อย่าเพิ่งไปไหนครับคุณนิลนนท์ ทีแรกว่าจะเอาเรื่องสุสานคนใหญ่คนโต แต่พอมีเรื่องพิธีศพ มัมมี่ เรื่องแปลกๆ มันยิ่งสนุกสนานน่าสนใจติดตาม มีรสมีชาติ ยิ่งมีผู้ร่วมแจมมากๆ ยิ่งดีครับ นี่ยังขาดแต่เรื่องลึกลับ เรื่องผีๆ สางๆ สงสัยต้องรอท่านอาจารย์เทาชมพูมาเจิมซักเรื่อง ท่านอาจารย์น่าจะพอมีประสบการณ์เรื่องนี้บ้าง รับรองว่าเรื่องผีมาเมื่อไหร่ คนเข้ามาอ่านล้นหลามแน่ๆ

พูดถึงเรื่องพิธีศพที่เรียบง่าย หรือตายแล้วยังเป็นประโยชน์ ยังมีอีกทางเลือกสำหรับผู้สนใจทางเลือกใหม่ ว่าตายแล้วจะ(เอาศพ)ไปไว้ที่ไหนดี เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่รู้สึกในไทยจะยังไม่มี นั่นคือที่ Body Farm หรือฟาร์มศพครับ
Body farm มีเนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ อยู่ที่ University of Tennessee at Knoxville ก่อตั้งขึ้นโดยนักมนุษยวิทยา Dr. William M. Bass ในปี 1981 เนื่องจาก ดร. บาสได้รับการขอปรึกษาจากตำรวจเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมต่างๆ บ่อยครั้ง เพราะเมื่อมีการพบศพที่เสียชีวิตมาเป็นระยะเวลานานๆ มักจะมีข้อสงสัยเรื่องระยะเวลาการเสียชีวิต ดร. บาสเลยต้องการศึกษาการเน่าสลายของศพมนุษย์ในเงื่อนไขแบบต่างๆ ศึกษาแมลงต่างๆ ที่มาเจาะไช ฯลฯ
ดังนั้น เมื่อมีผู้บริจาคร่าง ร่างของผู้บริจาคจะถูกนำไปวางไว้ในที่ต่างๆ สร้างเงื่อนไขในการทดสอบ เช่นวางไว้ใต้ต้นไม้ วางไว้กลางแจ้ง มีเสื้อผ้าคลุม ฯลฯ จากนั้นทำการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของศพในช่วงเวลาต่างๆ อย่างละเอียด วัดการเจริญเติบโตของหนอนแมลง ฯลฯ เพื่อเป็นประโยชน์ในการสอบสวนสืบสวนหาอายุของศพในคดีต่างๆ ต่อไปในอนาคต
Body fram ได้รับความนิยมมาก มหาวิทยาลัยหลายแห่งได้จัดสร้าง body fram เพื่อทำการศึกษาเรื่องการเน่าสลายของศพด้วย เช่น Western Carolina University, Texas State University
ดร. แบสผู้ก่อตั้งฟาร์มศพเองก็เป็นผู้บริจาคคนหนึ่งเช่นกัน ตอนนี้แกยังมีชีวิตอยู่แต่แกเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เมื่อแกตาย แกหวังจะถูกนำร่างไปไว้ใต้ต้นไม่ใน body farm แล้วถูกปล่อยให้เน่าสลายไปตามธรรมชาติเช่นกัน