิ้ง แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ทราบว่าเป็นคำกล่าวของใครที่ว่า "รักแท้ต้องมีอุปสรรค" แต่อุปสรรคระหว่างเจ้าหญิงญี่ปุ่นกับเจ้าชายจีนนี้ใหญ่หลวงนัก เพราะขณะนั้นประเทศจีนกำลังวุ่นวายมาก เกิดการแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าเพื่อแย่งชิงการปกครอง กลุ่มที่มีกำลังแข็งแรงมาก คือกลุ่มของเหมาเจ๋อตุง จักรพรรดิปูยีจึงมีความต้องการให้ระอนุชาเสด็จฯ กลับประเทศจีน เพื่อช่วยเหลือในการปกครองประเทศ เจ้าชายฟุเคทสึจึงต้องพาเจ้าหญิงฮิโรเสด็จฯ ไปประเทศจีนด้วย

ระหว่างที่อยู่ประเทศจีน เจ้าหญิงฮิโรรู้พระองค์ดีว่า ชาวจีนไม่ชอบและแสดงความเกลียดชังพระองค์ เนื่องจากญี่ปุ่นเข้ารุกรานยึดครองประเทศจีนนานถึง ๑๕ ปี แต่พระองค์ก็พยายามทำความดีทุกอย่างเพื่อลดความบาดหมางซึ่งกันและกัน แม้กระทั่งจักรพรรดิปูยีซึ่งไม่มีพระโอรสก็ยังไม่ค่อยไว้ใจเจ้าหญิงฮิโรนัก สร้างความลำบากใจให้กับเจ้าหญิงฮิโรเป็นอย่างยิ่ง และใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุขนัก

เมืองจีนขณะนั้นก็ไม่สงบ มีการรบพุ่งกันตลอดเวลา กลุ่มของเหมาเจ๋อตุงได้ร่วมมือกับรัสเซียบุกยึดปักกิ่งได้ จักรพรรดิปูยีและเจ้าชายฟุเคทสึต้องหลบหนีออกจากวังไปทางหนึ่ง เจ้าหญิงฮิโรและพระมเหสีของจักรพรรดิปูยีก็หนีไปอีกทางหนึ่ง ระหว่างที่หลบหนี พระมเหสีองค์จักรพรรดิปูยีได้สิ้นพระชนม์ เจ้าหญิงฮิโรเลยต้องหนีไปอย่างตกระกำลำบาก ทั้งต้องระวังกองทหารจีนที่ตามจับตัวและการเดินทางที่แสนทุรกันดาร แต่โชคดีที่หนีกลับญี่ปุ่นจนได้

ส่วนจักรพรรดิปูยีและเจ้าชายฟุเคทสึถูกจับได้ และถูกคุมขังอยู่ในคุก

ระหว่างที่อยู่ประเทศญี่ปุ่น เจ้าหญิงและลูก ๆ ที่ให้ยายเลี้ยงไว้ ก็ได้เสด็จฯ มาที่คฤหาสน์ที่เป็นทำเนียบเอกอัครราชทูตไทยในปัจจุบัน สถานที่พบรักกับเจ้าชายฟุเคทสึอยู่มิวาย เพราะตั้งแต่เริ่มรักกันก็ไม่เคยจากกันเลย ทรงคิดถึงพระสวามี เพราะไม่ทราบว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

เจ้าหญิงได้เขียนจดหมายถึงเจ้าชายฟุเคทสึทุกวัน

ระหว่างที่เขียนไปก็ร้องไห้ไป แต่ไม่ได้ส่งจดหมาย เพราะทราบดีว่าส่งอย่างไรก็ไม่ถึง ลูกสาวคนโตที่ได้เห็นแม่โศกเศร้าร้องไห้ทุก ๆ วัน ก็อดรนทนไม่ไหว จึงได้เขียนจดหมายไปถึงนายกรัฐมนตรีของจีนสมัยนั้น ในจดหมายเขียนเล่าให้ฟังถึงความคิดถึงของแม่ที่มีต่อพ่อของตน ขอให้ช่วยนำจดหมายที่แม่เขียนถึงพ่อทุก ๆ วัน ส่งให้ด้วยซึ่งก็ได้ผล

จดหมายฉบับที่เจ้าหญิงฮิโรเขียนได้ถึงมือของเจ้าชายฟุเคทสึที่ถูกคุมตัวอยู่ในห้องขัง

ต่อมาทางการจีนได้ปล่อยตัวเจ้าชายฟุเคทสึออกจากที่คุมขัง เจ้าชายจึงขอให้เจ้าหญิงเดินทางมาอยู่ด้วยกันที่ประเทศจีน และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนสิ้นพระชนม์

ส่วนลูกสาวคนโตนั้นทราบข่าวว่าได้เสียชีวิต โดยการกระโดดภูเขาเพื่อฆ่าตัวตาย

ลูกสาวคนเล็ก ปัจจุบันนี้ยังมีชีวิตอยู่ โดยอาศัยอยู่ที่เมืองโอซากา

ด้วยเหตุที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว มีประวัติศาสตร์เรื่องความรักอันยิ่งใหญ่ของเจ้าหญิงฮิโรและเจ้าชายฟุเคทสึ จนเป็นที่กล่าวขานกันอย่างไม่จบสิ้น ทำให้สถานีโทรทัศน์อาซาฮีของประเทศญี่ปุ่นได้ติดต่อมายังสถานทูตไทย เพื่อขอความร่วมมือถ่ายทำสารคดีจากชีวิตจริงเกี่ยวกับความรักของทั้งคู่ และเนื่องในโอกาสครบรอบ ๔๐ ปี ของสถานีโทรทัศน์อาซาฮี โดยใช้ทำเนียบเอกอัครราชทูตเป็นฉากจริง แต่สถานที่ถ่ายทำจริง  ๆ นั้นเป็นสถานที่ที่ไม่ไกลจากคฤหาสน์มากนัก ใช้เวลาเดินไปประมาณ ๕ นาทีก็ถึง เป็นสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกับคฤหาสน์ที่เป็นทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย

เมื่อสถานีโทรทัศน์อาซาฮีนำสารคดีเรื่องนี้ฉายทางทีวี ก็ได้รับความสนใจและสะเทือนใจไปทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่น จนกระทั่งทางสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยช่องหนึ่งได้ทราบเรื่องอันสะเทือนใจนี้ จึงได้ซื้อสารคดีชุดนี้มาฉายในประเทศไทยโดยตั้งชื่อว่า "พลังรักสองแผ่นดิน" จนเป็นที่ฮือฮาเมื่อไม่นานมานี้

 เศร้า
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 13 ส.ค. 12, 15:00

ข่าวการแต่งงานลงในหนังสือพิมพ์อาซาฮีฉบับวันที่ ๔ เมษายน  ปีโชวะที่ ๒๐ (พ.ศ. ๒๔๘๐)


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 13 ส.ค. 12, 15:04

^
นั่นก็เวอร์ชั่นนึง ของผมก็คงจะอีกเวอร์ชั่นนึง
เน้นเรื่องพาดูพาชมคฤหาสน์ พร้อมมีฝอยแถม

คฤหาสน์หลังนี้เดิมเป็นของตระกูลฮามางูจิ ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจการผลิตน้ำซีอิ๊วญี่ปุ่นหรือโชยุที่จังหวัดวากายามา ทางตะวันตกของญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นรู้จักและนิยมมาเป็นเวลาหลายร้อยปี  สืบจนมาสิบชั่วคนจนถึงนายคิจิเอมอง ฮามางูจิที่๑๐ ผุ้เกิดเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๒๖
 
คิจิเอมองท่านนี้จบการศึกษาจากวิทยาลัยซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นมหาวิทยาลัยวาเซดะที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดของญี่ปุ่นและอยู่อันดับต้นๆของโลก จบแล้วบิดาก็ส่งไปศึกษาต่อที่เมืองนิวฮาเวน มลรัฐคอนเนตทิคัต สหรัฐอเมริกาอยู่หลายปีก่อนจะกลับมาสืบสานธุรกิจของตระกูลต่อ จวบจนในปี๒๔๗๓ ขณะอายุเพียง๔๗ ปี ก็มอบให้กิจการทำโชยุให้แก่ลูกชายคนโต เพราะตนมีปัญหาด้านสุขภาพ แล้วผันตัวเองมาอยู่ที่ในโตเกียวเมืองหลวง เพื่อใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายในฐานะผู้รักการเรียนรู้และชำนาญการด้านศิลปะ

ไม่มีใครทราบแน่ว่านายคิจิเอมอง ฮามางูจิที่๑๐ย้ายมาอยู่ที่อำเภอกามิ-โอซากิเมื่อไร แต่ทราบว่าได้ซื้อที่บ้านนี้จากนายโมโมซุเกะ ฟูกูซาวะ บุตรบุญธรรมของยูกิจิ ฟูกูซาวะ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเคโอะ นี่ก็มหาวิทยาลัยดีเด่นอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น มีคนดังๆของเมืองไทยไปเรียนจบกันมาแยะ


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 13 ส.ค. 12, 17:18

นายคิจิเอมองเป็นมหาเศรษฐีผู้รักงานศิลปะของอิตาลีเป็นพิเศษ ทั้งที่เป็นงานจิตรกรรมและปฏิมากรรม จึงได้ซื้อปฏิมากรรมหินอ่อนแกะสลักอิตาลี และจิตรกรรมขนาดใหญ่จากสถานทูตอิตาลีไว้หลายชิ้น ภาพเขียนที่ซื้อมาภาพหนึ่งใหญ่เกินไปเอาเข้าบ้านที่อยู่เดิมไม่ได้ เลยตัดสินใจจะสร้างคฤหาสน์ขึ้นมาใหม่ เพื่อเอางานศิลปะที่ซื้อไว้แล้วนี้ไปประดับ



บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 13 ส.ค. 12, 17:31

ภาพสีน้ำมันชิ้นนี้ขนาดใหญ่มโหฬาร เป็นฝีมือศิลปินอิตาเลี่ยนนามใดไม่ปรากฏ เขียนภาพคนงานในโรงเหล้าที่กำลังเมาในเทศกาลรื่นเริงวาระหนึ่ง ติดตั้งบนโถงบันไดชั้นสอง


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 13 ส.ค. 12, 17:35

ภาพนี้ผมถ่ายไว้เอง


บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 ... 8
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.071 วินาที กับ 19 คำสั่ง