เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 13
  พิมพ์  
อ่าน: 65250 ตายแล้วไปไหน
piyasann
พาลี
****
ตอบ: 379


ความคิดเห็นที่ 105  เมื่อ 11 ส.ค. 12, 18:35

ตามกระแส......


บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 106  เมื่อ 11 ส.ค. 12, 18:38

ระหว่างรอท่านอาจารย์เทาชมพูและ อ. นวรัตนไปเตรียมเรื่องผีๆ ขอคั่นเวลาเรื่องมัมมี่ที่สภาพดีที่สุดในโลก

จริงๆ แล้วคำว่ามัมมี่ในปัจจุบัน เป็นคำรวมๆ ใช้เรียกศพที่ไม่เน่า  แต่เวลาพูดถึงมัมมี่ คนมักจะนึกถึงมัมมี่อียิปต์เป็นหลัก แต่จริงๆ แล้วมัมมี่มีทั่วโลก ทั้งในเอเชีย อเมริกากลางและใต้
ในบรรดามัมมี่ทั้งหลาย มัมมี่ที่ถือว่าสภาพดีที่สุดไม่ใช่มัมมี่อียิปต์ แต่อยู่ในเมืองจีนนี่เอง  คือมัมมี่ของคุณหญิงได๋(Lady Dai)  สภาพดีขนาดที่ว่ายังดูสดมากเหมือนเพิ่งตายมาได้ไม่กี่วัน นอกจากนั้นยังไม่ได้แห้งแข็ง ข้อต่อต่างๆ ยังขยับได้

มัมมี่คุณหญิงได๋ถูกขุดค้นจากหลุมศพสมัยราชวงศ์ฮั่นในมณฑลฉางชา ในปี 1972 มีอายุประมาณสองพันปี เชื่อว่าเป็นศพคุณหญิงของเจ้าผู้ครองนครได๋ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรฮั่น ขุดค้นจากบริเวณที่เป็นทุ่งนา ในบริเวณรอบๆ มีหลุมศพทั้งหมด 3 หลุม เป็นของเจ้านครได๋  คุณหญิง และลูกชายทั้งสอง แต่ศพของคุณหญิงที่เป็นมัมมี่มีสภาพดีที่สุด

ภาพพื้นที่ที่ขุดค้น และขั้นตอนระหว่างขุดค้นรวมทั้งโลงศพครับ




บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 107  เมื่อ 11 ส.ค. 12, 18:42

ร่างของคุณหญิงถูกบรรจุไว้ในโลงศพ 3 ชั้น  มีของเหลวสีแดงลึกลับบรรจุอยู่ซึ่งช่วยทำให้ศพไม่เน่า 

ภาพโลงศพชั้นนอก ชั้นกลาง และชั้นในสุดที่บรรจุร่างครับ




บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 108  เมื่อ 11 ส.ค. 12, 18:49

คุณหญิงตายเมื่ออายุประมาณ 50 ปีด้วยการการหัวใจวายเนื่องจากหลอดเลือดหัวใจตีบ  เป็นลักษณะของบุญหนักศักดิ์ใหญ่ อยู่ดีกินดี และไม่ออกกำลังกาย  คาดว่าตายขณะกำลังรับประทานอาหาร เพราะในกระเพาะมีอาหารจำนวนมากรวมทั้งเมล็ดแตงโมที่คุณหญิงเล่นกินแตงโมแบบกินทั้งเมล็ดเลย แถมหัวใจวายขณะนั้น

มีการจำลองหน้าตาคุณหญิงสมัยสาวๆ เอ๊าะๆ ให้ดู ไม่เลวทีเดียว แต่พอมาดูหน้าตาสมัยเป็นมัมมี่แล้ว ไม่ไหวๆ  เอารูปมัมมี่คุณหญิงได๋มาให้ชม เพื่อเป็นการเตรียมใจระหว่างรอเรื่องผีๆ จากท่านอาจารย์ทั้งสองครับ



บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 109  เมื่อ 11 ส.ค. 12, 18:53

ระหว่างรอท่านอาจารย์เทาชมพูและ อ. นวรัตนไปเตรียมเรื่องผีๆ

ดีตรงมีเพื่อนมาช่วยหลอนด้วยอีกคนนี่แหละ
แต่ตอนนี้ยังไม่เข้าเกณฑ์นะคะ เพิ่งได้ 5 คน เงื่อนไขคือเกินจำนวนนี้
บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 110  เมื่อ 11 ส.ค. 12, 19:57

เอ คนเข้ามามากมาย แต่ไม่ยอมแสดงตัว  เสียงที่หกไปไหนเนี่ย แสดงตัวกันหน่อยคร๊าบ  อ่านเรื่องน่ากลัวๆ จากสำนวนอาจารย์เทาชมพู จะได้ตาค้างอยู่ดึกๆ รอเชียร์แก้วชิงเหรียญทองคืนนี้ได้  ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12600



ความคิดเห็นที่ 111  เมื่อ 11 ส.ค. 12, 19:59

มัมมี่ที่สภาพดีที่สุดและสวยที่สุดเห็นจะเป็นมัมมี่ของ Rosalia Lombardo



โรซาเลียเป็นบุตรสาวของทหารมียศซึ่งเสียชีวิตเมื่ออายุได้ ๒ ขวบ ศพของเธอถูกทำเป็นมัมมี่ตามธรรมเนียมของ คณะนักบวชกาปูชิน ผู้ทำมัมมี่ของโรซาเลียเป็นนักเคมีชื่ออัลเฟรโด ซาลาเฟีย ในขณะที่ศพอื่น ๆ ผุพังกลายเป็นกระดูกขาวโพลน มีแต่โรซาเลียที่ร่างของเธอยังคงอยู่สมบูรณ์ราวกับเธอเพียงหลับไปเท่านั้นเองแม้ว่าจะผ่านมากว่า ๘๐ ปีแล้ว

วิธีการรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยของซาลาเฟีย คือใช้สารละลายฟอร์มาลินเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย, แอลกอฮอล์เพื่อทำให้ร่างแห้ง, กลีเซอรินเพื่อไม่ให้ร่างแห้งจนเกินไป, กรดซาลิไซลิคเพื่อฆ่าเชื้อรา และสารที่สำคัญที่สุดคือเกลือสังกะสี (ซิงค์ซัลเฟต และ ซิงค์คลอไรด์) เพื่อทำให้ร่างมีความแข็งไม่อ่อนตัวลง สูตรที่ใช้ประกอบด้วยกลีเซอริน ๑ ส่วน, ฟอร์มาลินชุ่มด้วยซิงค์ซัลเฟต และ ซิงค์คลอไรด์ ๑ ส่วน และสารละลายแอลกอฮอล์กับกรดซาลิไซลิคอีก ๑ ส่วน

จากการวิจัยสันนิษฐานได้ว่า ศพของโรซาเรียเกิดปฏิกริยา Adipocere ซึ่งไขมันในร่างกายได้ผ่านกระบวนการอะไรบางอย่าง ทำให้แปรสภาพกลายเป็นคล้ายขี้ผึ้งหรือชีสซึ่งเชื้อแบคทีเรียไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งมัมมี่ประเภทนี้จะต่างจากมัมมี่แบบแห้งของอียิปต์ตรงที่ต้องเก็บอยู่ในที่ชื้น

ปัจจุบันศพของโรซาเลียถูกเก็บอยู่ใน สุสานใต้ดินกาปูชิน เมืองปาแลร์โม บนเกาะซิซิลี อิตาลี

 ยิงฟันยิ้ม

 
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 112  เมื่อ 12 ส.ค. 12, 09:40

ตามมาสมทบ ครับ


บันทึกการเข้า
นิลนนท์
มัจฉานุ
**
ตอบ: 58


ความคิดเห็นที่ 113  เมื่อ 12 ส.ค. 12, 11:14

ผมขอคั่นรายการด้วยเรื่องศพที่ธิเบตไปพลาง ๆ ก่อนนะครับ
การจัดการกับศพที่ธิเบตใช้เรียกว่า sky burial ไม่รู้จะเรียกว่าฝังกลางเวหาดีหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือมีการชำแหละแล้วให้บรรดานกแร้งได้มากินเนื้อของผู้เสียชีวิต เนื่องจากธิเบตอยู่บนภูเขาสูงจะใช้วิธีการเผาก็ลำบากด้วยไม้ฟืน จะฝังก็เป็นการยากด้วยพื้นเป็นหินแข็ง จะลอยในแม่น้ำใหญ่อย่างคงคาก็ไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีนี้ซึ่งก็ถือเป็นการให้ทานอาหารนกด้วย จากชาดกที่พระโพธิสัตว์เฉือนเนื้อตัวเองให้นกเหยี่ยวเพื่อช่วยชีวิตนกพิราบที่กำลังจะถูกเหยี่ยวจับกิน นกแร้งถือว่ามีฐานะเป็นเทพบุตรและเทพธิดาจะนำเอาวิญญาณผู้เสียชีวิตไปสวรรค์ ชาวธิเบตเชื่อเรื่องวิญญาณไปเกิดใหม่ ศพนั้นเป็นแต่เพียงเปลือกที่หมดประโยชน์ในการใช้สอยแล้ว เป็นการกำจัดที่มีประสิทธิภาพมาก ไม่สิ้นเปลือง ไม่ก่อมลภาวะ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่กล้านำภาพอื่น ๆ มาให้ดูกลัวจะกระเจิงกันหมด


บันทึกการเข้า
นิลนนท์
มัจฉานุ
**
ตอบ: 58


ความคิดเห็นที่ 114  เมื่อ 12 ส.ค. 12, 11:22

คัดลอกมาให้อ่านครับ
วิธีการทำศพนั้นไม่มีพิธีอาบน้ำศพ หรือแต่งตัวใหม่คือตอนเสียชีวิตใส่เสื้อผ้าชุดใดก็ใส่ชุดนั้น แล้วนำผู้ตายขึ้นไปนอนบนเตียงขนาดพอตัว และมีขาเตี้ยๆ ครอบครัวผู้ตายก็จะเอา"ข่าต๋า" คือผ้าพันคอผืนยาว 2 ถึง 3 เมตรเศษสีขาวห่มร่างผู้ตาย แล้วขึงเชือกเหนือร่างผู้ตายจากหัวไปเท้าเพื่อแขกที่มาในงาน จะได้เอาข่าต๋าไปพาดบนเชือกที่ขึงนี้ ใครที่จะบริจาคช่วยงานศพก็ทำได้ตอนนี้ถ้าคนใดคนหนึ่งในครอบครัวตาย เขาจะต้องรีบไปติดต่อโรงพยาบาลทิเบตพร้อมกับวันเดือนปีเกิด และวันเวลาที่ เสียชีวิตของผู้ตาย เพื่อให้หมอเอาข้อมูลไปคำนวณว่าจะเก็บศพเอาไว้กี่วัน

จากนั้นญาติก็นิมนต์พระซึ่งชาวทิเบตเรียกว่า "ลามะ" มาสวดที่บ้าน ซึ่งจะเชิญมากี่องค์ก็ได้ แต่ต้องสวดตลอดระยะเวลาที่ไว้ศพ เช่นถ้าไว้ศพ 5 วัน ก็ต้องสวดตลอด 5 วัน จะหยุดพักบ้างก็ได้เพียงประมาณ 15 นาทีต่อช่วงเท่านั้นถ้าลามะมาองค์เดียว ฆราวาสที่อ่านภาษาทิเบตได้จะช่วยสลับเวลาสวดแทน เมื่อสวดจบหนึ่งรอบ ญาติจะนำน้ำชาผสมเนยจามรีไปวางใกล้ศพ เพื่อเสริฟให้แก่ผู้ตาย และลามะเองก็พักซดน้ำชาไปในช่วงเวลานี้เหมือนกัน เพราะชาวทิเบตคลั่งไคล้การดื่มน้ำชาเป็นชีวิตจิตใจ การสวดจะเป็นไปอย่างนี้จนครบระยะเวลาการไว้ศพ จากนั้นก็เคลื่อนศพไปทำพิธีฝังจะทำกันตอนเช้าตรู่ ตี 4 หรือตี 5 แต่ก่อนหน้าวันเคลื่อนศพ ผู้ทำหน้าที่ฝังศพ ซึ่งชาวทิเบต เรียกว่า "อาจารย์" จะมาบ้านผู้ตายครอบครัวผู้ตายต้องเตรียมเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของผู้ตายมามอบให้อาจารย์พร้อมทั้งเงินค่าทำศพ ส่วนใหญ่ประมาณร้อยถึงสองร้อยหยวน ส่วนเสื้อผ้าอาจารย์ก็จะให้ภรรยาของตนนำไปขาย

ก่อนทำพิธีเคลื่อนศพ อาจารย์ต้องทำเครื่องหมาย"สวัสดิกะ" ไว้บนพื้นตรงทางที่ศพจะถูกขนออกจากบ้านไป จากนั้นอาจารย์จะเอาเชือกผูกหัวเตียง จุดธูปบอกกล่าวผู้ตายจากนั้นก็ถือเชือกนำหน้าศพ บรรดาญาติจะช่วยกันแบกทั้งเตียงและศพ เดินตามเป็นขบวนแล้ววนรอบเครื่องหมายสวัสดิกะ 3 รอบ แล้วมุ่งหน้าไปวัด เมื่อขบวนแห่มาถึงวัด ก็เดินวนรอบวัด 3 รอบเป็นการให้ผู้ตายได้เคารพสักการะองค์พระพุทธรูปเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็เอาศพใส่ รถยนต์กระบะ เพื่อนำไปสถานที่สำหรับพิธีฝังศพ ในสมัยก่อนไม่มีรถยนต์ อาจารย์ต้องเป็นคนแบกศพรวดเดียวไปยังสถานที่ ฝังศพ ซึ่งเป็นระยะทางที่ต้องขึ้นเขาไปกว่า 2 กิโลเมตร ดังนั้นอาจารย์ส่วนใหญ่ต้องมีร่างกายแข็งแรง

เมื่อขบวนแห่ และอาจารย์มาถึงสถานที่ฝังศพ ซึ่งเป็นลานกว้างมีแผ่นหินปูลาดขนาด 2 X 2 เมตร แล้วอาจารย์ และญาติจะช่วยกันเปลื้องเสื้อผ้าของศพออก แล้วอาจารย์ ก็จะเอาเครื่องมือของตนออกมาวาง ประกอบด้วยมีดขนาดต่างๆ มีตั้งแต่อีโต้ จนถึงขนาดเล็กๆที่ใช้ในการแล่เนื้อประมาณ 15-16 เล่ม อาจารย์เริ่มลงมือด้วยการเอามีดเล็กกรีดหน้าผากศพเป็นแนวยาวเหนือคิ้ว แล้วถลกหนังศีรษะออกมากองไว้ จากนั้นผ่าท้องเอาเครื่องในออกมาแล้วแล่เนื้อออกจากกระดูก ใช้มีดอันใหญ่ทุบกระดูก และสับเนื้อเป็นชิ้นๆและทุบกระโหลกศีรษะเอามันสมองออกมาผสมกับกระดูกใส่ในหลุมที่มีเลือดไหลไปรวมอยู่ จากนั้นเอา"จามปา" แป้งชนิดหนึ่งที่คนทิเบตนำมาทำอาหาร มาผสมคลุกเคล้าให้ดีกับเลือดกระดูกและสมอง เพราะจะช่วยดูดซับเลือดให้เข้ากับกระดูก ทำให้บริเวณนั้นแห้งสนิทไม่เหลือเศษเลือดทิ้งเอาไว้ ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะ อีแร้งชอบกินมันสมอง ไม่ชอบกินกระดูกจึงต้องเอามันสมอง มาคลุกกับกระดูกให้อีแร้งกินกระดูกเข้าไปด้วย

เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว อาจารย์ก็เรียกบรรดาอีแร้งที่อยู่เหนือบริเวณฝังศพขึ้นไปบนยอดเขา ให้ลงมากิน เริ่มด้วยอาจารย์เอามันสมอง และเลือดให้อีแร้งกินก่อนแล้วค่อยตามด้วย เนื้อที่สับไว้ เมื่ออีแร้งกินทุกอย่างหมด แล้วญาติพี่น้องก็จะช่วยเผาสิ่งสุดท้ายที่เหลือคือเสื่อผ้าชุดที่ผู้ตายใส่ กับหนังศีรษะติดผม แล้วทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นไม่ต้องมีการเก็บร่างกายของผู้ตายไว้เป็นที่ระลึกให้ต้องทำพิธีระลึกถึงกันทุกปีเพราะเขาเชื่อว่าในขณะที่เรากำลังร้องไห้เศร้าโศก อยู่หน้าหลุมฝังศพผู้ตายนั้น เขาได้ไปจุติในร่างใหม่เรียบร้อยแล้ว


บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12600



ความคิดเห็นที่ 115  เมื่อ 12 ส.ค. 12, 11:41

นึกถึงเรื่อง "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์"

วัดสระเกศ  คนตายเพราะโรคระบาดหรือถูกประหารก็เอาศพมาไว้ที่นี่ค่ะ   เข้าใจว่าเป็นเพราะอยู่นอกกำแพงเมืองออกไป  ถือว่าห่างไกลชุมชน
แร้งจึงมาชุมนุมอยู่ที่นี่   จิกกินศพจำนวนมากๆช่วยเบาแรงสัปเหร่อไปได้ด้วย
เคยเห็นรูปศพที่วัดสระเกศ ถ่ายราวๆรัชกาลที่ ๕ หรือ ๖  ใกล้ๆมีแร้งมาจับอยู่บนพื้นดินคอยกินศพ  เห็นเรียงกันเป็นแถว  และมีคนถือไม้คอยไล่ไม่ให้เข้ามาสกรัมศพ
ถ้าหากว่าค้นเจอจะเอามาให้ดู  แต่อย่าดูก่อนทานอาหารมื้อไหนนะคะ  นอกจากจะอยาก diet อยู่แล้วก็จะช่วยให้อดได้ง่ายขึ้น

เรื่องแร้งวัดสระเกศ

ภาพประกอบ

คำเตือน :  โปรดดูหลังอาหาร

 ยิงฟันยิ้ม


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12600



ความคิดเห็นที่ 116  เมื่อ 12 ส.ค. 12, 11:52

เรื่องเปรตวัดสุทัศน์

ส่วนเปรตวัดสุทัศน์  ความเป็นมา ไม่ทราบค่ะ รูปของจริงไม่มี   จะเอาเปรตอาจารย์กู้มาแทนก็ไม่เหมือน
จำได้เลาๆว่า เขาว่ามีกันสองตัวผัวเมีย อาศัยอยู่แถวนั้น  ดึกๆก็ออกมาเดินเล่นจนชาวบ้านรู้จักดี   บางคืนก็ร้องกรี๊ดๆให้ได้ยิน  ปากเท่ารูเข็ม  บางทีก็ชะโงกหน้าไปทักทายชาวบ้านที่นอนอยู่บนชั้นสองของห้องแถวตรงข้ามวัด
จนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง ระเบิดลง   เปรตก็หายไปทั้งสองตัว

ที่มาของเปรต เล่าอีกทางหนึ่งว่ามาจากภาพวาดบนฝาผนังในอุโบสถ   เป็นรูปเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่ และมีพระสงฆ์ยืนพิจารณาอยู่    ดิฉันเคยไปดูภาพวาดผนังโบสถ์ของวัดสุทัศน์เหมือนกัน  แต่ไม่เคยเห็นภาพดังกล่าว   ท่านไหนเคยเห็นกรุณาบอกด้วย  

ส่วนอะไรที่ลือกันว่าโย่งเย่งอยู่แถวๆหน้าวัดนั้น   ก็มีคำตอบว่าเป็นเงาของเสาชิงช้าหน้าวัดนั่นเอง


ภาพประกอบ

ภาพวาดเปรตในอุโบสถวัดสุทัศน์

 ยิงฟันยิ้ม


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 117  เมื่อ 12 ส.ค. 12, 15:53

นึกว่าจะรอดตัว  คุณ SILA โผล่มาทีเดียว วงแตก
สัญญาต้องเป็นสัญญาค่ะ

คุณประกอบเจ้าของกระทู้นี้ป้วนเปี้ยนอยู่ตามสถานที่ประวัติศาสตร์ในอังกฤษ  ย่อมเคยไปชมหอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) ริมแม่น้ำเทมส์มาแล้ว     สถานที่แห่งนี้นอกจากมีคุณสมบัติเป็นที่เก็บโบราณวัตถุมีค่าของอังกฤษ  และเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่นักศึกษามิอาจมองข้ามแล้ว     ยังมีโทษสมบัติอีกประการหนึ่งก็คือได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ผีดุฉกาจฉกรรจ์ขึ้นชื่อไปทั่วประเทศ
ส่วนที่ดุที่สุดของหอคอยแห่งลอนดอน เรียกว่า หอคอยขาว (The White Tower)  ดูจากรูปข้างล่างนะคะ
รูปซ้าย สถานที่ก่อสร้างที่ดูเหมือนหมู่ป้อมปราการคือหอคอยแห่งลอนดอน  ส่วนทางขวาเป็นส่วนหนึ่งของรูปซ้าย  คือ หอคอยขาว


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 118  เมื่อ 12 ส.ค. 12, 21:47

เข้ามาต่อแล้วค่ะ
ผีตัวที่เฮี้ยนที่สุดในหอคอยขาว คือพระนางแอนน์ โบลีน พระมเหสีหนึ่งในหกของพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘   เธอเป็นหนึ่งในสองของราชินีเคราะห์ร้ายที่ถูกพระสวามีสั่งประหาร   ข้อหาของเธอคือคบชู้กับชายถึง ๕ คน และทำอาคมไสยเวทของแม่มด เพื่อให้พระเจ้าเฮนรี่หลงใหล   
แต่ความจริงก็เป็นที่รู้ๆกัน ว่าพระเจ้าเฮนรี่อยากจะมีรัชทายาทชาย   แอนน์ โบลีนให้ไม่ได้ เธอมีแต่เจ้าหญิงน้อยองค์เดียว   พระบิดามิได้อินังขังขอบด้วยนัก    ทรงไม่นึกฝันว่าเจ้าหญิงจะเติบโตขึ้นมาเป็นพระราชินีนาถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษ คือพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๑
ด้วยเหตุนี้ แอนน์ โบลีนจึงต้องถูกกำจัดให้พ้นทาง   เพื่อจะเปิดทางให้พระราชินีองค์ใหม่ขึ้นนั่งเก้าอี้แทนอย่างสะดวก     เธอถูกประหารด้วยวิธีตัดหัว  ทั้งที่เป็นผู้บริสุทธิ์
จากนั้น วิญญาณของเธอก็ไม่เคยอยู่อย่างสงบได้เลย ต่อมาอีกหลายศตวรรษ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 119  เมื่อ 13 ส.ค. 12, 08:39

ศพของแอนน์ถูกฝังไว้ที่โบสถ์  St. Peter ad Vincular  ซึ่งอยู่ภายในหอคอยนั่นเอง   โบสถ์เล็กๆนี่เองเป็นที่สถิตของปีศาจพระนางแอนน์ ที่ลุกขึ้นมาหลอกหลอนในโบสถ์ในหลายร้อยปีต่อมา    
ในปลายศตวรรษที่ ๑๙ ประมาณค.ศ. ๑๘๘๐  มีคำให้การของนายทหารหัวหน้ายามนายหนึ่ง เล่าว่าเห็นคืนหนึ่งเขาเห็นแสงสว่างส่องลอดหน้าต่างโบสถ์ออกมา   ก็เลยสั่งยามลูกน้องให้ไปดูว่าใครเข้าไปทำอะไรในโบสถ์ที่ปิดมืดตื๋อมาตั้งหลายศตวรรษ    แต่ลูกน้องยามเกิดปอดลอยสุดขีด   ยืนกรานปากคอสั่นว่าไม่รู้และเป็นตายยังไงก็ไม่ขอไปดู    นายทหารก็เลยออกหน้าเอง  เอาบันไดมาพาด ปีนขึ้นไปชะโงกดูผ่านหน้าต่างเข้าไป
เขาเห็นภายในโบสถ์สว่างด้วยแสงสว่างเรืองๆน่าสะพึงกลัว  มองเห็นขบวนผู้คนแต่งกายโบราณเหมือนสมัยพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๑  กำลังเคลื่อนขบวนไปตามทางเดินตรงกลางระหว่างที่นั่งสองฟาก   หัวขบวนคือผู้หญิงแต่งกายงามหรู สวมเครื่องประดับแพรวพราว   หน้าตาเหมือนภาพวาดของแอนน์ โบลีน    แล้วจู่ๆ ขบวนคนทั้งหมดก็หายวับไป  โบสถ์ทั้งโบสถ์ก็ตกอยู่ในความมืดสนิทเช่นเดิม

ถ้าคุณประกอบหรือใครในเรือนไทยเกิดไปเที่ยวหอคอยแห่งลอนดอน  ลองแวะที่หอคอยขาว ไปดูที่โบสถ์บ้าง เผื่อแจ๊กพ็อทขึ้นมาจะได้กลับมาเล่าให้ฟังกันไงคะ


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 13
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.13 วินาที กับ 19 คำสั่ง